ธำมรงค์เลือด บทที่ 5 : พรายกระซิบ
โดย : พงศกร
ธำมรงค์เลือด นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาและพงศกรอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เรื่องราวของบุรุษลึกลับที่เทียวกลับมาที่ร้านของคุณไลยหลายครั้งหลายหน เพื่อตามหาแหวนโบราณวงหนึ่ง…แหวนไพลินที่ทำขึ้นมาในสมัยอยุธยา และคือจุดเริ่มต้นของความรัก ความแค้น ความพยาบาทที่ผูกพันมาแต่อดีตและเป็นแหวนที่จะเชื่อมโยงชะตากรรมของทุกคนเข้าด้วยกัน
คุณไลยคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด สีหราชแวะมาที่ร้านจริงๆ
เขามารวดเร็วกว่าที่เธอคิด
สีหราชไม่ได้แวะมาภายในวันสองวัน หากชายหนุ่มและลูกน้องอีกสองคนมาปรากฏกายที่ร้านเครื่องประดับโบราณในค่ำวันนั้น คล้อยหลังจากที่เพลงภัทรกลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง
กำลังจะปิดร้านอยู่แล้ว และเขาก็แวะมาเสียก่อน
ปะวะหล่ำรู้สึกถึงบรรยากาศที่ยะเยือกเย็นลงโดยกะทันหัน จู่ๆ ท้องฟ้าที่สว่างใสก็กลับเต็มไปด้วยเมฆหนาทึบเคลื่อนเข้ามาบดบัง ฟ้าใสกลายเป็นครึ้มและมืดดำ หญิงสาวห่อไหล่และยกมือขึ้นกอดอก เอื้อมมือไปหยิบผ้าพันคอขึ้นมาจากกระเป๋า เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงล่ำสันก้าวเข้ามาในร้าน พร้อมกับกรุ่นหอมเฉพาะตัวที่ลอยอวลมาพร้อมๆ กัน
เธอเงยหน้าขึ้นจากผ้าในมือ ดวงตาคู่กลมโตสบกับดวงตาคู่คมเข้มเข้าพอดี ปะวะหล่ำชะงักไปนิดหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ถึงพลังดึงดูดอันแรงกล้าที่ตรึงสายตาของเธอเอาไว้ ทำให้ปะวะหล่ำไม่อาจละสายตาไปจากดวงหน้าคร้ามคมแบบไทยแท้ได้…
ทำไม…
ทำไมเธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน
ไม่ใช่เคยเห็นมาที่ร้านของคุณไลย แต่เคยเห็น เคยรู้จักมานานกว่านั้น…
ไม่น่ะ…ปะวะหล่ำบอกตัวเอง คิดมากเกินไป
หัวใจของหล่อนเต้นแรงโดยไม่มีเหตุผล…กลัว ตื่นเต้น หรืออะไรกันแน่ ความรู้สึกมากมายประดังขึ้นมาพร้อมกันจนแยกไม่ออก พร้อมกันนั้นลมหายใจก็เหมือนจะติดขัดขึ้นมาโดยกะทันหัน แล้วก่อนที่อาการวิงเวียนจะจู่โจมปะวะหล่ำ เสียงคุณไลยก็ร้องทักขึ้นเสียก่อน
“อุ๊ย…คุณสีหราช”
ยายของเธอเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่นั่งอ่าน ปะวะหล่ำสังเกตเห็นดวงหน้าของคุณไลยเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ก่อนจะปรับให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“มาได้ยังไงคะ แหม…พอดีเลยนะคะ…เหมือนคุณสีหราชจะรู้ว่า วันนี้มีสังวาลจากกรุวัดราชธิดาเข้ามาที่ร้าน”
“ต้องรู้อยู่แล้ว” เขาหัวเราะเสียงแผ่วต่ำในลำคอ บอกไม่ถูกว่าเป็นอาการเยาะหยันหรือยินดีกันแน่ ดวงหน้านิ่งเฉยปราศจากรอยยิ้ม “คิดว่าเรามาเพราะบังเอิญอย่างนั้นหรือ”
‘เรา’…สรรพนามที่ชายหนุ่มเรียกแทนตัวเองก็แสนจะประหลาด สายตาคู่คมปรายมองมาทางปะวะหล่ำ หญิงสาวก้มหน้างุด ไม่กล้าสบดวงตาคู่ทรงอำนาจ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่าขุมขนบนเรือนกายลุกเกรียวโดยไม่มีเหตุผล
“รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้ คุณมีพรายกระซิบหรือยังไงคะ” คุณไลยแกล้งพูดขำๆ ไม่ได้หมายความจริงจัง
“ก็มีน่ะสิ” สุ้มเสียงของเขายังคงแผ่วต่ำ ดวงตาของเขาเหลือบมองไปในอากาศว่างเปล่า “เรามีพรายกระซิบ เขาอยู่ไม่ไกลนี่ละ…อยากเจอพรายของเราไหมล่ะ”
“โอย…อย่าดีกว่าค่ะ ไลยกับผีๆ ไม่ค่อยถูกกัน” คุณไลยชักขำไม่ออก “แหม ไลยแค่ล้อเล่นน่ะค่ะ คุณสีหราชก็จริงจังไปได้”
“ไหนล่ะ สังวาลเส้นที่ว่า” เขาถามเข้าประเด็น
ปะวะหล่ำรู้สึกว่าบรรยากาศที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งอึมครึมหนักกว่าเดิม รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ได้ หล่อนจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะเดินหลบไปนั่งในห้องหลังร้าน หากคุณไลยเรียกเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหนแป้ม…ช่วยยายหยิบสังวาลเส้นนั้นออกมาให้คุณสีหราชก่อน”
“ค่ะ” ปะวะหล่ำรับคำเสียงแผ่ว แล้วเดินไปเปิดเซฟ หยิบกล่องกำมะหยี่บรรจุสังวาลโบราณออกมาส่งให้ผู้เป็นยาย คุณไลยรับมาแล้วส่งต่อให้ชายหนุ่มอีกที
“สังวาล”
ดวงตาของสีหราชพินิจดูสังวาลโบราณแนวนิ่ง เขาพยักหน้าด้วยอาการพึงใจ ก่อนจะพึมพำถาม
“ไม่เห็นมานานจนจำเกือบไม่ได้…”
“ไม่เห็นมานาน” ปะวะหล่ำสะดุดหูกับคำพูดทำนองนั้น
“หมายถึง…ได้มาจากไหน” สีหราชพูดใหม่ ดวงหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ให้เห็นว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร
“เพื่อนของยายแป้มเอามาฝากขายค่ะ” คุณไลยตอบ “ของแท้นะคะ งามมาก…ทั้งงาม ทั้งสมบูรณ์ เปิดร้านมาทั้งชีวิต ไลยไม่เคยเห็นสังวาลที่สมบูรณ์แบบเหมือนกับเส้นนี้มาก่อน”
“ราคาเท่าไร” สีหราชไม่สนใจรายละเอียดที่คุณไลยพยายามเล่า นัยน์ตาคู่คมของเขายังไม่ละไปจากสังวาลเส้นงาม
“ราคา…ออกจะสูงสักหน่อย” คุณไลยเสียงแผ่ว
“ฉันถามว่าเท่าไร” เสียงของเขาเข้มราวขัดใจ
“เจ้าของขอสิบล้านค่ะ”
คุณไลยบอกราคาที่เพลงภัทรต้องการ ไม่ได้บวกเพิ่มแม้แต่บาทเดียว เพราะต้องการจะช่วยเหลือเพื่อนของหลานสาว
“ตกลง” สีหราชตัดสินใจรวดเร็ว ราวกับว่าเงินสิบล้านสำหรับเขาเป็นเรื่องเล็ก ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับคนสนิทที่ยืนสงบนิ่งรออยู่ทางด้านหลัง หนึ่งในนั้นเดินมาหาผู้เป็นนาย วางกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ในมือลงตรงหน้าคุณไลย
“เงินสดสิบล้าน”
เหมือนกับเขารู้ตัวเลขล่วงหน้า เงินที่เตรียมมาจึงพอดิบพอดี สีหราชเปิดกระเป๋าให้คุณไลยดู ก่อนจะหยิบเงินทั้งหมดออกมาวางบนถาดตรงหน้า ปะวะหล่ำนั่งอยู่ข้างๆ ยาย เห็นธนบัตรจำนวนหลายตั้งในถาด ก็ถึงกับอ้าปากค้างไปด้วยความตื่นตะลึง
ยุคนี้แล้วยังจะมีใครซื้อของด้วยเงินสดเป็นมัดๆ แบบนี้อีก ทุกธนาคารมีระบบโอนเงินออนไลน์ สะดวกสบาย ไม่ต้องถือเงินสดให้โจรปล้น…ยกเว้น…
ยกเว้นแต่จะเป็นการจ่ายเงินแบบไม่ให้มีหลักฐานผูกมัดภายหลัง
หรือว่า…เขาอาจจะเป็นมาเฟีย ทำธุรกิจผิดกฎหมายอย่างเสียงร่ำลือ
“เงินของผม…เป็นเงินสุจริต” สีหราชเอ่ยลอยๆ ไม่จำเพาะเจาะจงว่าพูดกับใคร หากวาจาดุดันของเขาก็ทำเอาปะวะหล่ำขนลุกซู่
“ไม่นับก่อนหรือ”
สีหราชเลิกคิ้วเรียวยาวของเขา เมื่อเห็นคุณไลยหยิบเงินจากถาดใส่ในถุงโดยไม่แม้แต่จะนับ
“ไม่นับค่ะ ไลยเชื่อใจคุณ” ไม่มีความจำเป็นต้องมานั่งนับเงินกันต่อหน้าให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก หลายปีที่ค้าขายกันมา สีหราชไม่เคยโกง
ส่งถุงเงินให้หลานสาวนำไปเก็บในเซฟแล้ว คุณไลยหันมาหยิบสังวาลใส่กล่องกำมะหยี่ส่งให้ชายหนุ่ม และสีหราชก็รับไปดูอย่างพึงใจ
ถึงยายจะไว้ใจเขามากแค่ไหน แต่ด้วยความที่ปะวะหล่ำเป็นคนรอบคอบ หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบดูสักหน่อย ดังนั้น ตอนที่หยิบเงินออกจากถุงเพื่อใส่ในตู้เซฟ ปะวะหล่ำเลยสุ่มหยิบธนบัตรขึ้นมาปึกหนึ่ง พลิกตรวจดูอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ธนบัตรปลอม
“ไม่ไว้ใจหรือไง”
เสียงพึมพำนั้นดังอยู่ใกล้ๆ หู
“อุ๊ย” ปะวะหล่ำสะดุ้งสุดตัว “ใคร…”
ยังไม่ทันจะว่าอย่างไรเสียงแหบพร่านั้นก็ดังขึ้นอีก คราวนี้แผ่วเบาเหมือนสายลมกระซิบ…
“ไง…ของจริงหรือของปลอมล่ะ”
“อะ…อะไร” หญิงสาวพึมพำ ธนบัตรแทบพลัดหลุดจากมือ ขุมขนบนเรือนกายลุกเกรียวเมื่อหันไปรอบๆ แล้วพบแต่ความว่างเปล่า
“คะ…ใครพูด เสียงใคร”
ไม่มีใคร
แน่ละ จะมีใครได้อย่างไร ในเมื่อภายในห้องทำงานของคุณไลยมีหล่อนอยู่คนเดียวเท่านั้น…
แล้วเสียงเมื่อสักครู่…เสียงใคร
“เจ้านายฉัน ไม่เคยโกงใคร”
เสียงนั้นดังขึ้นที่ข้างหูปะวะหล่ำอีกครั้ง สำเนียงเหมือนจะยั่วเย้า
และคราวนี้ปะวะหล่ำไม่เสียเวลาหาคำตอบว่าเป็นเสียงของใคร หรืออะไร…เรื่องบางเรื่องไม่ต้องมีคำตอบก็ได้ หล่อนรีบเก็บธนบัตรเข้าตู้เซฟแล้วเผ่นแน่บ วิ่งย้อนกลับออกมายังห้องด้านหน้ารวดเร็ว พอดีกับได้ยินเสียงเข้มขรึมของสีหราชถามถึงเจ้าของสังวาลจากคุณไลย
“เจ้าของสังวาลหรือคะ…เอ้อ…”
คุณไลยอ้ำอึ้ง ด้วยเป็นมารยาทของร้านที่จะไม่เอ่ยชื่อลูกค้าคนที่ฝากขายเครื่องประดับให้คนอื่นฟัง เพราะบางคนเคยมีฐานะดีมาก่อน เมื่อมีปัญหาการเงินจำเป็นต้องเอาสมบัติออกมาขาย ก็รู้สึกขายหน้าและไม่อยากให้เรื่องรู้ไปเข้าหูคนอื่นในวงสังคม
“ถ้ายังไม่สะดวกใจจะบอกก็ไม่เป็นไร” เขาจ้องคุณไลยแน่วนิ่ง…ตาต่อตาสบกัน
“เธอชื่อเพลงภัทร” อยู่ๆ คุณไลยก็พึมพำชื่อเพื่อนของปะวะหล่ำออกมาเอง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น
ปะวะหล่ำเห็นอาการเลื่อนลอย ไม่เป็นตัวของตัวเองของคุณไลย แต่ละคำที่ผู้อาวุโสพูดออกมาเหมือนกับหุ่นยนต์
“เพลงภัทรเป็นเพื่อนของปะวะหล่ำ หลานสาวของฉันเองค่ะ”
“บอกกับผู้หญิงคนนั้นให้ด้วย” น้ำเสียงของสีหราชเยือกเย็นเหมือนกับบรรยากาศในร้าน “หากมีเครื่องประดับหรือเครื่องทองจากวัดราชธิดาที่ต้องการจะขายอีกละก็…ให้บอกมาได้เลย…เรารับซื้อทุกชิ้น ต้องการราคาเท่าไรก็บอกมา ไม่เกี่ยง…”
“ไลยคิดว่ามีค่ะ” คุณไลยยังพูดด้วยอาการเดิม “หนูเพลงยังมีของเก่าที่ตกทอดมาจากคุณย่าอีกหลายชิ้น ไลยเชื่อว่าในจำนวนสมบัติเหล่านั้น…ต้องมีของจากกรุวัดราชธิดาอยู่ไม่น้อย บรรพบุรุษของเธอเคยเป็นข้าหลวงเก่ามณฑลอยุธยา เลยมีของจากกรุต่างๆ หลายชิ้น”
“มีกี่ชิ้น…เรารับซื้อไว้ทั้งหมด” เสียงของเขาแผ่วต่ำ “เรื่องราคา…ต้องการเท่าไร ก็เรียกมาได้เต็มที่”
“ให้บอกผ่านมาทางไลย หรือว่าให้ไลยนัดหนูเพลงมาพบกับคุณสีหราชคะ” คุณไลยขยับถาม
“บอกผ่านมาทางร้านดีแล้ว เราไม่สะดวกให้ติดต่อโดยตรง”
เขาตัดบท ดวงตาคู่ดำสนิทราวน้ำในบ่อลึกเหลือบมองมาทางปะวะหล่ำ และหญิงสาวก็หลบวูบด้วยความรู้สึกยำเกรง
“ถ้ามีของเข้ามาเมื่อไร…เราจะแวะมาเอง”
เขาพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังกลับ เดินจากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับตอนที่มาถึง
รอจนกระทั่งสีหราชและลูกน้องของเขาเดินพ้นไปจากร้านแล้วนั่นละ คุณไลยถึงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนานุ่มด้วยอาการงุนงง เธอหันไปทางหลานสาวแล้วพึมพำว่า
“โอย…แป้ม…ขอยาลมยายหน่อย”
“ยายเป็นอะไรไปคะ” ปะวะหล่ำตกใจ
“ไม่รู้” คุณไลยหน้าซีด “มึนหัว…งงๆ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างไรไม่รู้”
“นั่นสิคะ” ปะวะหล่ำนิ่วหน้า ขณะเดินไปละลายยาหอมมาให้ผู้สูงวัย “แป้มยังงงว่าคุณยายบอกชื่อเพลงกับคุณสีหราชไปทำไม ปกติเราไม่เคยบอกชื่อลูกค้าที่ฝากขายเครื่องประดับกับคนอื่น”
“นั่นสิ” คุณไลยเอื้อมมือไปรับยาหอมจากหลาน “ยายก็งง ว่าหลุดปากบอกไปได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ปะวะหล่ำว่า “ยัยเพลงไม่คิดอะไรหรอก ขายสังวาลได้ตั้งสิบล้านคงสบายใจ หายกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนแล้วละ”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่แป้มคิด” คุณไลยถอนใจเบาๆ “เพราะถ้าเป็นลูกค้าคนอื่นละก็…ยายเอาชื่อมาเปิดเผยแบบนี้…รับรองโดนถอนหงอกหมดหัวแน่”
นอกจากจะไม่โดนถอนหงอกแล้ว เพลงภัทรยังนั่งลงกับพื้นพรม กราบคุณไลยที่ตัก…กราบแล้วกราบอีก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เพลงมีเงินเรียนหนังสือแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้ว”
เพื่อนของปะวะหล่ำพึมพำ วันนั้นเพลงภัทรมาคนเดียว ธามนิธิไม่ได้มาด้วย
“ยายโอนเงินเข้าบัญชีของหนูเรียบร้อยแล้วนะ” คุณไลยว่า
เธอรอบคอบพอที่จะไม่ให้เพลงภัทรถือเงินสดกลับบ้าน แบบนั้นอันตรายเกินไป คุณไลยสั่งให้ปะวะหล่ำขอเลขบัญชีธนาคารมาจากเพลงภัทร และโอนเงินส่วนที่เหลืออีกห้าล้านให้หญิงสาวเรียบร้อย
“ที่จริงคุณยายจะหักเปอร์เซ็นต์เอาไว้สักหน่อยก็ได้นะคะ” เพลงภัทรว่า
“ไม่หรอกจ้ะ” คุณไลยส่ายหน้า “ให้หนูเก็บเอาไว้เรียนหนังสือดีกว่า”
“ขอบคุณค่ะ” เพลงภัทรยิ้มกว้าง หากดวงตาคมคู่นั้นกลับมีร่องรอยระแวงเร้นลึก “ว่าแต่ คุณยายขา…คนที่ซื้อสังวาลไป เขาไม่ต่อราคาเลยหรือคะ”
“ไม่เลย บอกสิบล้านก็จ่ายสิบล้าน ไม่ต่อสักคำ” คุณไลยพึมพำ “รายนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ ถ้าเป็นของที่ถูกใจละก็ ไม่เคยต่อราคาเลยแม้แต่บาทเดียว เขายังบอกด้วยนะว่าถ้าหนูเพลงมีของเก่าจากกรุวัดราชธิดาอยากจะปล่อยอีกละก็…ให้เอามาฝากที่ร้านของยายได้เลย”
“จริงเหรอคะ” เพลงภัทรทำตาโต น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมาดหมายบางประการ “หนูชักอยากเจอเขาแล้วละสิ…ใครกันนะ มีเงินมาก แถมยังใจกว้างขนาดนี้…”