
มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
โดย : วัชรนริศ
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
ทิพย์ธิดาได้รับจดหมายจากทนายความของตระกูลแจ้งว่าเธอได้รับมรดกเป็นคฤหาสน์วารีมรกต ซึ่งเป็นสมบัติของบรรพบุรุษที่ไม่เคยมีใครรู้จัก ทิพย์ธิดาเป็นนักวิจัยประวัติศาสตร์ที่สนใจในเรื่องราวโบราณ เมื่อได้รับจดหมาย เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปที่คฤหาสน์ในวันต่อมา
ทิพย์ธิดาเป็นหญิงสาววัย 28 ปี รูปร่างสูงเพรียวและสง่างาม ด้วยความสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ทำให้เธอดูโดดเด่นยามก้าวเดิน ผิวของเธอเป็นสีขาวเหลืองเนียนละเอียด แสดงถึงการดูแลตัวเองอย่างดีและชีวิตที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ผมยาวสีดำเป็นลอนคลื่นสวยงาม สะท้อนแสงแดดอ่อนยามบ่ายที่ลอดผ่านหน้าต่างรถไฟ ทำให้เส้นผมของเธอดูพลิ้วไหวและเต็มไปด้วยเสน่ห์ธรรมชาติ ผมยาวของทิพย์ธิดาถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย ปล่อยให้เป็นลอนอ่อนๆ ที่ลงตัวกับรูปหน้าของเธอ
ใบหน้าของทิพย์ธิดามีโครงหน้าที่อ่อนหวาน คิ้วเรียวได้รูปทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาของเธอสะท้อนความมุ่งมั่นและความอยากรู้อยากเห็นอยู่ลึกๆ ทำให้เธอดูเป็นคนที่ใฝ่รู้และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ จมูกเรียวสวยสมดุลกับรูปหน้า ริมฝีปากสีธรรมชาติของเธอเผยให้เห็นความอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งภายใน
การแต่งกายของทิพย์ธิดาในวันนี้เข้ากับบรรยากาศที่แสงแดดยามบ่ายปลายฤดูหนาวกำลังส่องลงมาอย่างอ่อนโยน เธอสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวครีมที่ตัดเย็บอย่างประณีต ตัวเสื้อมีลายลูกไม้บางๆ ที่บริเวณคอและแขนเสื้อ ทำให้ดูนุ่มนวลและสง่างามในเวลาเดียวกัน เสื้อถูกสอดไว้ในกระโปรงยาวทรงเอสีเขียวมะกอกที่ทำให้ดูคลาสสิกแบบเรียบหรู กระโปรงยาวถึงข้อเท้าแต่ทิ้งตัวพลิ้วไหวขณะเดิน เพิ่มความสง่างามและความเป็นหญิง
เธอสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มที่เข้ากันกับกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กที่มีสายคล้องไหล่สีเดียวกัน เป็นรองเท้าส้นเตี้ยที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกล แต่ยังคงความสง่างามเช่นเดิม ที่ข้อมือข้างหนึ่งของทิพย์ธิดามีสร้อยข้อมือเงินเส้นบางๆ สวมอยู่ เป็นเครื่องประดับเดียวที่เธอสวมใส่ สะท้อนความเรียบง่ายแต่สง่างามในตัวเธอ
มือข้างหนึ่งของเธอกำลังถือจดหมายจากทนายความ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์วารีมรกตที่เธอกำลังจะเป็นผู้รับมรดก ส่วนอีกข้างหนึ่งถือหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโปรดของเธอ ทิพย์ธิดาชอบศึกษาประวัติศาสตร์และเธอมักพกติดตัวไว้เสมอ เพราะมันช่วยให้เธอเข้าใจอดีตและเรื่องราวของตระกูลได้ดียิ่งขึ้น
‘ไม่เคยคิดว่าฉันจะได้รับมรดกจากคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน’ หญิงสาวพูดกับตัวเองในใจ
รถไฟหยุดที่สถานีกาญจนบุรี ทิพย์ธิดาลงจากรถไฟและเห็นรถโรลส์รอยซ์สีครีมที่ดูโอ่อ่าคันหนึ่งจอดรออยู่ ซึ่งเป็นรถของคฤหาสน์วารีมรกตที่ทนายความจัดเตรียมไว้ให้ ชายวัยกลางคนชื่อว่านายวินัย ซึ่งเป็นคนขับรถทักทายเธอด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร นายวินัยมีรูปร่างท้วม ผมสีดอกเลา ใบหน้าที่มีริ้วรอยแสดงถึงความมีประสบการณ์และความอบอุ่น
“สวัสดีครับคุณทิพย์ธิดา ผมเป็นคนขับรถจากคฤหาสน์วารีมรกต คุณทนายให้ผมมารับคุณ ไปส่งที่คฤหาสน์วารีครับ”
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
นายวินัยรีบรับกระเป๋าจากมือเธออย่างกระตือรือร้น เตรียมนำกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ที่ท้ายรถและเดินมาเปิดประตูรถให้กับเธอ รถขับผ่านถนนที่คดเคี้ยว ทิพย์ธิดามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นป่าไม้เขียวชอุ่มและภูเขาสูงที่โอบล้อมถนน บรรยากาศเงียบสงบและเต็มไปด้วยความลึกลับ
หลังจากการเดินทางที่ยาวนาน ทิพย์ธิดาก็มาถึงคฤหาสน์วารีมรกต คฤหาสน์นี้มีสถาปัตยกรรมแบบโบราณ ผสมผสานระหว่างสไตล์ไทย มีหลังคาทรงปั้นหยาสีแดงเข้ม ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นที่เห็นได้แต่ไกล ตัวหลังคาเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบปลายแหลมชี้ขึ้นสูง สะท้อนถึงความเป็นไทยผสมกับการออกแบบของชาวตะวันตก เสริมด้วยการประดับตกแต่ง ไม้สลักลวดลายอันวิจิตรบรรจงที่หน้าบันของคฤหาสน์ ลวดลายเหล่านี้ถูกสลักขึ้นด้วยมือ แสดงถึงศิลปะอันเก่าแก่ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
หน้าต่างบานใหญ่ของคฤหาสน์ทำจากไม้เนื้อดีทาสีเข้ม มีบานกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวรอบนอกได้อย่างชัดเจน บานหน้าต่างไม้แกะสลัก ลายเส้นคมชัดเป็นรูปดอกไม้และสัตว์ในตำนาน ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าคฤหาสน์นี้มีชีวิต บานประตูขนาดใหญ่หน้าคฤหาสน์ก็ถูกแกะสลักอย่างละเอียดด้วยลายไทยแบบโบราณ ซึ่งแสดงถึงเรื่องราวทางศาสนาและวัฒนธรรม บ่งบอกถึงความมั่งคั่งและฐานะของตระกูลวารีมรกต
รอบๆ คฤหาสน์เป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านโอบล้อมทั้งสี่ด้าน ทำให้เกิดเงามืดที่สร้างบรรยากาศเงียบสงบและมีมนตร์ขลังในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนผสมผสานกับกลิ่นดินเปียกหลังจากฝนตก ทำให้บรรยากาศมีทั้งความสดชื่นและลึกลับ เสียงใบไม้ที่กระทบกันเบาๆ ตามจังหวะของสายลม แฝงไปด้วยความเงียบสงบที่เกือบจะหลอนในบางครั้ง
“ถึงแล้วครับคุณทิพย์ธิดา ที่นี่คือคฤหาสน์วารีมรกตครับ”
“มันสวยงามและดูยิ่งใหญ่จริงๆ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
วินัยขับรถมาหยุดจอดบริเวณหน้าทางเข้าภายในคฤหาสน์ เธอเองก็ค่อยๆ เดินลงจากรถอย่างช้าๆ แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็น กระทบลงบริเวณที่เส้นผมและใบหน้าของเธอ ทิพย์ธิดาเงยหน้ามองไปที่หน้าทางเข้าของคฤหาสน์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่ามาเป็นเวลาแสนนาน ความรู้สึกที่เธอได้รับคือความตื่นเต้นปนด้วยความกลัว ความสง่างามของคฤหาสน์ที่แฝงไปด้วยความลึกลับทำให้หัวใจเธอเต้นแรง เธอไม่เคยคาดคิดว่าคฤหาสน์เก่าแก่หลังนี้จะมีเสน่ห์ที่ดึงดูดได้มากถึงเพียงนี้และนี่คือก้าวแรกของการมาถึงของเธอ
ทิพย์ธิดาเดินเข้าไปเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง เธอค่อยๆ ก้าวขาไปสู่ภายใน และเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว ความมืดมิดและความเงียบสงบที่ล้อมรอบทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกลืนหายเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่ง พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบภายใต้ฝ่าเท้าจะทำให้รู้สึกถึงความห่างไกลจากโลกภายนอก ห้องโถงใหญ่กลางบ้านมีเพดานสูงโปร่งประดับด้วยโคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ ที่สะท้อนแสงระยิบระยับไปทั่ว พื้นไม้ที่ปูด้วยพรมเนื้อหนา มีลวดลายคลาสสิกที่บ่งบอกถึงศิลปะจากยุโรป ผนังห้องมีภาพวาดสีน้ำมันที่เล่าเรื่องราวของตระกูลนี้ตั้งแต่ยุคโบราณประดับอยู่ในกรอบทองที่มีรายละเอียดสลักอย่างประณีต เสียงประตูปิดดังสนั่นทำให้เธอตกใจและหันกลับไปมอง
“สวัสดีค่ะคุณทิพย์ธิดา” เสียงของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้นจากความมืด เธอคือบุษบา หัวหน้าแม่บ้าน เธอเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง ผิวขาวเหลือง ผมสีดำที่ถูกเกล้ามวยอย่างเรียบร้อย ใบหน้านิ่งสงบปนรอยยิ้มเล็กน้อย เธอเป็นสาวใช้ที่ถูกส่งมาดูแลคฤหาสน์นี้ตั้งแต่วัยเยาว์
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณทิพย์ธิดา ดิฉันเป็นแม่บ้านที่นี่ เรียกดิฉันว่าบุษบาก็ได้ค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณบุษบา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
ทิพย์ธิดากล่าวเบาๆ พลางมองสำรวจรอบๆ ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา มีพื้นหินอ่อนสีขาวและผนังที่ประดับด้วยภาพวาดโบราณ โต๊ะไม้แกะสลักอย่างละเอียดตั้งอยู่กลางโถงทางเดิน ผนังห้องประดับด้วยภาพวาดบรรพบุรุษของตระกูล รูปร่างและหน้าตาของพวกเขาดูสง่างามและมีความเข้มแข็ง
“ในภาพนี้เป็นใครหรือคะ”
“ในภาพนี้เป็นภาพของหม่อมเจ้าอดิศรกับหม่อมเจ้าหญิงสวาทย์สุภาค่ะ” ทิพย์ธิดามองภาพด้วยความรู้สึกชื่นชมในความงดงามของหม่อมทั้งสอง
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพาคุณทิพย์ธิดาไปยังห้องนอนของคุณนะคะ” บุษบากล่าวพร้อมกับนำทางทิพย์ธิดาไปยังบันไดไม้ที่คดเคี้ยวขึ้นสู่ชั้นสอง บันไดทำจากไม้สักเนื้อดีประดับด้วยราวบันไดเหล็กดัดที่ถูกหล่อขึ้นมาอย่างประณีต ทุกย่างก้าวบนบันไดจะทำให้ได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ ซึ่งเป็นเสียงของอดีตกาลที่สะท้อนกลับมาอีกครั้ง
ห้องนอนของทิพย์ธิดาตั้งอยู่บนชั้นสองของคฤหาสน์ ที่นี่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นสวนกว้างขวางและป่าลึกที่อยู่ไกลออกไป เธอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความหวาดกลัว
เมื่อเธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นเรือนไม้เก่าชั้นเดียวหลังเล็กตั้งอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ วางตัวอยู่ในบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้บรรยากาศร่มรื่นแต่ก็ดูลึกลับไปพร้อมๆ กัน เรือนหลังนี้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเองอย่างบอกไม่ถูก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณทิพย์คะ ดิฉันลืมบอกคุณไป ว่ากลางค่ำกลางคืนคุณอย่าออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้านไกลๆ นะคะ มันอันตราย เพราะที่ตึกนี้จะมีแค่คุณกับดิฉันเท่านั้น ดิฉันจะพักอยู่บริเวณห้องชั้นล่างด้านหลังของตึก ส่วนที่เรือนคนรับใช้จะมีเพียงแค่ลุงวินัยคนขับรถ มีป้าแก้วที่เป็นแม่ครัว และนางบัวกับนายจอมที่เป็นเด็กรับใช้เท่านั้นค่ะ”
ทิพย์ธิดามองบุษบาด้วยความสงสัย “เรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์เป็นของใครหรือคะ”
“ที่นั่นเคยเป็นที่อยู่ของบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านหญิงสวาทย์สุภาค่ะ” บุษบาตอบ
ทิพย์ธิดาฟังอย่างสนใจ “แล้วตอนนี้เธอยังอยู่ที่นั่นไหมคะ”
บุษบาถอนหายใจยาว “ในอดีต สาวใช้คนนั้นชื่อว่า สายใจ เธอเป็นคนที่ท่านหญิงไว้ใจมากที่สุด แต่มีข่าวลือว่าเธอเล่นคุณไสยมนตร์ดำ จนทำให้ท่านหญิงมีสุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ”
ทิพย์ธิดาขมวดคิ้วและอุทานขึ้น “คุณไสย”
บุษบามองหน้าเธอด้วยท่าทีระมัดระวัง “จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันก็นานมากแล้วค่ะ ดิฉันเองก็ลืมเลือนไปบ้างแล้ว เพราะตอนนั้นดิฉันเองก็เด็กมาก แต่เท่าที่จำความได้ วันหนึ่ง พระมารดาของท่านหญิงจับได้ว่าสายใจเป็นคนเล่นคุณไสยและทำเสน่ห์ใส่ท่านชาย มิหนำซ้ำก็ยังพยายามหาทางทำร้ายท่านหญิงอีก เธอจึงถูกนำตัวไปขังไว้ในเรือนหลังเล็กและถูกเฆี่ยนตีอยู่นาน จนในที่สุดสายใจก็หนีความผิดโดยการผูกคอตาย”
“สงสารเธอจังเลยนะคะ” ทิพย์ธิดารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวนี้ “แล้วที่นี่มีอะไรแปลกๆ บ้างไหมคะ”
“ถ้าจะหมายถึงผีสางไม่มีหรอกค่ะ แต่ที่แน่ๆ เคยมีโจรปีนเข้ามา” บุษบากล่าว
“คืนหนึ่ง ลุงวินัยเดินออกมาตรวจยามรอบบ้านตอนกลางดึก ก็พบว่ามีไอ้โม่งดำ พยายามจะปีนหน้าต่างเข้าไปด้านในคฤหาสน์ ลุงวินัยเห็นเข้าพอดี เลยส่งเสียงร้อง ‘ขโมย ขโมย’ ไอ้โม่งดำก็ตกใจ รีบวิ่งหนีไปทางสวนท้ายคฤหาสน์ ลุงวินัยก็ส่องไฟฉาย วิ่งตามไปแต่ก็ไม่พบไอ้โม่งแล้ว มันน่าจะปีนกำแพงรั้วออกไปได้ทัน แต่โชคดีแล้วค่ะที่ไม่มีใครเป็นอะไร”
“แต่คุณอย่าเดินไปแถวนั้นเลยค่ะ เพราะที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้ว เรือนหลังเล็กนั้นก็ปิดตายมานานแล้ว กลางวันก็วิเวกวังเวง ยิ่งกลางคืนนี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ” ทิพย์ธิดาเริ่มรู้สึกสงสัยและรับรู้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเรือนหลังเล็กอย่างบอกไม่ถูก
“ดิฉันจะให้คนมาตั้งอาหารเย็นตอนเวลาหกโมงเย็นนะคะ”
“ขอบคุณค่ะคุณบุษบา”
ทิพย์ธิดามองไปที่เรือนหลังเล็กด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เธอรู้ว่านี่คือความลึกลับอีกหนึ่งเรื่องที่เธอต้องคลี่คลายในคฤหาสน์วารีมรกต
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลดแสงลงเพื่อให้รู้ว่าใกล้ถึงเวลาเย็นแล้ว เธอเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องอาหาร โดยมีบุษบาและสมาชิกจากเรือนคนใช้มารอต้อนรับและทำความรู้จักกับผู้เป็นนายหญิงคนใหม่
“ทุกคน ต่อไปนี้ให้ช่วยกันดูแลคอยรับใช้คุณทิพย์ธิดากันด้วยนะ เธอจะมาเป็นนายผู้หญิงคนใหม่ของที่นี่” บุษบาพูดและเริ่มแนะนำสมาชิกทีละคน “คนนี้ป้าแก้วกับลุงวินัย เป็นแม่ครัวและคนขับรถของที่นี่ค่ะ และก็บัวกับจอม เป็นคนรับใช้และคนสวนของที่นี่” ทั้งหมดยกมือไหว้นายหญิงคนใหม่ด้วยท่าทีนอบน้อม
“สวัสดีค่ะทุกคน” เธอยิ้มและกล่าวทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร “ทุกคนไม่ต้องพิธีรีตองอะไรกันมากเลยนะคะ ให้คิดซะว่า ทิพย์เป็นเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง มีอะไรก็ให้มาบอกทิพย์ได้เลยนะคะ”
เหล่าบรรดาคนรับใช้ทั้งห้าคนต่างรู้สึกชื่นชมและยินดีกับนายหญิงคนใหม่ของพวกเขาที่มีความโอบอ้อมอารี
เมื่อถึงเวลาแห่งรัตติกาล ทิพย์ธิดาเธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นและความลึกลับที่อบอวลอยู่ในทุกมุมของที่นี่ แต่เธอก็มีความมุ่งมั่นที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับคฤหาสน์วารีมรกต
“ที่นี่มีอะไรที่ฉันต้องรู้มากกว่านี้แน่ๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเองก่อนที่จะเข้านอน เธอรู้ว่าการเดินทางของเธอเพิ่งเริ่มต้น และความลึกลับของคฤหาสน์วารีมรกตยังคงรอคอยการคลี่คลายอยู่
คืนแรกที่คฤหาสน์วารีมรกต เมื่อทิพย์ธิดาหลับตาลง ความฝันอันลึกลับก็เข้าครอบงำจิตใจของเธอ
หม่อมเจ้าอดิศรปรากฏตัวในความฝันของทิพย์ธิดาในลักษณะของชายหนุ่มผู้มีศักดิ์สูง รูปโฉมดูโดดเด่นด้วยใบหน้าคมเข้ม และลักษณะการแต่งกายแบบบุรุษชั้นสูงในสมัยรัชกาลที่ 6 เสื้อผ้าของเขาบ่งบอกถึงความมีเกียรติและฐานันดรศักดิ์อันสูงส่ง
หม่อมเจ้าอดิศรเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 40 ปี มีความสูงราว 180 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วนและสูงสง่า ร่างกายแข็งแรงบ่งบอกถึงการดูแลตนเองอย่างดี โครงหน้าคมสัน มีดวงตาสีดำสนิทที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับและแฝงความเย็นชาเล็กน้อย ราวกับซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริงไว้ภายในผิวขาวเหลืองอมสีน้ำตาลอ่อนแสดงถึงการใช้ชีวิตในรั้ววังที่ต้องออกกลางแจ้งบ้างในบางครั้ง จมูกโด่งและคิ้วหนาได้รูป ริมฝีปากเรียวบางที่บางครั้งปรากฏรอยยิ้มเงียบๆ แต่แฝงด้วยความล้ำลึกและอำนาจ
เขาสวมเสื้อราชปะแตนสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่ชายสูงศักดิ์ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 นิยมสวมใส่ เสื้อราชปะแตนเป็นเสื้อคอกลมติดกระดุมสาบเสื้อด้านหน้า ผ้าตัดเย็บอย่างประณีตและเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความสง่างาม ชุดราชปะแตนของหม่อมเจ้าอดิศรถูกสวมคู่กับโจงกระเบนสีกรมท่าลวดลายละเอียดที่บ่งบอกถึงความมีรสนิยมสูง โจงกระเบนผูกไว้อย่างเรียบร้อยที่ช่วงเอว ทำให้ท่วงท่าของเขาดูสง่างามและทรงพลัง
ที่ช่วงเอวของเขามีการคาดเข็มขัดทองคำประดับด้วยลวดลายไทยโบราณ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงในสมัยนั้น ปลายเข็มขัดเป็นพู่ทองคำอ่อนนุ่มที่ตกแต่งอย่างประณีต เพิ่มความวิจิตรให้กับท่าทางของเขา
บนบ่าของหม่อมเจ้าอดิศรมีการสวมพาดแถบผ้าไหมสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบรรดาศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ บ่งบอกถึงตำแหน่งและฐานะของเขาในราชสำนัก นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับทองคำขนาดเล็กที่ติดอยู่บริเวณหน้าอกซ้าย ซึ่งสลักสัญลักษณ์แห่งความมีอำนาจและเกียรติยศ
รองเท้าที่หม่อมเจ้าอดิศรสวมคือ รองเท้าหนังดำมันเงา ทำจากหนังแท้ที่ถูกตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความภูมิฐานให้กับการแต่งกายของเขา
“ทิพย์ธิดา” หม่อมเจ้าอดิศรกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวล “จงปกป้องสิ่งนี้ไว้ มันจะนำทางเจ้าไปสู่ความจริง”
ท่านชายกล่าวและยื่นสร้อยพระขรรค์ให้เธอ ทิพย์ธิดารับมันด้วยความรู้สึกที่ลึกลับและไม่สามารถอธิบายได้
“ดิฉันจะรักษามันไว้” เธอตอบด้วยเสียงเบาและรู้สึกสงสัย
ทิพย์ธิดายืนอยู่ในทุ่งดอกไม้นั้นจนกระทั่งความฝันค่อยๆ จางหายไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในมือของเธอ เมื่อเธอดูในมือของเธอ เธอก็พบสร้อยพระขรรค์ที่เห็นในฝัน
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ตกลงที่ฉันเห็นมันคือเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่” ทิพย์ธิดาถามตัวเองด้วยความงงงวย