ธำมรงค์เลือด บทที่ 3 : เหตุเกิดในยามวิกาล

ธำมรงค์เลือด บทที่ 3 : เหตุเกิดในยามวิกาล

โดย : พงศกร

Loading

ธำมรงค์เลือด นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาและพงศกรอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เรื่องราวของบุรุษลึกลับที่เทียวกลับมาที่ร้านของคุณไลยหลายครั้งหลายหน เพื่อตามหาแหวนโบราณวงหนึ่ง…แหวนไพลินที่ทำขึ้นมาในสมัยอยุธยา และคือจุดเริ่มต้นของความรัก ความแค้น ความพยาบาทที่ผูกพันมาแต่อดีตและเป็นแหวนที่จะเชื่อมโยงชะตากรรมของทุกคนเข้าด้วยกัน

“สมบัติเคลื่อน” จิกเสียงสั่น ขณะที่เสียงครืดคราดใต้ฝ่าเท้ายังดังอย่างต่อเนื่อง เปรียวตกใจจนโยนจอบในมือทิ้ง

“ผีหลอก” เด็กหนุ่มผงะหงาย ล้มลงไปนั่งกับพื้น ดวงหน้าซีดเผือด

โบ้เป็นคนเดียวที่ดูมีสติที่สุด ชายฉกรรจ์ดวงหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็นพึมพำว่า

“กูนึกอยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้”

เขาวางเครื่องมือในมือลง ล้วงกระเป๋าหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา ยกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับบริกรรมคาถาบทหนึ่ง จากนั้นก็ขว้างของที่อยู่ในมือลงไปในโพรงใต้ห้องโถง

เปรี้ยง!

ทันทีที่ตะกรุดแท่งยาวในมือของโบ้ตกกระทบพื้น เสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงเคลื่อนไหวครืดคราดก็หยุดลง

รอบกายกลับมาเงียบสงบดังเดิม…

ดูจะสงัดกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ!

“ขุดต่อ” โบ้ร้องสั่ง ขณะที่จิกลังเล ส่วนเปรียวนั้นเข่าอ่อนถึงขนาดยืนไม่ไหว

“อะ…ไอ้…ไอ้โบ้…กูไม่เอาด้วยแล้ว” เปรียวส่ายหน้าดิก

“ทำเป็นปอดแหกไปได้” โบ้ตะคอก “ไม่มีอะไรแล้ว…ตะกรุดมหาอุดของกูจัดการให้เรียบร้อย พวกมึงรีบขุดต่อ”

“ตะ…แต่…” เปรียวเหลือบมองตะกรุดที่ก้นหลุม อุปาทานทำให้รู้สึกว่าของขลังที่โบ้ขว้างลงไปนั่นเรืองแสงได้

“สมบัติ…เพชร ทอง…นึกถึงของพวกนั้นเข้าไว้ จะได้มีแรง” โบ้ตะคอก ดวงตาโปนๆ คู่นั้นยังเหลือบมองไปโดยรอบราวระแวดระวัง

จิกหยิบจอบขึ้นมา มือสั่นจนจอบแทบจะพลัดหลุดมือ ขณะที่เปรียวพยายามรวบรวมความกล้าลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนอีกแรง

เสียงจอบขุดดังสม่ำเสมอ เหงื่อโซมเต็มแผ่นหลังของหนุ่มฉกรรจ์ทั้งสอง

เมื่อเวลาผ่านไป หลุมที่ทั้งคู่ขุดก็เริ่มลึกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลึกเลยศีรษะ ประมาณด้วยสายตาความลึกของหลุมไม่น่าจะต่ำกว่าสองเมตรครึ่งถึงสามเมตร

ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเครื่องมือที่ใช้มีแค่จอบกับชะแลง พื้นกรุชั้นบนที่สร้างขึ้นมาจากศิลาทั้งหนาและหนัก จิกและเปรียวยังคงขุดฐานกรุต่อไปอีกกว่าสองชั่วโมงจนพบเข้ากับโพรงขนาดย่อม ส่องไฟฉายเข้าไปเห็นมีบันไดไม้ทอดยาวลงไปข้างใต้ ที่สุดปลายบันไดมีหีบโบราณใบหนึ่งซุกตัวอยู่อย่างสงบนิ่ง

“เฮ้ย มีบันไดด้วยว่ะ…ไม้ยังดีอยู่เลย” หนึ่งในหัวขโมยตาลุกวาว

“ไม้สักเชียวนะมึง ไม่ผุไม่พังง่ายๆ หรอก” โบ้ใช้จอบในมือเคาะบันไดเพื่อทดสอบความแข็งแรง ก่อนจะหัวเราะชอบใจ ดวงตาจ้องมองหีบสมบัติด้วยความตื่นเต้น “ยังกับทำเตรียมเอาไว้ให้พวกกูลงไปขนสมบัติโดยเฉพาะเลยเชียว”

เป็นหีบไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม มีร่องรอยผุกร่อนตามกาลเวลาปรากฏให้เห็น แต่กระนั้นลวดลายกนกอันวิจิตรก็ยังคงปรากฏให้เห็น

ใกล้กับหีบโบราณมีดวงตาสีแดงก่ำราวทับทิมหลายคู่จ้องมองกลับมา

“เฮ้ย” เปรียวร้องเสียงดังลั่น พร้อมกับโยนจอบในมือทิ้งด้วยความตกใจ

ดวงตาสีทับทิมหลายคู่เคลื่อนไหวรวดเร็ว พวกมันวิ่งกรูกันออกมาพร้อมส่งเสียงร้องแหลมเล็ก

“จี๊ด”

จิกถอนใจด้วยความโล่งอก…ที่แท้ก็เป็นหนูเท่านั้น…

“ยกขึ้นมา” โบ้สั่ง

“เอ้า…ฮึบ” จิกกับเปรียวค่อยๆ ปีนลงบันไดไปจนสุด เมื่อฉายไฟในมือกราดไปรอบทิศก็เห็นว่าช่องที่ยืนอยู่นั้นหาใช่ช่องแคบๆ ไม่ แต่ที่จริงเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดย่อม นอกจากหีบที่เห็นในตอนแรกแล้ว ยังมีหีบสมบัติอีกหลายใบวางรายเรียงกันอยู่อย่างมีระเบียบ ชายฉกรรจ์ทั้งสองช่วยกันยกหีบใบใหญ่สุดขึ้นจากพื้น หากออกแรงยกเท่าไรหีบนั้นก็ไม่ยอมขยับเยื้อน

“ให้ไวหน่อย ออกแรงหน่อยสิวะ” โบ้ชักหงุดหงิด

“มันหนัก กูยกไม่ไหว” เปรียวก็เริ่มหงุดหงิดเช่นกัน

“ใช่” จิกเสริม “หนักยังกับมีคนเหยียบเอาไว้”

“เฮ้ย” เปรียวชะงัก “ที่พูดเนี่ย…ปากเหรอมึง”

“ไอ้ห่า หยุดกัดกันได้แล้ว” โบ้เห็นทั้งสองยังชักช้าก็กลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้า เลยค่อยๆ ไต่บันไดลงไปช่วยอีกแรง “ม่ะ กูช่วย”

“ฮึบ”

ทั้งสามออกแรงช่วยกันยกหีบใบย่อม หากพยายามอย่างไรหีบใบนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน

“ไม่ขึ้นเหรอ” โบ้ขบกรามแน่น “ไม่ยอมขึ้นใช่ไหมมึง”

ชายหน้าบากปล่อยมือจากหีบ ล้วงมือไปหยิบของจากกระเป๋าออกมาอีกหนึ่งชิ้น ลักษณะเป็นแผ่นผ้าสีแดงเข้ม มีอักขระบางอย่างเขียนเอาไว้บนนั้น

โบ้ยกผ้ายันต์ขึ้นจบหน้าผาก พนมมือสวดมนต์ด้วยคาถาอีกบทหนึ่ง ก่อนจะปิดผ้ายันต์ลงบนฝาหีบ คราวนี้ทั้งจิกและเปรียวได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมเล็ก เหมือนคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ

ทั้งสองหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หากไม่มีเวลาจะได้ถามไถ่อะไรกัน เพราะโบ้ร้องสั่งเสียงเข้ม

“ยกได้”

“ฮึบ”

ชายหนุ่มทั้งสองออกแรงยกหีบ คราวนี้ง่ายดายต่างจากเมื่อครู่ที่ผ่านมา เมื่อยกขึ้นมาวางบนโถงกลาง จึงเห็นชัดว่าเป็นหีบไม้ใบเก่าคร่ำคร่า ลักษณะเหมือนกำปั่นที่คนโบราณใช้ใส่สมบัติล้ำค่า

“รวยแล้วงานนี้ พวกมึงลงไปขนขึ้นมาให้หมดเลยนะ เดี๋ยวกูดูต้นทางอยู่บนนี้” โบ้ปีนกลับขึ้นบันไดไปรออยู่บนกรุชั้นแรก ร้องสั่งเพื่อนทั้งสองให้กลับลงไปยกหีบที่เหลือ

ดวงตาของจิกและเปรียววาวโรจน์ด้วยความโลภ ทั้งสองค่อยๆ ไต่บันไดกลับลงไปอีกครั้ง

“ดาบอยู่ไหนวะ” เปรียวพึมพำ ด้วยจุดหมายสำคัญของการขุดกรุครั้งนี้อยู่ที่พระแสงดาบที่นายอยากได้นักหนา “รึจะอยู่ในหีบ”

พวกมันหันไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ จิกใช้ไฟฉายในมือส่องกราดไปทั่วๆ แล้วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง เมื่อเห็นผนังทั้งสี่ด้านมีรูปเขียนเป็นภาพเทวดานางฟ้าและพระพุทธเจ้าลงสีและเขียนทองสวยงาม

เปรียวเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ชายหนุ่มใช้ไฟฉายกวาดไปมา และพบว่าที่มุมของกรุยังมีโพรงลึกลงไปอีกและแสงไฟส่องไปไม่ถึงก้น

“โพรง” จิกตะโกนบอกโบ้ “ไอ้โบ้…มีโพรงลึกลงไปอีกชั้น มีอีกกรุหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“กรุแน่แล้ว” เปรียวหัวเราะ

“กรุชั้นสาม” จิกพึมพำ “เฮ้ย…มีกรุอีกชั้นหรือวะเนี่ย”

“เอาไงดี” เปรียวขอความเห็น “จะลงไปดูไหม กูว่าชั้นสามต้องมีของสำคัญกว่าชั้นสองแน่นอน…ดีไม่ดี พระแสงดาบต้องอยู่ในนั้นแหละ…ปะ ลงไปกัน”

“ไม่เอา” จิกส่ายหน้าดิก “กูกลัว ถ้าจะลง เรียกไอ้โบ้ลงมาด้วยดีกว่า มันมีคาถาดี”

“เออ” เปรียวเห็นด้วย “กูก็ว่า…ลงไปกันเองไม่รอดแน่”

“ไอ้โบ้…มึงลงมาหน่อย” จิกตะโกนเรียก หากไม่มีเสียงตอบจากเพื่อนที่เป็นหัวหน้าทีม

“เฮ้ย ไอ้โบ้ ทำไมมึงเงียบวะ…” เปรียวเริ่มหงุดหงิด

“นั่นดิ จะเอายังไงก็ว่ามา กูว่าพระแสงดาบที่นายอยากได้ต้องอยู่ในกรุชั้นสามแน่” จิกแหงนหน้าขึ้นไปหาเพื่อนที่รออยู่ทางด้านบน “มึงจะเอายังไง…จะ…”

เสียงของจิกชะงักไปเพียงเท่านั้น

ดวงตาที่มันจ้องมองไอ้โบ้เหลือกลานด้วยความประหวั่น

เปรียวเห็นท่าทางของเพื่อนชะงักไปก็พลอยคลานออกมาจากกรุด้วยอีกคน ชายหนุ่มแหงนมองไปที่โถงด้านบน ที่ซึ่งโบ้นั่งอยู่กับหีบโบราณ…

“โอ๊ะ…”

เปรียวผงะถอยหลังไปชนเข้ากับจิก

ดวงตาแทบทะลักจากเบ้าด้วยความตกใจสุดขีด

เพราะที่ปากหลุมไม่ได้มีแค่โบ้…

ทั้งจิกและเปรียวเห็นเหมือนกัน…ทางด้านหลังของโบ้ มีเงาดำมืดของใครบางคนยืนทะมึนอยู่

ไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกายอย่างทหารโบราณเท่านั้นที่ทำให้ตกใจ

แต่เป็นเพราะดาบในมือของใครคนนั้นซึ่งเงื้อขึ้นสูง เตรียมจะฟันลงมาที่คอของไอ้โบ้นั่นต่างหาก ที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในกรุต้องกรีดร้องด้วยความตกใจถึงขีดสุด

“อ๊ากกกก…”

เสียงร้องโหยหวนนั้นกึกก้องไปทั่วทั้งอาณาบริเวณอันเงียบสงัด…

สะท้อนก้องไปไกลหลายคุ้งน้ำ…

ในรัตติกาลที่ยาวนานจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด…

 

“คุณยาย”

ปะวะหล่ำเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือและร้องเรียกคุณไลยด้วยเสียงตื่นเต้น บ่ายวันนี้ที่ร้านเงียบสนิท ว่างวายปราศจากลูกค้า สองยายหลานจึงมีเวลาส่วนตัว

“อะไร…หือ ยัยแป้ม”

น้ำเสียงของหลานสาวทำให้คุณไลยต้องเงยหน้าขึ้นจากถาดเครื่องประดับตรงหน้า เธอกำลังทำความสะอาดสร้อยบุษราคัมโบราณด้วยความระมัดระวัง

“โจรค่ะ…ข่าวโจรขโมยขุดกรุวัดราชธิดา”

“วัดราชธิดา” คุณไลยทำตาโต นึกไปถึงทับทรวงชิ้นงามที่เพิ่งปล่อยขายให้สีหราชไปเมื่อไม่นาน

“ค่ะ…วัดนั้นละ” ปะวะหล่ำพยักหน้า

“ขุดกรุหรือ” คุณไลยทำตาโต วางสร้อยในมือลง “เมื่อไหร่”

“เมื่อคืนนี้เองค่ะ” ปะวะหล่ำว่า ในยุคของข้อมูลข่าวสารทันสมัย มีอะไรเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีข่าวออกมาในช่องทางออนไลน์ให้อ่านได้แล้ว

“ไหน…ข่าวว่ายังไง” เธอรีบลุกขึ้นไปหาหลานสาวทันที

“นี่ค่ะ คุณยายลองดู” ปะวะหล่ำยื่นโทรศัพท์ให้คุณไลย “มีคลิปข่าวด้วยนะคะ”

เนื้อข่าวเล่าถึงโจรกลุ่มหนึ่งลักลอบเข้าไปขุดกรุที่พระปรางค์วัดราชธิดาเมื่อคืนที่ผ่านมา สันนิษฐานว่าโจรคงวางยานอนหลับ พระทั้งวัดจึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

จนกระทั่งเช้า พระเตรียมตัวออกบิณฑบาต หลวงพ่อช่วงเจ้าอาวาสจึงเดินไปพบว่ามีคนนอนตายอยู่ข้างพระปรางค์ถึงสองศพ และใกล้กันนั้นมีคนบ้าอีกหนึ่งคนกำลังนั่งยกมือไหว้ดินไหว้ฟ้าปลกๆ ปากพร่ำร้องขอชีวิตกับสิ่งที่มองไม่เห็น หลวงพ่อจึงรีบแจ้งตำรวจให้มายังที่เกิดเหตุ

สภาพศพของคนร้ายดูน่าสยดสยอง ศพหนึ่งโดนตัดคอ ศีรษะกระเด็นไปอยู่ไกลจากร่างราวสี่ถึงห้าเมตร กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ส่วนอีกหนึ่งศพอยู่ในท่ายกมือขึ้นกุมคอ ดวงตาเหลือกลาน ท่าทางราวกับคนตกใจสุดขีด

ตำรวจสอบถามคนร้ายที่รอดชีวิตแล้วสรุปว่าคนร้ายทั้งสามมาขโมยขุดกรุหาสมบัติโบราณไปขาย

ตำรวจสรุปเหตุการณ์ว่า ชายคนที่รอดชีวิตคนเดียวนั้นเกิดเห็นภาพหลอน นึกว่าเพื่อนเป็นนักรบโบราณจะมาทำร้าย เลยใช้มีดในมือแทงเพื่อนจนตาย จากนั้นก็ตัดคอจนขาด ส่วนอีกศพนั้นแพทย์ชันสูตรแล้วลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว พอตกใจที่เห็นคนฆ่ากันตาย กล้ามเนื้อหัวใจเลยขาดเลือดไปเลี้ยงเฉียบพลัน ทำให้เสียชีวิตไปในที่เกิดเหตุอีกหนึ่งศพ

หมอตรวจพบสารเสพติดในเลือดของคนร้ายทั้งสาม ตำรวจจึงไม่สงสัยเรื่องภาพหลอน เพราะใครก็ตามที่อัปยามากขนาดนี้ย่อมมีโอกาสเห็นภาพหลอนเป็นธรรมดา

ในคลิปข่าว ปะวะหล่ำเห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ไม่สวมเสื้อ เผยให้เห็นรอยสักบนหน้าอกและรูปร่างผอมเกร็ง ท่าทางของเขาหันซ้ายหันขวา ท่าทางเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

“ไม่จริง ผมไม่ได้ฆ่าไอ้โบ้” เสียงของโจรที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวสั่นสะท้าน “ผี…ผีเฝ้ากรุสมบัติต่างหากที่เป็นคนฆ่า…มันมีดาบ ดาบในมือฟันลงมาฉับเดียว…หัวไอ้โบ้กระเด็นไปเลย…กลัวแล้ว…ลูกกลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว…ไม่ขโมยอีกแล้ว…”

ตำรวจต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก กว่าจะสอบถามคนร้ายที่เหลืออยู่จนได้เรื่องได้ราว นายจิกอยู่ในสภาพคุ้มดีคุ้มร้าย บางครั้งก็พูดรู้เรื่อง บางครั้งก็มีท่าทางเหม่อลอย สุดท้ายเขายอมรับสารภาพว่าตนเองและพรรคพวกมาที่วัดราชธิดาเพื่อขุดหาสมบัติที่พระปรางค์ ตำรวจให้เด็กลูกวัดขึ้นไปบนพระปรางค์แล้วไต่ลงไปดูในหลุมที่พวกคนร้ายขุดทิ้งเอาไว้ ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากโพรงดินว่างเปล่า ไม่มีกรุสมบัติและไม่มีหีบโบราณอย่างที่จิกบอกกับทุกคน

“น่ากลัวจังนะคะ” ปะวะหล่ำยกมือขึ้นลูบแขน

อดนึกไปถึงเรื่องเล่าสมัยเรียนโบราณคดีไม่ได้ เรื่องคนร้ายที่ขโมยขุดกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะแล้วเจอเครื่องทองจำนวนมาก หนึ่งในนั้นหยิบเอาพระมหาพิชัยมงกุฎขึ้นมาสวม มือถือพระแสงดาบรำป้อกลางตลาด เพ้อว่าตัวเองเป็นกษัตริย์ ทำให้ตำรวจตามมาจับตัวได้ในที่สุด

“ของพวกนี้เป็นสมบัติแผ่นดิน” คุณไลยพึมพำ หลายสิบปีที่ทำร้านเครื่องประดับโบราณ เธอได้รู้เรื่องราวทำนองนี้มาไม่น้อย “ถ้าไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีวันได้ครอบครองหรอก…หรือถ้าดึงดันเอาไปจนได้ ยายเห็นสุดท้ายก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย”

“นี่ไม่รู้คิดยังไงนะคะ หลายปีก่อนขโมยขุดกรุไปจนหมดแล้ว ยังจะมีอะไรเหลือให้เอาไปได้อีก…เห็นไหม สุดท้ายก็ไม่เห็นมีสมบัติอะไรเลย” ปะวะหล่ำนิ่วหน้า

“คงได้ลายแทงหรือได้ข่าวอะไรมาละมัง ใครจะรู้ พระปรางค์นี่อาจจะมีกรุชั้นสองซ้อนอยู่ข้างล่างก็เป็นได้ ครั้งก่อนก็ยังไม่ได้สำรวจต่อไม่ใช่หรือ” คุณไลยสันนิษฐาน “แล้วที่ว่าขุดลงไปไม่มีอะไร…ที่จริงอาจจะมีก็ได้นะ แต่ปู่โสมท่านเอาไปซ่อนไว้”

ปะวะหล่ำถอนใจเบาๆ ไม่กล้าเถียงยาย ประสบการณ์สี่ปีในคณะโบราณคดีสอนเธอว่า…ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่…

“ไม่มีข่าวทำนองนี้มานานแล้วนะคะ” ปะวะหล่ำเปลี่ยนเรื่อง “ผืนดินอยุธยาถูกขุดจนพรุน หนูว่าป่านนี้ไม่มีอะไรเหลือให้พวกนักล่าสมบัติขุดแล้วละ”

“ว่าไม่ได้หรอกนะแป้ม ถึงจะถูกขุดไปเยอะแล้ว แต่ก็มีที่ยังไม่เคยโดนขุดเหลืออยู่อีกไม่น้อย…อยุธยาน่ะ เมืองเก่าเมืองแก่อายุหลายร้อยปี หันไปตรงไหนก็เป็นที่ดินโบราณทั้งนั้น พวกขโมยมันก็พยายามเสาะหา…มีตรงไหนที่ยังไม่เคยถูกขุด มันก็ชวนกันไปขุดจนหมดละ” คุณไลยพึมพำ “เผื่อฟลุกเจอสมบัติขึ้นมาสักกรุก็รวยไปเลย”

ยายหลานคุยกันถึงตรงนี้ เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าร้านก็ดังขึ้น ใครบางคนผลักประตูเดินเข้ามา เมื่อปะวะหล่ำหันไปมองก็รีบลุกขึ้นและหันไปทางคุณไลยอย่างรวดเร็ว

“มาแล้วค่ะ…ที่นัดเอาไว้”

 



Don`t copy text!