แสนฟ้าพันธุ์คำ : บทนำ
โดย : ดาราวดี
แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co
ทันทีที่ได้ยินเสียงล้อรถบดทับก้อนกรวดมาจอดอยู่ด้านนอก ร่างอันผ่ายผอมที่นอนขดตัวคุดคู้อยู่ในกระท่อมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันใด ใบหน้าเผือดหมองราวกับคนเจ็บไข้ได้ป่วยขมวดเข้าหากัน หลังจากพยายามยันตัวลุกขึ้นมานั่ง เอนกายไปพิงกับฟากผนังอย่างยากลำบาก หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ อย่างโรยแรง เวลานี้โพล้เพล้แล้ว ราตรีกาลอันมืดมิดกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา
เสียงคนพูดคุยกันดังอยู่ไม่ไกลมากนัก อึดใจต่อจากนั้น ประตูกระท่อมก็ค่อยๆ ถูกผลักเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่ทันไร ชายรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งก็พลันโผล่หน้าก่อนจะแทรกกายผ่านประตูเข้ามา ปืนกระบอกยาวที่มันแบกสะพายอยู่ด้านหลังนั้นแจ้งว่ามันมาแบบไม่เป็นมิตร ใบหน้าเหี้ยมดุบูดบึ้งขึงขัง หญิงสาวไม่สู้สบตาเรียวรีคู่นั้นเสียจริงๆ
ว่าแล้วอ้ายคนเถื่อนก็ปรี่เข้ามาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ นั่งลงข้างๆ หญิงสาว ใกล้มือ มือหยาบหนาอย่างอุ้งตีนหมีหมายมุ่งเข้าหาหวังสัมผัสดวงแก้มสีขาวๆ ยิ่งพอได้เห็นว่าหล่อนสะบัดหน้าหนี ถอยร่น มันยิ่งกระเถิบตาม หญิงสาวขยับถอยออกห่าง คราวนี้มันแสยะยิ้ม ใจหยาบลิงโลดลำพอง
สายตาคู่นั้นจดจ้องมาอย่างไม่กะพริบ ความหื่นกระหายอันโฉดชั่วกำลังเต้นระริกอยู่เต็มสองหน่วยตา รังสีอำมหิตของมันแผ่ซ่านสำแดงความมุ่งมาดปรารถนา ลางสังหรณ์บอกกับหญิงสาวว่า นั่นไม่ใช่เรื่องดี
สาวน้อยจึงพยายามรวบรวมสติ ประคองกายตนเอาไว้ไม่ให้สั่นเทิ้มจากพิษไข้ แถมกลิ่นเหม็นไหม้ที่ตามมันมาก็ช่างชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน กลิ่นเป็นกลิ่นเหม็นหืนของพรรณพืชหรือยางไม้อะไรบางอย่าง… เหม็นแบบมึนๆ เหม็นแบบมัวเมา เหม็นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย กลิ่นนั้นกำจายคละคลุ้งฟุ้งเฟ้อ ลอยละล่องอยู่ในอากาศ
“อย่าทำอะไรข้าเลย ปล่อยข้าไปเถิด” คนใจเสียรีบยกมือพนมท่วมหัว ปากกล่าววิงวอนขอความเมตตา ใจนึกไปยังผีสางนางป่า ขอให้ผีโปรดช่วยดลจิตดลใจอ้ายคนโฉดให้ปล่อยหล่อนไปทีเถิด
ชะรอยเหมือนผีป่าผีดงจะได้ยินเสียงร่ำภาวนานั้น
ประตูกระท่อมเปิดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ พรรคพวกของมันอีกคนพรวดพราดเข้ามาทำเสียงดังโวยวาย ก่อนจะปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อและลากกันออกไปอย่างชุลมุน พวกมันต่อปากต่อคำกันด้วยภาษาที่หญิงสาวไม่คุ้นหู ครั้นพอเห็นว่าทุกอย่างเงียบสงบลง หล่อนจึงได้ถอนหายใจออกอย่างยากลำบาก
ในเวลานี้ ความรักตัวกลัวตายผุดงอกออกกลางใจที่อ่อนแอ แม้จะกลัวถูกพวกมันฆ่า หากแต่ก็ไม่อยากนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ อย่างนี้ ว่าแล้วหญิงสาวจึงรีบมองหาอาวุธป้องกันตัวหรือหนทางที่พอจะใช้หลบหนี และเท่าที่จะเป็นไปได้ตอนนี้ คือต้องกระโดดออกไปทางนอกหน้าต่างทางเดียวเท่านั้น
แม้จะก้ำกึ่ง เงอะงะ แต่เวลาประชิดไล่ตามหลัง ก่อนที่พวกคนโฉดจะกลับมาอีกครั้ง หล่อนจะต้องไม่นั่งรอพวกมันอยู่ตรงที่เดิม
ท้ายที่สุดหญิงสาวจึงรีบพยุงกายขึ้นมาเกยกับขอบหน้าต่าง เป่าปากรวบรวมความกล้าเสียหลายครั้ง ปลอบประโลมใจที่กำลังเต้นรัวกระชั้นว่าตนไม่มีอะไรจะเสีย จึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
อยู่กูก็ตาย แต่ถ้ากูหนี บางทีกูอาจจะบ่ตาย…
ว่าแล้วคนใจหาญก็รีบกระโจนออกไปด้วยใจระทึก ทันทีที่เท้าแตะพื้น ความรู้สึกเจ็บหนึบก็ประเดประดังเข้ามาเหมือนคนเอาค้อนทุบหัว ยกมือขึ้นกุมสัมผัส ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล หนักที่สุดคือรอยแตกเหนือกกหูอันเป็นแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ แผลเป็นแผลเก่ากำลังอักเสบบวมเป่ง เลือดและน้ำเหลืองไหลซึม บางส่วนแห้งเกรอะกรังติดเส้นผมเป็นกระจุกกลุ่มก้อน บางส่วนเหนียวเหนอะส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
หญิงสาวไม่สนความเจ็บปวดอะไรแล้วตอนนี้ หล่อนกัดฟัน รีบวิ่งทะยานออกไปข้างหน้าทันทีและวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หล่อนไม่ประหวั่น แม้สองตีนเปลือยเปล่าจะเหยียบย่ำหินดินแข็ง หรือแม้จะถูกหนามแหลมเกาะเกี่ยวสักเพียงใด เวลานี้ หล่อนรู้เพียงอย่างเดียวว่าจะต้องวิ่งไปตามที่เสียงไพรกำลังเพรียกร้องรางๆ คล้ายกำลังมีคนยืนคอยกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้า ทว่าเมื่อเพ่งมองผ่านความมืดเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่เห็นเป็นคน เห็นเป็นแต่พงหญ้าพลิ้วไหวตามลมพัดและป่าลึกอันมืดทึบกว้างใหญ่เท่านั้น
คนร่างผอมซูบโผเผเซซัด แหวกว่ายก่ายกวักพงหญ้าคาป่าแขมที่สูงเทียมหัว หนีตายเอี้ยวตัวหลบเร้นในเขตป่าร้าง
กระทั่งเข้าเขตป่ามาได้สักพัก หญิงสาวก็จึงผ่อนความเร็วลงด้วยความเหนื่อยหอบ ตะเกียกตะกายพาร่างที่เต็มไปด้วยแผลไปนั่งพิงพักอยู่ตรงซอกต้นไม้ใหญ่ หัวใจดวงน้อยๆ สั่นระรัวรุนแรง น้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรู
ตายแน่ ตายแน่ๆ จะทำยังไงดีหนอ จะทำยังไงต่อไปดี…
คนหนีตายปาดน้ำตารีบตั้งสติไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน หันไปมองรอบข้างเพื่อหาทางหนีทีรอดในนาทีชีวิตด้วยความสับสน ความมืดปกคลุมกลางดงกดขี่ความกล้าหาญของหล่อนให้เริ่มถดถอย ยามไพรกรีดร้องคราใดใจดวงน้อยก็สั่นสะดุ้งเสียทุกครา ทั้งเหนื่อยทั้งกลัวจนใจแทบจะหลุดกระเด็นออกมา แหงนมองขึ้นไปบนฟ้า กลุ่มก้อนเมฆดำทะมึนก็ลอยคล้อยต่ำลงมาทุกทีๆ พายุฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว ทำท่าว่าจะโหมกระหน่ำลงมาในอีกไม่ช้าและอาจจะตลอดทั้งคืนนี้
ฉับพลันก็มีนกแสกแปลกร้องบินผ่านไปแลเห็นผาดๆ นกแสกเป็นนกแห่งความตาย ตามความเชื่อ ยามนกแสกร้องผ่านหัวผู้ใด คนผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไปในไม่ช้า
ความตายหรือ เป็นทีของข้าแล้วสินะ ข้าต้องตายแล้วสินะ…
หญิงสาวคิดอย่างปลงตก นึกไปถึงว่าอ้ายพวกคนโฉดอาจจะกำลังพากันออกตามล่าเมื่อเห็นว่าหล่อนหลบหนี พวกมันจำต้องได้ตัวหล่อน เพราะหล่อนคือ ‘สินค้า’ ของพวกมันในค่ำคืนนี้
เสียงไพรตอนค่ำร้องดังโหยหวน สั่นประสาท บรรยากาศโดยรอบช่างวังเวง ไอเยือกเย็นเหมือนแดนคนตายแผ่ซ่าน หญิงสาวกลอกตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะมีสิ่งใดแฝงออกมายามไพรมันกรีดร้อง และทันใดนั้นเอง เงาร่างสีดำทะมึนก็กระโจนพรวดออกมาจากกอพุ่มหญ้า หญิงสาวเบิกตาโพลงกว้าง ผงะตกใจสุดขีด ก่อนจะไขว่คว้าลุกขึ้นหนี
แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะช้าไปหนึ่งจังหวะ
“ฮ่า มึงจะหนีไปไหน!” สำเนียงคนถ่อยคำรามด้วยความสะใจ ก่อนมือใหญ่หยาบจะกระชากคว้าผมหล่อนกลับมาจนหน้าหงาย พวกมันลากร่างผอมบางไปกับพื้นอย่างไร้ความปรานี
หญิงสาวแหกปากร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี หล่อนรู้ตัวทันที หล่อนคงมีชีวิตไม่พ้นคืนนี้เป็นแน่
“ปล่อยกู กูบ่ไป…กูบ่ไป”