สายแนน บทที่ 5 : รอยอดีต

สายแนน บทที่ 5 : รอยอดีต

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

สายลมบางเบาพัดผ่านให้เย็นกาย บรรยากาศยามสายในเรือนของปิ่นวันนี้ดูสดชื่นแจ่มใส หญิงสาวนั่งอยู่ในครัวคนเดียว กำลังเตรียมข้าวปลาอาหารไปถวายเพลในวันนี้ ตะกร้าหวายข้างกายมีข้าวเหนียวร้อนๆ ห่อด้วยใบตองชาดแล้วใช้ตอกมัดให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีปลาช่อนย่างเกลือ น้ำพริกปลาร้ากินกับผักสดหลายชนิด ทั้งผักเม็ก ผักหนอก และดอกสะเดาที่เพิ่งเก็บมาใหม่

แต่เตรียมข้าวของยังมิทันเสร็จก็ได้ยินเสียงมารดาเดินเข้ามาหา เห็นเธอห่ออาหารแยกเป็นสองส่วนก็พลันขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “ห่อข้าวแต่เช้า…สิไปไสลูก”

“ไปวัดจ้ะ”

ปิ่นเอ่ยตอบมารดา มือบางคว้าใบตองชาดมาห่อปลาช่อนย่างเกลืออีกตัวหนึ่ง นางสายจึงขยับเข้ามานั่งเคียงข้างพลางจ้องมองลูกสาวด้วยความสงสัย

“แล้วเป็นหยังจึงแบ่งข้าวเป็นสองห่อ”

ปิ่นฟังคำถามก็นั่งเงียบไป ก่อนจะตัดสินใจกล่าวตอบตามตรง “ข้าวปลาบางส่วนลูกเอาไปให้อ้ายทองจ้ะ…พักหลังมานี้อ้ายทองอยู่แต่ในวัด ร่ำเรียนวิชากับหลวงลุงขันตั้งแต่เช้าจนฟ้ามืด บ่มีเวลาหุงหาอาหารกินเอง ลูกเลยห่อข้าวเอาไปส่ง”

“แล้วเป็นหยังต้องเอาไปให้มัน ต่อให้บักทองบ่มีข้าวกิน…มันก็บ่เกี่ยวกับเจ้า” นางสายกล่าวเตือนสติผู้เป็นลูก “ปิ่นเอ๋ย เจ้าเองก็บ่แม่นเด็กน้อยแล้ว…บ่สมควรหุงหากับข้าวไปให้เขา หากเจ้าบ่เชื่อฟังคำ ชาวบ้านคงได้นินทากันทั่วว่าเจ้าวางตัวบ่งาม”

ถูกมารดาตำหนิเช่นนั้นปิ่นจึงทำได้เพียงก้มหน้ารับ แต่สองมือกลับคว้าตอกมัดห่อใบตองชาดกับปลาปิ้งไว้ให้เขาดังเดิม สร้างความหงุดหงิดใจให้ผู้เป็นมารดาไม่น้อย

“ปิ่น…เจ้าได้ยินที่แม่สอนบ่”

“ได้ยินจ้ะ” หญิงสาวกล่าวตอบเสียงเบา “แต่ลูกต้องเอาไปให้เขา อ้ายทองได้ไปเรียนวิชากับหลวงลุงขันก็เป็นเพราะอยากมีวิชาอาคมมาคุ้มครองลูก…หากลูกถูกผีเข้าเหมือนคืนนั้นอีก”

“บ่จำเป็น” นางสายกล่าวตอบทันที “บ่ต้องเดือดร้อนบักทองดอก พ่อกับแม่ดูแลเจ้าได้…หากเจ้าถูกผีเข้าอีกแม่สิพาไปหาลุงแสงคำ”

ชื่อที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ปิ่นนิ่งชะงัก ความกลัวของเธอยังแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึก นายแสงคำมีอาคมแก่กล้าก็จริงอยู่ แต่แววตาที่มองเธอก็ดูน่ากลัวมากจนเธอมิกล้าเข้าใกล้…แล้วมารดายังกล้าไว้ใจให้เขาช่วยเหลือได้อย่างไร

เผลอๆ เรื่องคืนนั้น…อาจเป็นฝีมือนายแสงคำก็เป็นได้

“แม่จ๋า…อย่าพาลูกไปหาลุงแสงคำอีกเลยได้บ่” ปิ่นก้มหน้าเอ่ยขอร้อง นัยน์ตาคู่ใสนั้นเจือความหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด “ในเมื่ออ้ายทองยอมเฮ็ดทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก…แล้วเป็นหยังแม่ต้องปฏิเสธเขา”

“แม่บ่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่แม่บ่อยากให้เจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน” นางสายเอ่ยตอบตามตรง แม้บัดนี้แม่ปิ่นจะอายุย่างเข้าสิบแปดปี สมควรออกเหย้าออกเรือนไปเสียตั้งนานแล้ว แต่คนเป็นแม่เช่นเธอก็คงรักและห่วงลูกเป็นธรรมดา หากวันหนึ่งลูกต้องแยกเรือนออกไป เธอก็อยากให้ออกเรือนกับชายใดที่เหมาะสม

“เข้าใจที่แม่สอนบ่…”

เมื่อปิ่นเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมตอบ นางสายจึงทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ พลางทอดสายตามองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ทองเป็นชายหนุ่มขยันขันแข็งและยังมากความสามารถก็จริงอยู่ แต่ก็ยังมีชายหนุ่มอีกหลายคนเช่นกันที่จะทำให้แม่ปิ่นอยู่อย่างเป็นสุขมากกว่านี้

แต่เมื่อเห็นท่าทีดื้อรั้นของลูกสาว…นางสายก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น แม้ใจหนึ่งจะอยากให้แม่ปิ่นออกเรือนกับชายที่เหมาะสมมากกว่านี้มากเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาขึ้นมา เธอก็คงมิกล้าบังคับขืนใจลูกมากนัก เพราะเกรงว่าชะตาชีวิตลูกจะเป็นเหมือนแม่เดือนเมื่อสามสิบปีก่อน ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นด้วยการบังคับเลือกคู่ครองให้…บางคราก็อาจมิใช่หนทางที่ดีนัก

สุดท้ายแล้วนางสายจึงทำได้เพียงบอกกล่าวตักเตือนลูกเท่านั้น แต่หากแม่ปิ่นไม่ยอมฟังและยังดื้อรั้นมอบใจให้เพียงชายผู้นี้…เมื่อนั้นคนเป็นแม่ก็คงทำอะไรมิได้…

 

ยามบ่ายในวันเดียวกันอาณาเขตวัดก็ยังคงสงบและร่มรื่น ชาวบ้านที่มาทำบุญกลับไปตั้งแต่หลังเพลแล้ว ในศาลาท้ายวัดจึงไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา มีเพียงทองที่นั่งขัดสมาธิพนมมือโดยมีสมภารขันทำพิธีสักน้ำมันให้

สองมือของสมภารถือเข็มสักด้วยท่าทีสงบนิ่ง ค่อยๆ ลงมือพร้อมร่ายคาถา แม้สักน้ำมันจะมองไม่เห็นลวดลาย แต่รอยแดงที่เกิดกลางแผ่นหลังก็พอมองออกว่าเป็นยันต์อาวุธทั้งสี่ ซึ่งเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ป้องกันสารพัดภูตผี ถอนแก้คุณไสยได้

สมภารขันใช้เวลาสักยันต์บนแผ่นหลังนั้นนานโข เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงนั่งพักบนอาสนะในศาลา สายตาหันมองชายหนุ่มที่กำลังก้มกราบด้วยความเคารพ ทองร่ำเรียนอาคมไปบางส่วนแล้วสมภารจึงต้องสักน้ำมันเพื่อป้องกันภัยให้ เพราะรู้ว่าอีกไม่นานนายแสงคำต้องกลับมาทำร้ายแม่ปิ่นอีก

“ยันต์อาวุธทั้งสี่ที่กูสักให้…เป็นยันต์ป้องกันภูตผี ป้องกันคุณไสยมนตร์ดำได้ทุกอย่าง” สมภารขันเอ่ยอธิบายท่าทีจริงจังนัก “บักแสงคำมันมีอาคมแก่กล้ากว่าที่มึงคิด หากมึงบ่มียันต์คุ้มครองป้องกัน ก็อาจถูกมันเล่นงานได้ง่ายๆ”

“แต่ต่อให้กูสักให้แล้ว…มึงก็บ่ควรประมาท” สมภารกล่าวย้ำ

ทองพยักหน้ารับก่อนจะก้มกราบลงบนพื้นด้วยความเคารพ เขารับรู้ได้ว่าพักหลังมานี้สมภารขันดูกังวลมากกว่าปกติ ราวกับรู้ว่าอีกไม่นานจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น หากเกิดกับตนเองเขาก็คงไม่กังวลนัก แต่เมื่อเกิดกับแม่ปิ่นเช่นนี้จึงทำให้เขาร้อนรนจนไม่รู้จะทำอย่างไร

“หลวงลุงขอรับ…ข้อยถามหยังได้บ่”

“ว่ามา”

แม้สมภารขันเอ่ยอนุญาตแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรถามดีหรือไม่ แต่ความสงสัยที่มิเคยได้คำตอบสักทีจึงทำให้ทนไม่ไหว “หลวงลุงเล่าให้ฟังได้บ่…ว่ามันเกิดอีหยังขึ้น เรื่องที่หมอผีแสงคำคิดทำร้ายอีนางปิ่น มันเกี่ยวกับป้าเดือนที่ตายไปเมื่อสามสิบปีก่อนแม่นบ่”

สมภารขันได้ฟังคำถามก็ยกยิ้มจางๆ นัยน์ตาพลันเจือความเศร้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด…ความทรงจำที่เคยมีก็ยังแจ่มชัดจนมิอาจลบเลือนมันไปได้

“หากมึงอยากรู้…กูสิเว้าให้ฟัง..”

 

30 ปีก่อนหน้า…

เมื่อนายฮ้อยทรัพย์รับปากจะช่วยเปิดโปงพวกโจรป่า นายขันและพรรคพวกจึงกลับมาเตรียมอาวุธให้พร้อมต่อสู้ในคืนนี้ ร่างสูงนั่งอยู่บนแคร่ข้างบันได พร้าเล่มเล็กจับถนัดมือไว้ใส่ไว้ในปลอกแล้วเหน็บข้างเอวพร้อมใช้ ในย่ามคล้องไหล่มีอาวุธอีกหลายอย่าง

เขาต้องตามไปสบทบนายฮ้อยในคืนนี้ เพราะหลังจากเจรจาสู่ขอแม่เดือนเรียบร้อยแล้วพวกมันก็ออกเดินทางกลับทันที โดยให้เหตุผลแก่บิดาของเดือนว่าต้องรีบกลับไปค้าขาย นายฮ้อยทรัพย์และพรรคพวกจึงซุ่มกำลังรอพวกมันอยู่ชายป่าฝั่งทิศตะวันตก

เขาเองก็ต้องไปช่วยนายฮ้อยทรัพย์เช่นกัน ถึงอย่างไรก็ต้องหาทางกำจัดพวกมันก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้…เขาจักไม่มีวันให้คนชั่วช้าอย่างมันมาพรากแม่เดือนไปเป็นอันขาด

เก็บอาวุธเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงเดินลัดชายป่าจนกระทั่งถึงทุ่งหญ้าที่นัดหมาย แต่เมื่อกวาดสายตามองทุ่งหญ้าท่ามกลางแสงจันทร์ยามราตรี ร่างสูงก็พลันนิ่งชะงัก…ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก

เพราะเบื้องหน้าเป็นชายฉกรรจ์ราวสี่สิบคนนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น เลือดไหลทะลักจากการต่อสู้ คนบาดเจ็บมีทั้งฝั่งโจรป่าและฝั่งนายฮ้อยทรัพย์ด้วย ถัดไปไม่ไกลนักก็เห็นนายฮ้อยกับนายแสงคำกำลังต่อสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร แต่เพราะแสงคำเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงกำยำ ต่างจากนายฮ้อยทรัพย์ที่อายุย่างเข้าห้าสิบปีแล้ว แรงปะทะจึงต่างกันมากนัก

“บักแสงคำ!”

นายขันตวาดเสียงดังพร้อมเขวี้ยงมีดพกพุ่งเข้าไปหา มีดพุ่งเฉียดหน้าแสงคำไปเพียงเล็กน้อย นัยน์ตาดุดันนั้นเจือความโกรธถึงขีดสุด ก่อนชายหนุ่มสองคนจะเดินปรี่เข้าหากันอย่างรวดเร็วด้วยแรงโทสะ เพราะเพียงเห็นหน้าจากไกลๆ นายแสงคำก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

คืนที่เขาแอบตามแม่เดือนไป…เขาจำได้ว่าชายตรงหน้านี้เป็นคนเก็บก้อนครั่งมาให้หญิงสาว อีกทั้งสายตาที่มองมาก็เจือไปด้วยความคับแค้นเช่นนี้…ไม่ผิดตัวแน่…

“บักแสงคำ! คืนนี้บ่มึงก็กู ที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”

ชายหนุ่มตวาดเสียงดังลั่น มือกำพร้าไว้แน่นแล้วพุ่งเข้าหาทันที นายแสงคำเบี่ยงตัวหลบก่อนจะชกเข้าข้างกรามอีกฝ่ายอย่างแรง แต่เพราะร่างสูงกำยำไล่เลี่ยกันนายขันจึงคว้าแขนอีกฝ่ายได้แล้วยกขาถีบสุดแรงเกิด

ร่างนายแสงคำกระเด็นออกตามแรงถีบ แต่ก็ลุกขึ้นได้พร้อมคว้าดาบพุ่งเข้าหา นายขันจึงเบี่ยงตัวหลบแล้วตวัดเท้าเตะเข้ากรามอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายล้มเกลือกกลิ้งเป็นครั้งที่สอง มุมปากมีเลือดซึมออกมา ความเจ็บทวีคูณขึ้นยิ่งเพิ่มโทสะให้ถึงขีดสุด แต่ก่อนแสงคำจะเอ่ยคำใดออกมาได้…นายขันก็คว้าดาบตวัดชี้หน้าทันที

“บักโจรชั่ว…คืนนี้กูจะเปิดโปงความชั่วของมึงให้ได้!” นายขันเอ่ยลอดไรฟันด้วยความแค้น “อย่าหวังว่าสิหลอกเอาลูกสาวเขาง่ายๆ กูรักของกูมาหลายปี กูบ่มีทางให้คนอย่างมึงมาแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย!”

“แล้วมึงสิเฮ็ดหยังกูได้…” แสงคำยกมือเช็ดเลือดมุมปากพลางหัวเราะเย้ยหยัน “ป่าวประกาศไปก็บ่มีประโยชน์…ไผเขาสิเชื่อมึง!”

“บักแสงคำ!”

แสงคำเงยหน้าแสยะยิ้มให้อย่างผู้ชนะ…ก่อนร่างจะค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศเพราะใช้มนตร์อำพรางกาย ทำให้นายขันยืนชะงักไปด้วยความสับสน เพียงไม่นานก็ถูกกำปั้นล่องหนต่อยเข้ากรามซ้ายจนล้มเกลือกกลิ้ง

“เฮ้ย!”

แม้นายขันพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องร่วงลงกับพื้นอีกครั้งเพราะถูกเท้าปริศนาถีบเข้ากลางยอดอก ร่างสูงของแสงคำปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมตวัดดาบชี้หน้า

“หากกูจะฆ่ามึงให้ตายคืนนี้…มันคงง่ายเกินไป”

แสงคำเอ่ยเสียงเหี้ยม สายตาที่มองมานั้นแข็งกร้าวชวนขนลุก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน…กูสิเก็บมึงไว้ให้มาเห็นภาพบาดตาบาดใจ ให้เห็นยามกูกับเดือนร่วมหอเป็นผัวเมีย…มึงอย่าอกแตกตายไปก่อนแล้วกัน!”



Don`t copy text!