แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 4 : พระธาตุเวียงอินทร์

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 4 : พระธาตุเวียงอินทร์

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

“หนาว ฮุย ฮุย…หนาว”

เสียงพูดคุยกันเบาๆ ของคนเฒ่าคนแก่ที่ตื่นมาสุมก่อกองไฟแต่ไก่โห่พอมีให้ได้ยิน สายมาอีกนิดพวกคนหนุ่มสาวก็ตื่นตามๆ กันขึ้นมา เพื่อจัดเตรียมข้าวของให้พร้อมออกเดินทาง เวลานี้ หมอกใกล้รุ่งนั้นลงหนาจัดจนมองไปข้างหน้าแทบไม่เห็นอะไร คบไฟไม้เกี๊ยะหลายสิบดวงจึงถูกจุดตั้งวางไว้จนสว่างโร่ไปทั่วบริเวณ

ดวงจันทร์คืนสิบสี่ค่ำยังไม่ทันลี้หายไปจากท้องฟ้า ช้างพลายสองพี่น้องที่ชื่อว่า พะตูลู และ พะเหม่ก็ถูกควาญขึ้นขี่คอพลางใช้ขอสับ บังคับให้ย่อลงรับกูบและแหย่งช้างหรือสัปคับขึ้นมาวางบนหลัง ก่อนจะขับกันมารับเอาบรรดาเจ้านายที่ยืนรออยู่ให้ขึ้นไปประทับนั่งอยู่ด้านบน ครั้นเสร็จแล้ว ทั้งขบวนช้าง ม้าและข้าคนก็จึงค่อยๆ เคลื่อนคลาออกจากที่พักแรม ออกเดินทางขึ้นไปด้านทิศเหนือเป็นขบวนแถวเรียงราย

เจ้าสอาดองค์ทรงประทับอยู่บนหลังช้างพระที่นั่งร่วมกับเจ้าสิงห์ไชย บุตรชายคนเล็กที่เป็นหนุ่มน้อยวัยสิบสี่ ส่วนเจ้าน้อยยี่ผู้เป็นพระเชษฐาของท่าน ทรงนั่งประทับบนหลังช้างเชือกแรกร่วมกับชายา ผู้มีนามว่า เจ้าผ่องแสง

ขบวนช้างของเจ้านายเคลื่อนผ่านป่าพรรณแมกไม้ทึบสลับร้าง ขนาบตีนช้างทั้งสองเชือกมีเหล่าทหารเดินเท้าคอยคุ้มกัน ทหารองครักษ์บางส่วนสะพายอาวุธปืนควบหลังม้านำหน้าเบิกทาง บางส่วนปิดท้ายขบวนอยู่ด้านหลัง

เสียงนกร้องดังก้องป่าเสียงเจื้อยแจ้ว ฝูงคนในขบวนต่างเพลิดเพลินใจยิ่งแล้ว ฟังเสียงนกจี๋จ่อหรือนกขมิ้นน้อยขับขานลั่นเต็มดง สักพักควาญช้างชาวไทลื้อก็เอ่ยเอื้อนขับลื้อเสียงดังก้องป่าห้วย

หาวหวอดๆ คนนอนดึกตื่นเช้าเผลอสัปหงกง่วงนอน ขณะนั่งหลบหยาดน้ำค้างอยู่ภายใต้หลังคาเกวียนร่วมกับคนอื่นๆ หญิงสาวสะลึมสะลือลืมตาตื่น ก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงทหารหน้าขบวนตะโกนบอกคนด้านหลังว่าให้หยุดขบวนก่อน ด้วยเส้นทางด้านหน้าเป็นทางลงเนินที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเกาะใบหญ้า

“อี่หล้า ตื่น” เสียงหญิงวัยอาวุโสกว่าปลุกเรียก

“ถึงพระธาตุเวียงอินทร์แล้วหรือพี่หม่วย”

“ยัง แต่ทหารท่านให้ละเกวียนลงไปเดินทางล่างก่อน ข้างหน้ามีเหมยขาบ ไปเร็ว ลุก”

นางหม่วยปลุกเรียกจันทร์หล้าแล้วก็จึงหันไปส่ายหน้าระอาใจกับหญิงสาวอีกนาง นางหมูตอนกำลังนั่งหลับหัวคะมำเอนไปเอนมาอยู่ตรงมุมเกวียน อ้าปากหวอน้ำลายยืดไหลแลดูน่าเกลียดพิลึก

“ให้กูปลุกอี่หล้าแล้ว กูก็ต้องมาปลุกอี่ม่อนหอมอีก พวกสูสองคนนี่ช่างบ่เอาไหน…นี่แหละหนา ดึกดื่นครึ่งคืนบ่พากันหลับนอน”

ม่อนหอมปาดน้ำลายข้างแก้มตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงบ่นพรั่งพรูมาแต่เช้า พร้อมกันนั้นขบวนก็หยุดจอดเพื่อให้เจ้านายที่ประทับด้านบนหลังช้างได้ลงมาด้านล่างอย่างปลอดภัย

พวกนางพี่เลี้ยงของเจ้าชายหนุ่มน้อยรีบถลาเข้ามาประคองรับท่านลงจากหลังช้างกันอย่างชุลมุน ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ซ้ำแขนซ้ายยังพิการผิดรูป จึงทำให้เจ้าสิงห์ไชยช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้แถมยามจะหยิบจับกวักเกี่ยวอะไรก็ยากลำบาก จริงอยู่ที่ท่านเป็นหนุ่มน้อยรูปงาม หากแต่ผิวพรรณขาวซีดตลอดเวลาด้วยโรคประจำตัวที่เป็นมาแต่กำเนิด

“เห็นเจ้าอามแล้ว ใครๆ ต่างก็สังเวชท่าน”

ม่อนหอมกล่าวเบาๆ อยู่ข้างหูเพื่อนรัก พลางทำสายตาล่อกแล่กขณะเดินร่วมกับกลุ่มพวกข้ารับใช้ สาวๆ ต่างสวมใส่เสื้อกระดุมป้ายข้างแขนยาวและผ้าซิ่นสีน้ำเงินอันเป็นเครื่องแบบ สวมทับร่างกายด้วยเครื่องห่มอุ่นทั้งเสื้ออุ่น ถุงเท้าและผ้าตุ้มห่มร่าง

“เจ้าอามท่านเมตตาชุบเลี้ยงคนยากไร้มานักต่อนัก แต่ว่าบุตรธิดาของท่านกลับเกิดมามีกรรม”

“กรรมอันใด”

“ขี้โรคไปสองคน โชคยังดี ที่บุตรชายคนโตของท่านเป็นคนปกติ”

“สูมันคนบ่ดี ม่อนหอม” จันทร์หล้ารีบผลักไสม่อนหอมให้ออกไปอยู่ห่างๆ “…สูกล้าดียังไงมานินทาเจ้านายให้ข้าฟัง กลัวขี้กลากจะกินหัวสูคนเดียวบ่พอหรือยังไง ถึงจะเอาขี้กลากมาใส่หัวข้าอีกคน”

ไม่ซึมซาบในวาจา สาวร่างตันยังขยับกลับเข้ามานัวเนียกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเพื่อนอีกหน

“ก็ดูสิ บุตรธิดาทั้งสามองค์ องค์เล็กเป็นง่อยเปลี้ยเสียแขน ส่วนธิดาองค์รองก็เป็นโรคพูดติดอ่าง”

“บุตรธิดาท่านบ่แข็งแรง หาใช่เพราะเวรกรรมอันใดของท่านดอก”

“ใช่สิ ใครๆ ก็ว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ท่านเองก็ยังพูดเอง แล้วที่เจ้านางทุ่มทำทานมหาศาลในแต่ละครั้งนะ ก็เพื่อหวังจะส่งบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของบุตรธิดาท่านนี่แหละ”

“หากข้าเป็นคนมั่งมี ข้าก็จะทำเหมือนเจ้านาง หากบุญบาปมีน้ำหนัก ข้าก็อยากจะทำบุญให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้” หญิงหน้ามนหันมาถาม “…แล้วถ้าเป็นสูล่ะ สูจะทำยังไง”

“ก็คงทำเหมือนกันนั่นแหละ”

“งั้นสูก็เลิกพูดถึงเจ้าอามทางนี้ได้แล้ว ข้าบ่ชอบ”

“บ่พูดถึงเจ้าอามก็ได้ งั้นข้าพูดถึงเจ้าสามเมืองแทน” ม่อนหอมยกผ้าพาดสีแดงก่ำผืนใหญ่คลุมหัวกันหมอก “…สูยังบ่เคยพบเจ้าสามเมือง บุตรชายคนโตของเจ้านางท่านสักครั้งสินะ”

จันทร์หล้าส่ายหน้าตามซื่อ ม่อนหอมจึงว่าไปต่อ

“ข้าอยากให้สูได้เห็นท่านนัก ตัวจริงของท่านนะ รูปงามนักสูเอ๊ย…เจ้าชายนายแพทย์หนุ่มหล่อ ท่านเป็นถึงนักเรียนทุนของรัฐบาลเชียวนา ได้ทุนไปเรียนตำราหมอไกลถึงสยาม”

แม้จะติดใจคำว่าสยามจนเงียบไปพักใหญ่ๆ แต่จันทร์หล้าก็ไม่ทำหรือเปิดเผยอะไรไปมากกว่านั้น

“แล้วเจ้าชายท่าน…จะกลับบ้านเมืองมาบ้างไหม”

“ท่านกำลังจะกลับมาในอีกบ่ช้า ช่วงปลายปีบ้านเมืองเฮาจะมีงานใหญ่ เป็นงานเลี้ยงต้อนรับคณะนักเรียนทุนที่กลับมาจากไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศ เจ้าสามเมืองท่านจะกลับมาช่วงนั้น”

 

ไม่นานนัก แสงอาทิตย์ลำอ่อนรำไรก็ค่อยๆ ปรากฏโผล่พ้นเทือกเขาสูงใหญ่ที่ทอดตัวอยู่ทางด้านทิศตะวันออก

ยามตีนฟ้ายก เมื่อนั้น ฉากท้องฟ้าที่เคยมืดมิดจึงค่อยๆ สว่างแจ้ง และหมอกสีขาวก็เริ่มจาง ก่อนจะลอยละล่องขึ้นไปรวมกับกลุ่มก้อนเมฆด้านบน

ขบวนช้างคณะทำบุญเดินทางมาหยุดยังเชิงสะพานที่ทอดตัวยาวตัดกับฉากหลังที่เป็นสีเขียวสดของท้องทุ่ง สะพานแห่งนั้นเป็นสะพานไม้ไผ่สานยกสูง สร้างเป็นทางเชื่อมกันระหว่างหมู่บ้านและเชิงบันไดขึ้นสู่พระธาตุ บัดนี้บรรยากาศโดยรอบบริเวณต่างโอบล้อมไปด้วยแรงศรัทธาในศาสนา ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้มานั่งรอใส่บาตรตั้งแต่เช้ามืดอย่างพร้อมเพรียง ต่างจัดเรียงเตรียมของใส่บาตรพระสงฆ์ร้อยรูปกันอย่างพร้อมพรัก อีกยังช่วยกันตกแต่งซุ้มประตูและตัวสะพานด้วยดอกไม้สด ต้นกล้วย ต้นอ้อย และช่อตุงหรือที่เรียกกันว่า ‘ตำข่อน’

ช้างหนุ่มทั้งสองเชือกค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อส่งบรรดาเจ้านายลงมายังเบื้องล่าง จากนั้นเหล่าทหารราชองครักษ์ก็เดินนำหน้าพาคณะเจ้านายข้ามสะพานมายังอีกฝั่ง ตรงป้ายบอกทางขึ้นพระธาตุเวียงอินทร์นั้น มีซุ้มราชวัตรและจองพาราหรือปราสาทพระพุทธรูปตั้งประดับอยู่อย่างสวยงาม

เจ้าสอาดองค์ผู้มีพระยศเป็นชายาเจ้าฟ้าหลวงยกมือขึ้นไหว้สาองค์พระ ก่อนจะนำข้าบริวารของท่านมานั่งอยู่ตามขั้นบันได เพื่อรอใส่บาตรพระสงฆ์ที่กำลังจะเดินลงมารับบิณฑบาต เป็นว่าจำลองการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธเจ้าลงมาจากสรวงสวรรค์ สิ่งของที่เตรียมนำมาใส่บาตรนั้น มีทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ผลไม้ และดอกไม้ธูปเทียน

หลังจากใส่บาตรพระสงฆ์เสร็จ บรรดาเจ้านายและข้ารับใช้ผู้ติดตามก็พากันเดินขึ้นบันไดสามร้อยเจ็ดสิบขั้น เพื่อขึ้นไปสักการะและฟังธรรมเทศนายังวิหารด้านบนพระธาตุเวียงอินทร์ พวกสาวๆ ต่างช่วยกันถือหาบสิ่งของประเภทต้นเงินต้นทอง ส่วนพวกชายหนุ่มก็ช่วยกันแบกหามหีบไม้ขึ้นใส่บ่า ด้านในหีบเหล่านั้นเป็นผ้าห่อคัมภีร์โบราณราคาแพงระยับ จำนวนห้าสิบมัดรวมทั้งหมดหนึ่งร้อยผืน

ข่าวการเสด็จมาของเจ้านายจากเมืองหลวงแพร่กระจายออกไปพอทั่ว ชาวบ้านที่ได้ทราบข่าวต่างก็พากันหอบลูกจูงหลานมานั่งหมอบพร้อมกราบไหว้ รอต้อนรับพวกท่านกันอย่างเนืองแน่นเต็มลานวิหารวัดด้านบน เห็งหรือผู้ใหญ่บ้านพร้อมด้วยภรรยารับหน้าที่เป็นผู้ออกนำชาวบ้านกล่าวคำไหว้สาเจ้านาย หลังจากขบวนใหญ่ขึ้นไปถึง

จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าผู้คนเริ่มมากันแน่นจนเต็มบริเวณแล้ว ปู่เห็งเฒ่าก็รีบเชื้อเชิญเจ้านายทั้งสี่ขึ้นนั่งบนวิหารธรรม ก่อนจะชี้ให้พวกหนุ่มๆ ที่หามหีบไม้มา รีบนำหีบห่อผ้าถวายทานไปวางเก็บไว้ในโรงด้านใน

วิหารธรรมหลังใหญ่สร้างขึ้นด้วยไม้สักทั้งหลัง ภายในวิหารตกแต่งด้วยไม้แกะสลักและลงรักปิดทองเป็นลวดลายที่สวยงาม มีรายนามผู้บริจาคทานเป็นภาษาไทจารึกไว้จนเต็มเสาวิหารแต่ละต้น ตรงกลางวิหารที่มีผู้คนเข้ามานั่งรอฟังธรรมเทศนา มีแท่นบูชาพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประทับอยู่ ด้านหลังประตูไม้ลวดลายแกะสลักที่เปิดสู่ลานโล่งๆ ด้านนอก มีพระมหาธาตุเวียงอินทร์สีทององค์มหึมาตั้งเด่นตระหง่านเป็นศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วยวิหารน้อยใหญ่ทั้งสี่ทิศ

เสียงเย็นก้องใสเป็นเสียงของกังสดาลที่กำลังตีดังสนั่นไปจนทั่วบริเวณ เป็นระลอกคลื่นเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสงบอย่างน่าอัศจรรย์…

จันทร์หล้านั่งรวมกับคนอื่นอยู่ด้านหลังเจ้านาย พลางเอาแต่จดๆ จ้องๆ กลุ่มนักบวชหญิงที่เรียกกันว่า ‘ตี่ละฉิ่น’ อย่างไม่วางตา พวกท่านเป็นผู้ทรงศีลผู้ครองผ้านุ่งห่มสีชมพูส้ม โกนศีรษะจนโล้นเกลี้ยง ตี่ละฉิ่นที่มารอฟังธรรมบนวิหารมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และคนชรา จันทร์หล้าไม่เคยรู้จักตี่ละฉิ่นมาก่อน เพราะที่หมู่บ้านของนางหากเป็นสตรีที่ออกบวช ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ชีที่นุ่งขาวห่มขาวเสียมากกว่า

ในตอนนั้นเอง เสียงจ้อกแจ้กจอแจในวิหารก็ค่อยๆ เงียบลงไป เมื่อมีวัยรุ่นนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นท่ามกลางคนหมู่มาก หล่อนมีกิริยามารยาทชดช้อยขณะก้มลงกราบพระประธาน และพอหล่อนก้มลงกราบพระ ผู้คนก็พร้อมใจกันกราบพระตามหล่อน

“เป็นธรรมเนียมก่อนการแสดงธรรมเทศนาของคนทางนี้ ทุกครั้ง พวกเขาจะมีอุบาสิกาที่รักษาศีลแปดมารับหน้าที่ขับลำนำสรรเสริญพระธรรม ก่อนพระอาจารย์ท่านจะออกเทศน์ธรรมกัณฑ์ต่างๆ”

“ที่หมู่บ้านของข้าจะมีพ่อหนาน คอยกล่าวอัญเชิญอาราธนาธรรมและศีลห้าก่อนตุ๊เจ้าจะออกเทศน์”

“อันใดคือตุ๊เจ้า”

“คือพระสงฆ์ คือครูบา”

ท่ามกลางความเงียบสงัดของสรรพสิ่งที่เงียบเชียบจนได้ยินแต่เพียงเสียงลมพัด ภาพชาวบ้านที่นั่งพนมมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงช่างสวยงามมากนัก ทุกคนต่างตั้งสมาธิจดจ่อไปในทิศทางเดียวกัน จันทร์หล้าที่นั่งอยู่ท่ามกลางวาระบุญ พลันสัมผัสได้ถึงความสงบและศรัทธาอันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชนคนทุกหมู่เล่า

…ความศรัทธาไม่เคยแยกชนชั้นและเชื้อชาติ ความศรัทธาหล่อหลอมผู้มีใจใฝ่ธรรมะให้รวมเข้ากันเป็นหนึ่ง

กระทั่งเมื่อพระเถระอาจารย์ออกมาแสดงธรรมเทศนาจนเสร็จสิ้น ผู้คนในวิหารต่างก็ทยอยกันออกมากราบไหว้สักการะองค์พระธาตุเวียงอินทร์ยังลานด้านนอก

จันทร์หล้าและม่อนหอมมีสวยดอกและธูปเทียนที่เตรียมมาเอง ก่อนจะใช้เบี้ยออมอันน้อยนิดที่เก็บสะสมส่วนตัวมาซื้อเครื่องหอมเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย เครื่องหอมที่ว่านี้เป็นน้ำมันจากไม้กฤษณาและกำยานที่ทำมาจากยางของต้นอะไรบางอย่าง มีกลิ่นฉุนแรงเฉพาะตัว และเมื่อมีทั้งสวยดอกและเครื่องหอมแล้ว
ทั้งสองสาวก็จึงแยกกันไปนั่งกราบพระในมุมวันเกิดของใครของมัน จันทร์หล้าเกิดวันจันทร์ ส่วนม่อนหอมเกิดวันศุกร์ มุมวันจันทร์คนบางตาไม่แออัด ต่างจากมุมของวันศุกร์ที่คนอัดแน่นจนเบียดเสียด

เมื่อนั่งคุกเข่าลงกราบต่อหน้าพระพุทธรูปแล้ว จันทร์หล้าก็ยกกรวยดอกไม้และธูปเทียนขึ้นไหว้ ว่าแล้วก็หลับตาสวดมนต์พร้อมกับตั้งจิตภาวนาในใจ ระหว่างนั้นหูก็ได้ยินเสียงสะท้อนของกังสดาลและเสียงลมหนาวพัดยอดไม้ลู่ไหวบนดอยสูง

สวดมนต์ยังไม่ทันถึงไหน ใจหญิงสาวก็หวนรำลึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน ภาพจำในวันวานและเหตุการณ์บางอย่างนั้นปรากฏชัดขึ้นเพียงแวบหนึ่ง หากแต่ติดตรึงตาจนทำสมาธิหลุด…จันทร์หล้าลืมตาขึ้นอย่างว่างเปล่า นางได้แต่ถอนหายใจ

สักพักก็จึงลุกเอาดอกไม้ธูปเทียนไปวางใส่ไว้ในภาชนะทองเหลืองที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับหยิบยกเอา ‘ก๊อกซอมต่อ’ หรือกระทงใบตองใส่ข้าวมธุปายาสขึ้นถวายพระ แล้วก็จึงค่อยกลับมานั่งปล่อยใจลงเพียงลำพังอีกครั้ง

บ่รู้ว่าป่านนี้ ดวงวิญญาณของท่านจะไปถึงไหนแล้วหนอ…

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงคนตีระฆังวัดดังเหง่งหง่างๆ ก้องไกลสะเทือนสะท้านไปถึงเขาลูกหน้า เคล้าเคียงมากับเสียงระฆังทองเหลืองใบเล็กที่กระทบกระทั่งกันยามสายลมพัดเข้ามาถี่ๆ อีกด้านหนึ่งมีเสียงของเหล่าแม่ชีตี่ละฉิ่นกำลังนั่งสวดมนต์เสียงดังเซ็งแซ่ และเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน

…ทว่าจันทร์หล้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ในสำนึกของนางได้ยินแต่เพียง ‘เสียงปืน’ นัดเจ็บช้ำฝังใจ

ยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว ครานี้เนิ่นนาน ก่อนจะกลับมาตั้งจิตภาวนาสวดมนต์ต่อให้จบอีกครั้ง แต่พลันน้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลพรากอาบสองแก้มอย่างสุดจะห้ามไหว นางน้อยนั่งสะอึกสะอื้นร่ำไห้จนต้องใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งด้วยกลัวใครจะมาเห็นเข้า กลัวคนเขาเห็นแล้วเขาจะถาม นางจึงได้แต่ก้มหน้าเก็บซ่อนความเสียใจไว้จนเต็มหน้าตัก

อี่พ่อจ๋า อี่แม่จ๋า…อี่หล้าลูกคนสุดท้องผู้นี้คงบ่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้ว ขออี่พ่ออี่แม่อยู่ดีเถิด…

“อี่นาย”

“อี่นาย…”

จู่ๆ เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขัดความโศกขึ้นมาถึงสองหน คนนั่งน้ำตานองหน้าจึงรีบยกชายเสื้ออุ่นไหมพรมขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน

ตอนนั้นเองชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดพื้นเมืองสีดำก็เข้ามานั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เขายกมือขึ้นกราบไหว้พระธาตุด้วยท่านั่งแบบกระโหย่ง ซึ่งจันทร์หล้าไม่รู้จักเขาและไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

“ข้าเป็นชาวบ้านแถวนี้แหละ” ชายแปลกหน้าบอกราวกับรู้สิ่งที่อยู่ในความคิดของอีกฝ่าย “กำลังนั่งไหว้พระอยู่ทางโน้นพอดี เห็นอี่นายนั่งร้องไห้อยู่ทางนี้ก็เลยเดินเข้ามาหา เผื่อว่าต้องการให้ช่วยสิ่งใด”

นางน้อยอ้ำอึ้ง ไม่อิดเอื้อนบ่ายเบี่ยงหรืออะไร นางแค่เพียงรีบผินหน้าหนีไปด้วยเพราะไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไรดี

“จะว่าไปแล้วก็แปลกดีแท้นัก ข้าเคยมาไหว้พระธาตุเวียงอินทร์บนนี้ก็หลายครั้ง แต่บ่เคยเห็นใครไหว้พระไปร้องไห้ไปเหมือนอี่นายมาก่อน บ่รู้ว่าปกติคนเขามักร่ำไห้ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้ากันหรือยังไง”

“คนอื่นข้าบ่รู้ แต่ข้า…ข้าแค่…นึกถึงญาติพี่น้องที่ตายไป”

“รู้สึกห่วงหา อาลัย หรือรู้สึกอย่างอื่น”

“จะรู้สึกอันใด มันก็เป็นเรื่องของข้า” จันทร์หล้าตอบแบบซัดคำแต่ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลก เขาไม่ได้รู้จักมักจี่กับนาง แต่กลับกล้ามาถามนางแบบนี้ได้อย่างไร

“พระธาตุเวียงอินทร์มีตำนานเรื่องนำจิตวิญญาณของผู้ที่ศรัทธากราบไหว้ไปสู่นิพพาน ผู้คนก็เลยมักแห่กันมากราบไหว้และหวังจะฝากบุญหนุนนำเอาไว้เผื่อในยามที่ตนสิ้นลม บุญบารมีที่ฝากไว้จะได้นำพาตนให้ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า แต่สิ่งที่ผู้คนบ่รู้ นั่นก็คือบุญบาปที่จะนำพาไปนรกหรือสวรรค์ได้อยู่ที่ ‘การกระทำ’ เป็นการกระทำหลังจากที่ไหว้พระต่างหาก ใครทำดีก็ได้ดีไป แต่คนก่อกรรมทำเวรแล้วได้ไปดีนั้น บ่มี อี่นายว่าจริงไหม”

“ข้าบ่รู้…แต่จะคนดีหรือบ่ดี ขอแค่ได้ไหว้พระและศรัทธาพระธรรม ก็คงได้ไปพระนิพพานด้วยกันทุกคนกระมัง”

“หากศรัทธาในพระธรรมคำสอนจริงแท้ ก็ต้องบ่ทำกรรมตั้งแต่ต้นสิ”

“ถึงจะมีกรรม แต่ถ้าได้ทำบุญชำระกรรม ก็คงช่วยทดแทนกันได้”

“บุญบาปนั้นหาใช่สิ่งที่จะผ่อนผันทำทดแทนกันได้ บุญนั้นส่วนบุญ บาปเองก็ส่วนบาป”

จันทร์หล้าพูดไม่ออก พยายามทำความเข้าใจในคำพูดกำกวมแฝงนัยพวกนั้น บุญ-บาป เวร-กรรม เหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เอ่ยเรื่องพวกนี้กับนางได้อย่างหน้าตาเฉย

“เหตุใดอ้ายชายถึงได้มาสนทนาธรรมะกับข้าได้”

“ข้าเห็นอี่นายไหว้พระไป ร้องไห้ไป จึงอยากจะมาเตือน ว่าคนเรายามไหว้พระก็ต้องระลึกถึงพระพุทธคุณและพระธรรมคุณ การที่จะไหว้พระเพื่อขอสิ่งใดนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจหมองไหม้บ่รู้ตัว ไหว้พระไป จิตใจว่อกแว่กไป วันทั้งวันถึงอี่นายจะสวดมนต์สักกี่ครั้งก็คงจะบ่สำเร็จเสร็จดี”

“เฮาต่างบ่รู้จักกัน กิจธุระของใครก็ของมัน คนเฮาไหว้พระเหมือนกันแต่ต่างจุดประสงค์กันอยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องเตือน”

“ก็อี่นายจะไหว้พระเผื่อญาติพี่น้องที่ตายไปบ่ใช่หรือ แต่การที่อี่นายไหว้พระไปร้องไห้ไป บุญจะบ่ถึงพวกเขา”

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

“ข้ารู้ก็แล้วกัน”

หญิงสาวได้ยินดังนั้นแววตาก็ยิ่งฉายแววเศร้าเข้าไปอีก นางนั่งคอตก ไม่มีคำใดจะพูดต่อ ก่อนจะทยอยเก็บข้าวของใส่กระเช้าตะกร้า เตรียมตัวจะกลับ

“เอ๊ะ…เดี๋ยวสิ ข้ากล่าวอันใดให้อี่นายบ่ชอบใจอย่างนั้นหรือ”

“บ่ได้กล่าวคำร้อนร้ายอันใดดอก” สองมือยังคงเก็บของ จันทร์หล้ากล่าวตอบโดยที่ไม่มองหน้าเขา “ท่านกล่าวจริงแท้ทุกประการ คำพูดท่านนำพาข้าเข้าใจหลักปฏิบัติที่แท้จริง จิตใจข้าว้าวุ่นเหมือนกำลังตกนรกแท้ ข้าถึงได้สวดมนต์บ่จบบทเสียที และเห็นทีว่าวันนี้คงจะบ่ได้บุญอันใด…”

ใบหน้างามมีแววเศร้ายกยิ้มให้เขาเพียงนิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองยอดเจดีย์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์

“เอาไว้วันใดจิตใจข้าชื่นบาน วันนั้นก็หวังว่าข้าคงจะได้มีบุญมากราบไว้พระธาตุเจ้าท่านใหม่อีกครั้ง ถึงตอนนั้นแล้ว ข้าก็หวังว่าคงจะได้ไหว้พระธาตุท่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง”

ว่าแล้วจันทร์หล้าก็เพียงพยักหน้าให้เขาเพียงนิดเพื่ออำลา ก่อนจะรีบลุกออกจากที่นั่นเพื่อกลับไปรวมกลุ่มกับคณะบนวิหารธรรม หากแต่ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่วายกล่าวยื้อตอแยตามหลังมา

“ข้ารู้จักสถานที่ที่หนึ่งอันเป็นดั่งเมืองฟ้าเมืองเทวดา ข้าพาอี่นายไปดูได้นะหากว่าอยากเห็น…บ่ต้องรอจนตาย ก็ได้รู้ว่าเมืองข้างบนนั้นเป็นอย่างไร”

นางน้อยชะงักกึก ละล้าละลังกับคำพูดแปลกๆ ของชายแปลกหน้า

“ว่าไง ไปไหมล่ะ บ่อยากรู้หรือไง ว่าคนที่ตายไปแล้วยามที่ต้องไปอยู่บนเมืองฟ้า พวกเขาเห็นอันใด ญาติพี่น้องของอี่นายที่ว่าตายไปแล้วน่ะ…ยังเป็นห่วงเป็นหาเขาอยู่ใช่ไหม”

“ทะ…ท่าน”

แม้พยายามบอกตนเองว่าอย่าหลงคล้อยตามไปกับคนแปลกหน้า แต่ท้ายที่สุดจันทร์หล้าก็เดินตามชายหนุ่มคนนั้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่า…กึ่งอยากรู้อยากเห็นและกึ่งพิศวง

ชายหนุ่มชุดดำรูปร่างผอมสูงเดินพานางลัดเลาะไปตามเฉลียงทางเดินแคบๆ ที่เป็นพื้นแอ่งน้ำชื้นแฉะ ใกล้ๆ กันกับริมหน้าผาสูงหมิ่นเหม่ที่เป็นทางลาดเอียงลงไปมีจุดชมทิวทัศน์ที่เป็นหุบเขาเหวลึก ที่พอชะโงกหน้าลงไปแล้วก็มีลมแรงตีวูบขึ้นมาปะทะจนหน้าชา ตามโขดหินข้างทางเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำขึ้นเกาะกลุ่มหนาแน่น ที่ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว

ทั้งสองยังคงเดินตามกันไปกระทั่งเดินข้ามมายังลานปูนของอีกฝั่ง ตามทางเดินอันเป็นระเบียบนั้นรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่ถูกใครสักคนปลูกขึ้นอย่างพิลึก เป็นดอกไม้สีแปลกที่จะมีแต่สีเงินและสีทองเท่านั้น

ครั้นมาถึง คนเดินนำหน้าก็ชี้ให้อีกคนมองไปยังภูเขาลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าห่างออกไป ฉับพลันก็มีธารน้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาถึงสามสายเสียอย่างนั้น ธารน้ำเชี่ยวกรากไหลรวมมาบรรจบกัน เป็นน้ำตกเจ็ดชั้นดิ่งถลาลงมาจากหน้าผาอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ งดงามประดุจทางช้างเผือกจากสวรรค์ ละอองน้ำสีขาวกระจายตัวฟู่ฟ่องดูไปดูมาคล้ายเศียรช้างเอราวัณ ช้างทรงขององค์อินทร์ผู้ดูแลแดนดินทิพยสรวง เสียงธารน้ำไหลนั้นดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทั้งหุบเขา

จันทร์หล้าถึงกับอ้าปากค้าง น้ำตกแห่งนี้ช่างงดงามตระการตาเสียเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าบนภูเขาจะมีหน้าผาน้ำตกที่สูงเทียมฟ้าอย่างนี้ได้ สวยงามดั่งเมืองเทวดาเสียจริง สวยงามเกินจะบรรยาย ม่อนหอมไม่เห็นบอกนางว่าจะมีอะไรอย่างนี้ด้วย…หรือว่านี่จะไม่ใช่ภาพจริง หรือจะเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมา

กระทั่งเมื่อปุยเมฆเริ่มแตกแยกออก ตอนนั้นเอง แสงอาทิตย์ก็กลับผุดลอดกลุ่มเมฆมาส่องสว่าง แสงสีทองลำอ่อนสาดเซ็นเป็นเกลียวผ่านฟ้าลงมาฉาบฉายถูกพระธาตุเวียงอินทร์จนเกิดเป็นสีมณีระยิบระยับ ก่อนลำแสงเดียวกันจะหักเหไปตกส่องกระทบกับน้ำตกทั้งสามธารนั้น ก่อเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสองชั้นสีสันสวยงาม

ทั้งจันทร์หล้าและชายหนุ่มนิรนามต่างมองภาพที่งดงามเบื้องหน้าพร้อมกัน คราวนี้แสงแดดเบนมุมแสงเปลี่ยนมาตกกระทบกับใบหน้าของชายคนนั้น ยามเขาหันมาส่งยิ้มให้ ก็ทำให้หญิงสาวเห็นสีนัยน์ตาของเขาชัดเจน

ชายผู้นี้มีนัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลอ่อน…

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน…

ใช่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

“จันทร์หล้า…”

เสียงม่อนหอมเพื่อนรักร้องเรียกมาแต่ที่ไกลๆ จันทร์หล้ารีบหันขวับกลับไปมอง ไม่เชิงสะดุ้งตกใจ หากแต่เหมือนกำลังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากภวังค์บางอย่างมากกว่า

“ม่อนหอม ทางนี้ มาเร็ว”

“จันทร์หล้า รอข้าอยู่ตรงนั้นนะ บ่ดีไปไหน”

ว่าแล้วหญิงร่างตุ้ยนุ้ยก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา เมื่อมาถึงก็รีบสำรวจก่อนว่าผู้เป็นเพื่อนได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ มือไม้หล่อนสั่นไปหมด หน้าซีดตื่นตระหนก เหงื่อแตกพลั่กจนเปียกชุ่มเสื้อผ้า

“สูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ข้าก็มาดูน้ำตกน่ะสิ นั่นไง มีรุ้งกินน้ำด้วยนะม่อนหอม…”

จันทร์หล้ายิ้มแย้มอย่างกระตือรือร้น พลางหันไปชี้ให้เพื่อนดู แต่แล้วภาพที่ปรากฏขึ้นตรงนั้น ก็ต้องทำเอาทั้งสองสาวตะลึงจังงัง และก็เป็นม่อนหอมเองที่ขนลุกซู่ ลุกตั้งแต่ขนแขนยันขนหัว

…ไม่มีน้ำตก ไม่มีรุ้งกินน้ำอะไรทั้งนั้น มีเพียงป่าเขาที่เยือกเย็นและไพรที่เงียบสงัด เงียบจนแทบจะเรียกได้ว่ามีแต่ความว่างเปล่า และชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นก็ได้อันตรธานหายไปในเพียงชั่วพริบตาเดียว จันทร์หล้าอึ้งไปในบัดดล

“สูบ่ดีทำข้าขนลุกนะจันทร์หล้า ตอนไหว้พระเสร็จ ข้าเดินกลับมาบ่เห็นสูอยู่ที่ลานวัด ก็นึกว่าสูกลับเข้ามานั่งรออยู่ในวิหารแล้วเสียอีก แต่เจ้าอามบอกว่าสูยังบ่กลับมา ข้าก็เลยวิ่งออกตามหาสูจนทั่ว”

“มีคนชวนข้ามาที่นี่”

“ฮึยย! จันทร์หล้า…ผีพาสูมาน่ะสิ”

“คน บ่แม่นผี ผีบ่ไหว้พระ” จันทร์หล้าตอบตาใส

“แม่นผี ผีมันมารอขึ้นสวรรค์ มันจะพาสูไปกับมัน ผีพวกนั้นไหว้พระธาตุเวียงอินทร์”

ม่อนหอมยืนกรานเสียงแข็ง ก่อนจะถลาเข้าไปกอดปลอบขวัญเพื่อนเอาไว้อย่างใจเสีย หล่อนไม่รู้ว่าจันทร์หล้ามาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มองๆ ไป ที่นี่เป็นทางเปลี่ยวที่รกร้างไม่มีแม้แต่ทางคนเดินด้วยซ้ำ มีแต่ซากอิฐก่อสร้างและซากเจดีย์ปรักหักพัง ซ้ำทางด้านหน้าอีกฝั่งก็เป็นซอกหลืบเหวสูงชัน ที่มีกระทงเครื่องเซ่นวางไว้อย่างหยาบๆ ไร้ผู้คน เวิ้งว้างจนน่าขนลุก

ไม่รีรออะไรทั้งนั้น ม่อนหอมรีบพาจันทร์หล้าเผ่นออกมาจากที่นั่นโดยไว

จันทร์หล้าที่ถูกคว้าแขนให้เดินตามไปยังอาลัยอาวรณ์กับดวงตาสีอ่อนของชายแปลกหน้านิรนาม และเมื่อหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง คราวนี้ นางกลับเห็นชายหนุ่มคนนั้นกำลังยืนอยู่ ณ จุดเดิมด้วยสีหน้าว่างเปล่า และธารน้ำทั้งสามสายที่เคยเห็นก็ยังปรากฏอยู่ตรงเบื้องหลังเขา เหมือนเดิมทุกประการ

ดวงตาสีอำพันคู่นั้นพาจันทร์หล้าดำดิ่งกลับไปสู่ความทรงจำเมื่อครั้งวันวาน ที่ครั้งหนึ่ง นางก็เคยเจอใครบางคนที่มีสีดวงตาสีอ่อนที่เป็นเอกลักษณ์อย่างนี้ และก็เป็นดวงตาคู่เดียวกันนี่เอง ที่ชอบมองประเมินคนตรงหน้าอย่างถ้วนถี่ แต่จะด้วยความรู้สึกใดนั้น ก็สุดที่จะหยั่งรู้ได้

จันทร์หล้าจำประโยคแรกที่เขาเอ่ยทักนางได้ ในตอนนั้น…

 

“เธอชื่ออะไร”

น้ำเสียงออกแหบถามตรงๆ เป็นสำเนียงมาใหม่ อีกท่าทางที่ออกไปทางสุขุมของคนถาม เป็นผลให้คนที่ถูกถามได้แต่ยืนหลุบหน้ากระมิดกระเมี้ยนแอบอยู่เบื้องหลังผู้เป็นพ่อ จนพ่อต้องตอบคำถามแทนเพื่อตัดรำคาญ

“ชื่ออี่จันทร์หล้า มันปากหนัก บ่ถนัดพูดจาเข้าหาคนอื่น รับมันไว้เป็นลูกศิษย์อีกสักคนเถอะนะครู สอนเอาเท่าที่ได้ พอเขียนอ่านได้บ้างแล้ว จะได้พามันไปทำงานในปางไม้ พ่อเลี้ยงเขาอยากได้มันไปช่วยงาน

“ข้าบ่ไป!” สาวน้อยผมสั้นเท่าติ่งหูโพล่งแย้งขัดผู้เป็นพ่อเสียงแข็ง “ข้าบ่อยากไปทำงานที่ปางไม้นั่น”

“อี่หล้า! มึงงับปาก”

 



Don`t copy text!