สายแนน บทที่ 4 : ปกป้องคุ้มภัย

สายแนน บทที่ 4 : ปกป้องคุ้มภัย

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

พักหลังมานี้สมภารขันใช้เวลาอยู่ในโบสถ์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนั่งสมาธิเจริญกรรมฐานและรื้อฟื้นอาคมพุทธคุณของตนที่เคยแก่กล้า เพราะรู้ว่าอีกไม่นานคงได้นำกลับมาใช้สู้กับนายแสงคำอีกครั้ง

เหตุเพราะอีกฝ่ายหายไปนานถึง 30 ปี แต่เมื่อหวนกลับมาก็ตั้งใจทำร้ายเด็กสาวอย่างแม่ปิ่นจนขวัญเสีย ซึ่งการทำร้ายแม่หญิงที่มีเรือนชะตาเดียวกันกับแม่เดือนเช่นนี้ ทำให้สมภารขันเดาได้ไม่ยาก…ว่านายแสงคำกลับมาเพื่อสิ่งใดกันแน่

สมภารรู้ตัวดีว่าพระสงฆ์มิควรยุ่งเกี่ยวกับทางโลก แต่หากครั้งนี้ต้องวางอุเบกขา แล้วปล่อยให้เด็กสาวไร้เดียงสาต้องพบเจอชะตากรรมเลวร้ายจนถึงแก่ความตาย สมภารก็เห็นว่าเป็นบาปนัก ถึงอย่างไรแม่ปิ่นก็เป็นคนบริสุทธิ์ มิควรต้องมาพบเจอเรื่องร้ายใดๆ ทั้งนั้น

วันนี้สมภารจึงนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์โดยมีทองคอยรับใช้ไม่ห่าง เมื่อตะวันเริ่มลับแสงลงภิกษุอื่นเริ่มทยอยกลับกุฏิกันหมดแล้ว จึงเหลือเพียงสมภารขันและทองอยู่กันตามลำพังเท่านั้น

ทองหันไปจุดเทียนไขในโบสถ์ให้มีแสงสว่างก่อนจะกลับมานั่งตรงหน้า ใบหน้าคมของชายหนุ่มเจือความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“บักทอง มึงเป็นหยังไป”

สมภารขันกล่าวถามไปอย่างนั้นเอง เพราะแม้มิต้องรอฟังคำตอบก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับแม่ปิ่นในคืนนั้น…ทองก็เอาแต่นั่งหน้าเครียด พยายามขอเครื่องรางของขลังจากสมภารขันไปให้แม่ปิ่นอยู่เสมอ เผื่อจะมีสิ่งใดช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้เธอได้

อันที่จริงทองก็เป็นชายหนุ่มร่างกำยำและยังมีฝีมือในการต่อสู้ หากสิ่งที่มาทำร้ายเธอนั้นเป็นคนหรือสัตว์ร้ายเขาคงจัดการได้โดยง่าย แต่นี่เป็นมนตร์ดำคุณไสย…เป็นสิ่งลี้ลับที่เขาไม่รู้จัก เมื่อปกป้องเธอแทบมิได้เช่นนี้ เขาจึงรู้สึกว่าตนไร้ค่านัก

“ข้อยเป็นห่วงอีนางปิ่นขอรับ…”

ทองพนมมือตอบตามตรง “เรื่องที่อีนางปิ่นถูกผีเข้า…ข้อยว่ามันบ่แม่นเรื่องบังเอิญ แต่มีคนจงใจส่งผีตนนั้นมาทำร้าย แต่ข้อยก็ยังคิดบ่ออกว่ามันคนนั้นเป็นไผ เพราะอีนางปิ่นมันบ่เคยมีศัตรู บ่เคยมีเรื่องมีราวกับไผเลย”

สมภารขันนั่งฟังเขาเอ่ยอธิบายด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพียงมองตาก็พอรู้ว่าเขาเป็นห่วงแม่ปิ่นมากเพียงใด เห็นเช่นนี้แล้วก็เผลอนึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งตนเองยังหนุ่มแน่น เพราะสมภารเองก็เคยรู้สึก…อย่างที่ทองรู้สึกในเวลานี้

รู้สึกว่าตนไร้ค่านัก…ที่ปกป้องแม่หญิงคนรักมิได้

“อยากสู้กับภูตผีมนตร์ดำ มึงก็ต้องเรียนมนตร์ขาวไปแก้”

สมภารขันเอ่ยออกมาในที่สุด “มึงคิดถูกแล้วว่าเรื่องผีเข้ามันบ่แม่นเรื่องบังเอิญ แต่ตราบใดที่คนชั่วมันยังอยู่…โยมปิ่นก็ต้องถูกภูตผีมาทำร้ายบ่จบบ่สิ้น จนกว่าวิญญาณนางจะหลุดออกจากร่างไป”

“หลวงลุงหมายความว่า…”

ทองเผลอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่สมภารก็มิได้เอ่ยอธิบายไปมากกว่านั้นเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่ชายหนุ่มต้องรับรู้ เมื่อเทียนเล่มน้อยเริ่มดับแสงลงแล้ว สมภารจึงหยิบเอาเทียนอีกเล่มมาต่อไฟให้แสงสว่าง

“มีเพียงพุทธคุณเท่านั้นที่จะสู้มันได้ หากมึงอยากเรียน…กูจะสอนให้เอง”

 

 เมื่อสมภารขันเอ่ยรับปาก ทองจึงยกขันดอกไม้ธูปเทียนมาถวายและฝากตัวเป็นศิษย์นับตั้งแต่นั้น ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในวัดเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงปิ่นเองก็เริ่มแวะเวียนมาที่วัดมากขึ้นเพราะยังรู้สึกกลัวเรื่องคืนนั้นยังมิทันหาย เมื่อว่างจากงานเรือนแล้วจึงมักมาทำบุญและคอยรับใช้แม่ชีในวัดอยู่เสมอ

บ่ายวันนี้ก็เช่นกัน…หลังจากเสร็จธุระของตนแล้ว สองหนุ่มสาวจึงมานั่งรับลมใต้ต้นไม้ริมกำแพงโบสถ์ ปิ่นนั่งกอดเข่าพลางเหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล แต่ลึกๆ ก็ยังอุ่นใจที่มีชายคนรักอยู่เคียงข้าง หญิงสาวนั่งเงียบไปนานจนเขาต้องสะกิดถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเป็นหยังไป”

“บ่ได้เป็นหยัง…” ปิ่นเอ่ยตอบเสียงเบา นัยน์ตาคู่ใสนั้นยังเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อทนไม่ไหวจึงหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง “อ้ายทอง ข้อยได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องสามสิบปีก่อน…เรื่องป้าเดือน”

“ป้าเดือน?”

“ป้าเดือนเป็นพี่สาวของแม่ข้อย…ตายไปตั้งแต่สามสิบปีก่อน ก่อนที่เฮาสองคนจะเกิด” ปิ่นเห็นทองนั่งขมวดคิ้วอยู่จึงเอ่ยอธิบายเสียงเครียด

“แม่บอกว่าป้าเดือนหน้าตาละม้ายคล้ายกับข้อย แต่ป้าเดือนงามกว่าข้อยหลาย เกิดมามีบุญที่งดงามกว่าไผ แต่ก็มีกรรมที่อายุสั้น…ตอนตายก็อายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แม่บอกว่าป้าเดือนฆ่าตัวตาย เพื่อหนีความอับอายที่เล่นชู้กับหลวงลุงขัน”

ทองได้ฟังเช่นนั้นก็พลันนิ่งชะงัก “หมายความว่า…”

“ข้อย…ข้อยบ่รู้”

ปิ่นเอ่ยตอบทันที “แต่บ่ได้เล่นชู้คาผ้าเหลืองดอก…ตอนนั้นหลวงลุงขันยังบ่ทันบวช”

หญิงสาวนั่งกอดเข่าเอ่ยตอบน้ำเสียงดูเป็นกังวลนัก “แต่เรื่องการตายของป้าเดือนก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าบ่แม่นชู้ ป้าเดือนกับหลวงลุงขันรักกันมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายป้าเดือนก็ถูกบังคับให้แต่งกับลุงแสงคำ…ที่สมัยนั้นเป็นนายฮ้อยร่ำรวยกว่าไผ”

“ลุงแสงคำ?”

“แม่น” ปิ่นพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยอธิบายว่าลุงแสงคำคือชายวัยกลางคนที่ปลูกเรือนอยู่ในป่าช้า คนเดียวกันกับที่เธอเห็นอยู่ใต้ถุนเรือน และเป็นคนเดียวกัน…ที่เคยมองเธอด้วยสายตาชวนขนลุก

“สมัยนั้นลุงแสงคำเป็นนายฮ้อยค้าวัวควาย รูปงามปานเทพบุตรแล้วยังมีอาคมแก่กล้า ต่างจากหลวงลุงขันที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น แต่หลังจากป้าเดือนตายหลวงลุงขันก็บวชเป็นพระเพื่ออุทิศส่วนกุศล ออกธุดงค์เกือบยี่สิบปีจึงกลับมา…ส่วนลุงแสงคำก็ออกไปตั้งรกรากใหม่อีกฝั่งแม่น้ำโขง”

ปิ่นเอ่ยอธิบายพลางถอนหายใจอีกครั้ง “เผลอๆ ลุงแสงคำต่างหากที่เข้าทางพ่อแม่…แล้วมาบังคับขืนใจป้าเดือนให้ตกเป็นเมียเขา”

ถ้อยคำอธิบายของหญิงสาวนั้นดูเข้าข้างสมภารขันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ตนเองก็ฟังเพียงเขาเล่ามา เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ก่อนเธอเกิดทั้งสิ้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงรู้สึกไว้ใจสมภารขันมากกว่านายแสงคำ…หรืออาจเป็นเพราะสายตาชวนขนลุกของนายแสงคำที่เคยมองเธอก็เป็นได้

“มีคนบอกว่าศพป้าเดือนมีรอยถูกแทงเลือดท่วม แล้วลุงแสงคำบอกว่าป้าเดือนฆ่าตัวตาย แต่เรื่องจริงก็บ่มีไผเห็น เรื่องหลวงลุงขันก็เหมือนกัน หลวงลุงเป็นชู้กับป้าเดือนจริงหรือบ่จริง…ก็บ่มีไผรู้…”

“เป็นอย่างที่โยมปิ่นว่านั่นละ…”

เสียงทุ้มลึกของสมภารขันทำให้ปิ่นสะดุ้งเฮือก เมื่อหันตามต้นเสียงจึงเห็นสมภารเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้จะยืนฟังถ้อยคำสนทนาอยู่นานโขแล้ว “เรื่องจริงบ่มีไผรู้ นอกจากบักแสงคำ…และอาตมาเอง”

“หลวงลุง…”

“อาตมาบ่ได้เป็นชู้กับโยมเดือน บ่เคยทำร้ายโยมเดือนหรือทำให้โยมเดือนเสียหาย แต่เรื่องนี้อาตมาบ่มีหลักฐานหยังมาให้เบิ่งดอก ขึ้นอยู่กับโยมปิ่นเอง…ว่าจะเชื่ออาตมาบ่”

ปิ่นทำได้เพียงก้มหน้าเงียบ เธอรับรู้ได้ถึงความเมตตาที่สมภารขันมีให้ ในแววตาและน้ำเสียงยามได้สนทนานั้นเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ต่างจากนายแสงคำที่มักมองเธอด้วยสายตากระหายจะกินเลือดกินเนื้อ อีกทั้งนายแสงคำยังมีมนตร์ดำเล่นของต่ำช้า เรื่องผีที่มาทำร้ายเธอในคืนนั้น…อาจจะเป็นฝีมือนายแสงคำก็ได้

“ข้อยเชื่อหลวงลุงจ้ะ…” ปิ่นพนมมือตอบเสียงสั่น “ข้อยรู้ว่าคืนนั้นมันเกิดหยังขึ้น หากบ่มีหลวงลุงมาช่วยไว้ ข้อย…ข้อยคงถูกผีฆ่าตายไปแล้ว”

ทองเห็นเธอเริ่มน้ำตาเอ่อเจียนจะร่ำไห้ ชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วโอบกอดไหล่บางของเธอไว้เพื่อปลอบประโลม

เขาจำได้ว่าคืนนั้นสมภารขันถามถึงนายแสงคำ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยตอบแม้สักคน เมื่อนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงเริ่มเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “คืนที่อีนางปิ่นถูกผีเข้า หลวงลุงรู้อยู่แล้วแม่นบ่ขอรับ…ว่าเป็นฝีมือไผ”

สมภารขันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ฝีมือบักแสงคำ”

“แต่อีนางปิ่นบ่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขา คนบ่เคยเคียดแค้นให้กัน…เป็นหยังจึงต้องทำร้ายกันขนาดนี้” ทองเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ

ถ้อยคำถามนั้นทำให้สมภารขันนิ่งเงียบไปเพราะนึกถึงเรื่องราววันเก่า นางสายเคยให้ช่วยตรวจดวงชะตาลูกสาวให้ สมภารจึงจำวันเวลาตกฟากของปิ่นได้ชัดเจนนัก…เพราะมันเป็นเวลาตกฟากเดียวกันกับแม่เดือน เพียงแค่เกิดห่างกันสามรอบนักษัตรเท่านั้น เมื่อคิดทบทวนจึงรู้ได้ทันทีว่านายแสงคำกลับมาด้วยเหตุใด

“บักทองเอ๋ย บ่ต้องห่วงเรื่องนั้นดอก…”

สมภารขันกล่าวพลางส่งยิ้มจางๆ ให้ “ถึงเวลาแล้วมึงสิรู้เอง…”

 

ในกระท่อมน้อยท้ายป่าช้ายังมีนายแสงคำเก็บตัวอยู่เช่นเคย แม้การส่งผีหุ่นพยนต์ไปทำร้ายเธอในคืนนั้นจะยังมิสำเร็จ แต่ก็มิได้เสียเปล่า เพราะหลังจากคืนนั้นดวงจิตของแม่ปิ่นก็อ่อนแอลงไปมาก หากถูกภูตผีกลืนวิญญาณอีกเพียงไม่กี่ครั้ง ก็อาจทำให้วิญญาณเธออ่อนแอจนอยู่ในกายเนื้อมิได้ เมื่อนั้นเขาจักได้ทำพิธีชุบชีวิตให้แม่เดือนเสียที

แต่เมื่อนึกได้เช่นนั้นพลันก็มีสายลมพัดรุนแรงขึ้นมาทันที ยอดไม้รอบป่าช้าไหวเอนพร้อมเสียงลมพัดดังหวีดหวิว…ทำให้สัมผัสได้ไม่ยากว่าบัดนี้มีบางดวงวิญญาณกำลังจ้องมองเขาด้วยแรงโทสะ

นายแสงคำเผลอยกยิ้มเศร้า…เพราะรู้ดีว่าวิญญาณนั้นคือใคร

เขารู้ว่าว่าแม่เดือนกำลังโกรธ เขารู้ว่าเธอมิได้อยากฟื้นคืนมาใหม่ เขารู้…ว่าเธอมิได้อยากกลับมาเห็นหน้าคนชั่วช้าเช่นเขา

แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อใจคนชั่วคนนี้มันยังรักเธอเหมือนวันเก่า รักมากเสียจนมิอาจหลุดพ้นจากความทุกข์ ที่ทำไปทั้งหมดเพียงเพราะอยากขอโอกาสให้ได้พบหน้าเธออีกครั้ง เพียงขอให้ได้ดูแล…เพียงขอให้เธอไม่หนีจากเขาไปอีก แม้กายเนื้อแหลกสลายไปแล้ว…เขาก็จักหากายเนื้อใหม่มาให้ ขอเพียงเธอยอมกลับมาอยู่กับเขาเท่านั้น

“เดือนเอ๋ย…”

นายแสงค่ำนั่งพิงผนังเรือน พลางเหม่อมองความมืดรอบกายด้วยแววตาเศร้า น้ำตาเผลอหยดอาบใบหน้าเมื่อภาพเหตุการณ์วันเก่าๆ วนเวียนเข้ามาในหัว นึกถึงวันที่เขามาสู่ขอตามประเพณี…วันที่เราสองเปลี่ยนจากคนรู้จักมาเป็นคู่หมั้นหมาย

หากย้อนเวลากลับไปได้…

เขาจะไม่ปล่อยเธอหลุดลอยไปเป็นอันขาด…

 

30 ปีก่อนหน้า…

เรือนหลังน้อยของแม่เดือนวันนี้ดูแปลกไป จากที่เคยอยู่กันสี่คนพ่อแม่ลูก บัดนี้กลับมีญาติผู้ใหญ่มาเต็มเรือนเพราะมีการทาบทามสู่ขอ หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้าเงียบไม่ยอมพูดจา ข้างกายมีบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่กำลังนั่งเจรจากันอยู่ โดยแขกอีกคนหนึ่งเป็นชายชราที่อ้างว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายแสงคำ ส่วนชายหนุ่มเจ้าตัวเอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สายตาจ้องมองหญิงสาวด้วยความรัก

ที่ผ่านมาเขาแวะเวียนมาหาเธออยู่หลายครั้ง แม้จะมาเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็มีข้าวของเงินทองมาฝากบิดาเธอเสมอ จนกระทั่งสนิทสนมกับบิดาเธอแล้วเขาจึงตั้งใจมาสู่ขอเธอตามประเพณี เตรียมสินสอดทองหมั้นมาเป็นจำนวนมาก

การเจรจาสู่ขอเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะบิดาเธอถูกชะตากับเขาเป็นทุนเดิม อีกทั้งแม่เดือนก็ถึงวัยสมควรออกเหย้าออกเรือนแล้ว…หากปล่อยไว้นานกว่านี้คงไม่ดีนัก

คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่เต็มใจรับการสู่ขอ แต่เหตุที่เธอยังนั่งเงียบเพราะคิดว่าคัดค้านไปก็คงไร้ประโยชน์ นายแสงคำเป็นนายฮ้อยค้าวัวควายย่อมมีพร้อมทั้งทรัพย์สิน บารมี และความสามารถ อีกทั้งยังเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปกายงามพร้อม หากบิดาของเธอจะพึงใจจนอยากได้เป็นเขยก็คงมิใช่เรื่องแปลกนัก

“เดือน…เป็นหยังไปลูก” มารดาเธอหันกลับมาถามเมื่อเห็นเดือนก้มหน้าเงียบ

“ยามมงคลอย่างนี้ต้องยิ้มแย้มเข้าไว้…เข้าใจบ่”

เดือนทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้อีกฝ่ายจะเหมาะสมกับเธอสักเพียงใดเธอก็มิได้เต็มใจแม้สักนิด คนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงปี เหตุใดบิดาเธอจึงเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองจนกล้ายกเธอให้คนแปลกหน้าเช่นนี้

แต่ยังถือเป็นโชคดีที่วันนี้เป็นเพียงการเจรจาครั้งแรก…กว่าจะถึงฤกษ์ผูกแขนคงเป็นเวลาอีกหลายเดือน อย่างน้อยก็ยื้อเวลาไปได้บ้าง

 

ในเรือนยังมีแขกผู้ใหญ่นั่งเจรจากันจนถึงพลบค่ำ บรรยากาศดูชื่นมื่น แตกต่างจากอีกฝั่งของชายป่าซึ่งเป็นที่ตั้งเรือนของนายขัน ตะวันลับแสงจนมืดสนิทแล้ว มีเพียงร่างสูงนั่งกอดเข่าหน้ากองไฟตามลำพัง…นัยน์ตาคมเจือไปด้วยความเศร้า

เขารู้ข่าวเรื่องนายแสงคำมาสู่ขอแม่เดือนแล้ว แม้อยากเข้าไปขัดขวางสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงนั่งกอดเข่ายอมรับความพ่ายแพ้ไปเท่านั้น เขามิใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกก็จริงอยู่ แม้จะมีที่นาทำกิน มีวัวเทียมเกวียน มีเงินทองเลี้ยงชีพมิได้ลำบากใดๆ แต่คงมิอาจไปสู้นายฮ้อยค้าวัวคราวละร้อยตัวเช่นนั้นได้

นึกได้อย่างนั้นนายขันก็พลันถอนหายใจเสียงเศร้า บิดาของเธอย่อมหวังดีอยากให้ลูกสาวอยู่สุขสบาย การเลือกคู่ครองให้ลูกเป็นชายหนุ่มมีฐานะก็ย่อมเป็นการดีกว่า แต่นายแสงคำเป็นชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน เหตุใดบิดาเธอจึงไว้ใจมากถึงเพียงนั้น หากเป็นโจรป่าจริงอย่างที่เขาคิด…หลังจากนี้ชีวิตแม่เดือนคงมิต่างจากตกนรกเป็นแน่

เหตุใดหนอ…เหตุใดหนอบิดาเธอจึงไม่ไตร่ตรองก่อนสักนิด

นายขันนั่งเหม่อมองกองไฟตรงหน้าด้วยความเศร้า แต่ก่อนจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาหา เมื่อหันตามเสียงไปจึงเห็นเป็นนายอิน หนุ่มชาวบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน ที่บัดนี้กำลังเดินปรี่เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“บักขัน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

“เออ…” นายขันเอ่ยตอบเสียงเศร้า “ถ้าเป็นเรื่องบักแสงคำมาขอหมั้น…กูรู้แล้ว”

“บ่แม่น” สหายรักของเขารีบปฏิเสธพลางเดินเข้ามาใกล้ “นายฮ้อยทรัพย์ต้อนวัวผ่านชายป่าบ้านเฮาเมื่อเช้า กูเห็นพอดีจึงไปถามเรื่องบักแสงคำ นายฮ้อยทรัพย์บอกว่ามันเป็นโจรป่า เคยได้ต่อสู้กันหลายรอบอยู่”

ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก

“มะ…หมายความว่า…”

“บักแสงคำบ่แม่นนายฮ้อย มันเป็นโจรป่า!”

“แล้วนายฮ้อยทรัพย์อยู่ไส” ชายหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน

“นายฮ้อยอยู่ชายป่าฝั่งใต้ มึงตามกูมาเร็ว…ก่อนนายฮ้อยสิเดินทางออกไปก่อน” นายอินกล่าวบอกสหายแล้วเดินนำทางไปทันที

ชายหนุ่มสองคนเดินเลียบชายป่าไปเพียงไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมาย ขบวนวัวควายของนายฮ้อยถูกต้อนไว้อยู่กลางทุ่ง แสงจันทร์ส่องสว่างทั่วผืนหญ้าทำให้มองเห็นบรรยากาศรอบกายชัดเจนนัก นายฮ้อยทรัพย์นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เบื้องหน้าเป็นกองไฟลุกโชน พร้อมกับชายฉกรรจ์อีกหลายคนนั่งสนทนา

“บักขัน กูคิดไว้แล้วว่ามึงต้องมา”

นายฮ้อยทรัพย์กล่าวทักทายเมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ชายหนุ่มเผลอเลิกคิ้วด้วยความสงสัย นายอินจึงหันกลับมาเอ่ยอธิบาย “กูเล่าให้นายฮ้อยฟังแล้ว เรื่องของมึงกับบักแสงคำ”

นายขันได้ยินดังนั้นจึงเข้ามาพนมมือไหว้ “นายฮ้อยช่วยข้อยได้บ่ บักแสงคำมันไปหลอกชาวบ้านว่ามันเป็นนายฮ้อย หลอกขอแต่งคนฮักของข้อยไปเป็นเมีย”

นายฮ้อยทรัพย์จ้องมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง เห็นความเจ็บปวดในแววตาก็นึกเวทนานัก เขาเองก็ตั้งใจจะกำจัดโจรชั่วอย่างนายแสงคำอยู่แล้ว เคยต่อสู้กันก็หลายครั้งหลายหน แต่เพราะนายแสงคำเป็นโจรป่ามากฝีมือจึงมิอาจกำจัดได้โดยง่าย เมื่อถูกนายขันขอร้องให้ช่วยเช่นนี้จึงยินดีช่วยโดยมิได้หวังผลตอบแทนใดๆ

“มึงบ่ต้องห่วง…กูกับบักแสงคำมีเรื่องต้องสะสางกันอีกหลาย” นายฮ้อยทรัพย์เอ่ยตอบ “ต่อให้มึงบ่มาขอร้อง…กูก็บ่มีทางปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่เป็นอันขาด”

 

หลังจากเจรจาสู่ขอจนกระทั่งแขกผู้ใหญ่กลับไปแล้ว บรรยากาศในเรือนจึงเงียบสงบลงอีกครั้ง เดือนเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเล็กๆ ของตนเอง บิดามารดาและน้องสาวต่างเข้านอนกันหมดแล้วจึงเหลือเพียงเธอตามลำพัง ร่างเล็กนั่งกอดเข่าเช็ดน้ำตาตนเองด้วยความปวดร้าว

เพราะเธอเป็นลูก…จึงมิอาจขัดคำสั่งพ่อแม่ หากท่านเห็นดีเห็นงามแล้วว่านายแสงคำเหมาะสมให้ได้ครองคู่ เธอจึงต้องยินยอมโดยไม่มีข้อแม้ แต่เธอไม่เคยมีใจให้เขาเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังรู้สึกกลัวเพราะเขาอาจมิได้เป็นอย่างที่ใครคิด

บิดาเธอก็หูเบาเชื่อคนง่ายเหลือเกิน เห็นมีเงินทองมากองตรงหน้าก็คิดว่าเขาร่ำรวยเสียแล้ว หากนายแสงคำเป็นโจรป่าขึ้นมาจริงๆ หรือทรัพย์สินเหล่านั้นได้มาโดยมิชอบเล่า หากตบแต่งกับเขาแล้วมารู้ความจริงภายหลัง…เธอจะทำอย่างไร

“เอื้อยเดือน…”

เดือนนั่งเช็ดน้ำตาตนเองเงียบๆ ก่อนจะหันขวับทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกหา เด็กหญิงแง้มประตูยื่นหน้าเข้ามา เห็นผู้เป็นพี่นั่งกอดเข่าร่ำไห้จึงเข้ามานั่งเคียงข้าง “เอื้อยเป็นหยังไป…”

“บ่เป็นยังดอก…” เดือนเอ่ยตอบน้องสาวก่อนจะซุกหน้าลงบนเข่าเพื่อซ่อนความเจ็บปวดไว้ เธอทุกข์ทรมานเหลือเกินกับเส้นทางที่ถูกเลือกให้

อันที่จริงบิดาของเธอเริ่มระแคะระคายเรื่องของเธอกับนายขันแล้ว และคงรู้แล้วว่าทั้งสองมีใจผูกพันกันมา แต่แล้วเหตุใดจึงใจร้ายกับเธอนัก…ยอมทำร้ายจิตใจลูกโดยให้เหตุผลว่าหวังดี ยอมยกลูกสาวให้ชายอีกคนได้ง่ายๆ เพียงเพราะอีกฝ่ายมีฐานะมั่นคงกว่าเท่านั้น

เหตุใดหนอ…เหตุใดจึงใจร้ายกับเธอเหลือเกิน…

“เอื้อยบ่เป็นหยังดอก เจ้าไปนอนกับพ่อแม่ได้แล้ว” เดือนยกมือปาดน้ำตาตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจูงมือน้องกลับไปยังห้องนอนอีกฝั่ง

เมื่อน้องยอมกลับเข้าไปโดยดีหญิงสาวจึงออกมานั่งรับลมคนเดียวเงียบๆ นัยน์ตาคู่ใสทอดมองความงามของจันทราในยามราตรี แม้จะดูงดงามมากเพียงใด…แต่เพราะใจที่ยังโศกเศร้าจึงมิอาจชื่นชมความงามนั้นได้

หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาตนเองอีกครั้ง ก่อนจะสะดุดตาเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ด้านล่าง เมื่อมองเห็นชัดว่าเขาเป็นใคร…เธอก็พลันเยียดยิ้มมุมปากด้วยความคับแค้น

“เดือน…ลงมาคุยกับอ้ายได้บ่”

แสงคำเอ่ยเรียกเสียงเศร้า เขารู้ดีว่าหญิงสาวมิได้เต็มใจรับการหมั้นหมาย เหตุที่ยอมตกลงก็เพราะมิอาจขัดประสงค์ของบิดาเพียงเท่านั้น เขารู้ว่าเธอมิได้มีใจ แต่หัวใจที่เฝ้าคะนึงหา…มันก็มากเกินกว่าจะปล่อยเธอไปเป็นของใครอื่น

เดือนไม่ยอมปริปากสนทนา นัยน์ตาคู่ใสเจือไปด้วยความโกรธที่เขาทำสิ่งใดโดยพละการ ไม่สนใจความรู้สึกเธอเลยสักนิด บัดนี้จึงโกรธเคืองเขามากเสียจนไม่อยากเห็นหน้า ร่างเล็กจึงหันหลังกลับเข้าห้องนอนไป…ปล่อยให้เขายืนเคว้งอยู่ตรงนั้น

ชายหนุ่มยืนมองความว่างเปล่าตรงนั้นนานโข…ก่อนจะถอนหายใจเสียงเศร้า

นึกไปก็แปลกเหลือเกินที่เขามิกล้าล่วงเกินเธอแม้เพียงปลายก้อย แม้ต้องการอิงแอบแนบกายเพียงใดก็มิคิดฉวยโอกาสในเวลานี้ แม้บิดาเธอจะยอมรับการสู่ขอแล้ว…แต่เหตุใดหนอเขาจึงอยากรอให้เธอยอมเคียงกายด้วยความเต็มใจ

แต่น้ำตาของเธอทำเขาเจ็บปวดใจนัก

เมื่อใดหนอ…เมื่อใดเธอจักยอมเห็นค่ารักของเขาเสียที…



Don`t copy text!