
มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
โดย : วัชรนริศ
![]()
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
ณ ค่ำคืนที่คฤหาสน์วารีมรกต นางสายใจได้จำแลงกายเป็นกลุ่มควันสีดำลอยเข้าสู่ห้องนอนของท่านหญิงสวาทสุภาย์อีกครั้ง ในขณะที่หม่อมท่านหญิงกำลังนอนหลับอยู่ นางสายใจก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ที่เตียงของเธอ
“ท่านหญิงเพคะ คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของคุณแล้วนะเพคะ””จงตื่น!” เสียงนางสายใจเรียก
หม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ลืมตาตื่นขึ้น และต้องตกใจเมื่อได้พบกับนางสายใจอีกครั้ง
“เธอ…สายใจ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ ใครก็ได้ช่วยด้วย!” เธอร้องตะโกนเรียกให้ช่วยด้วยความตกใจ
นางสายใจหัวเราะชอบใจ “ท่านหญิงเพคะ ท่านไม่ต้องร้องเรียกให้ใครมาช่วยหรอก เพราะค่ำคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของท่าน” ทันใดนั้น นางสายใจสบตาท่านหญิง ทำให้ท่านหญิงถูกสะกดโดยทันที
“สวาทสุภาย์ เธอจงเดินไปยืนที่ริมหน้าต่าง” นางสายใจสั่ง สวาทสุภาย์ลุกขึ้นยืนและค่อยๆ เดินไปราวกับถูกสะกดจิต และขึ้นไปนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง นางสายใจยิ้มและมองด้วยแววตาอำมหิต
“เธอจงกระโดดลงไปเดี๋ยวนี้” นางสายใจสั่งอีกครั้ง ทันใดนั้น หม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ก็กระโดดลงจากหน้าต่างห้องนอนของเธอเองโดยทันที ร่างของเธอตกกระแทกกับพื้นด้วยความแรง ทำให้สิ้นใจในที่สุด
ไม่นานก็มีบ่าวไพร่มาเห็นร่างของหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์นอนจมกองเลือดอยู่ ก็ส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ โวยวายกันเสียงดัง และรีบร้อนขึ้นไปตามหม่อมเจ้าอดิศร
เสียงเคาะห้องประตูห้องท่านชายดังขึ้น “ท่านชายเพคะ ท่านหญิง…สิ้นพระชนม์แล้วเพคะ”
หม่อมเจ้าอดิศรร้องด้วยความตกใจและรีบวิ่งตามบ่าวลงไปดูร่างของท่านหญิง ท่านชายอดิศรนั่งลงโอบกอดร่างของท่านหญิงด้วยความเสียใจ ร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม “ใคร…ที่ทำกับหญิง มันเป็นใคร” ท่านชายร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจและกอดท่านหญิงไว้แน่น น้ำตาไหลรินพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด
ท่ามกลางความเศร้าและความสูญเสียที่หนักหน่วง คำถามยังคงค้างคาในใจของหม่อมเจ้าอดิศร ใครกันแน่ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ความมุ่งมั่นในการหาคำตอบและความยุติธรรมให้กับท่านหญิงสวาทสุภาย์เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา
ณ เวลาปัจจุบัน หลังจากที่อัคนีนาฏเทวีได้สะกดจิตให้โฉมสุรางค์เป็นผู้ปลดปล่อยเธอ เทวีก็ได้ให้ผู้รับใช้ทั้งสอง ปักษาดำและสมิงพราย ออกล่าเหยื่อเพื่อนำเลือดมาสังเวยแด่เธอในทุกค่ำคืน
อมรนั่งสมาธิเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง ก็เกิดนิมิตเห็นภาพตัวเองในอดีตชาติ อกาสูรที่เคยสละชีพตัวเองเพื่อผนึกอัคนีนาฏเทวีในครั้งที่สอง คืออมรในเวลาปัจจุบันนี้เอง นิมิตดังกล่าวเผยให้เห็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มผู้มีญาณต้องกลับมาผนึกอสูรอีกครั้ง
“หรือสิ่งนี้จึงเป็นเหตุที่ฉันต้องกลับมาช่วยตระกูลวารีมรกตให้รอดพ้นจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น” อมรพึมพำกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น
คุณบุษบาและเด็กรับใช้ทั้งสองคนกำลังช่วยกันทำความสะอาดห้องนั่งเล่นภายในคฤหาสน์ อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นสาบราวกับมีอะไรมาตายอยู่แถวนั้น บุษบาทำจมูกฟุดฟิดและถามขึ้น “นี่พวกเธอสองคนได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ แถวนี้ไหม กลิ่นเหมือนมีตัวอะไรมาตาย ดูให้ดีซิ เผื่อมีหนูหรือตัวอะไรเข้ามา”
ข้างๆ บุษบา ปรากฏวิญญาณของนางสายใจยืนมองด้วยความโหยหิว แต่ไม่มีใครที่สามารถมองเห็นเธอได้ บัว เด็กรับใช้มองไปรอบๆ ห้องและพูดขึ้น “ไม่มีนะคะคุณบุษบา แต่กลิ่นมันเหมือนอยู่แถวๆ นี้เลยค่ะ”
บุษบารู้สึกหงุดหงิดและถอนหายใจ “ถ้างั้นพวกเธอทำความสะอาดให้ดีนะ แล้วหาอะไรมาดับกลิ่นห้องนี้ด้วย ฉันจะไปเตรียมน้ำชาให้คุณทิพย์กับคุณรวีก่อน” บุษบาเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อมาเทน้ำร้อนใส่ชุดกาน้ำชาเพื่อจะนำไปเสิร์ฟ วิญญาณร้ายของนางสายใจก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและพุ่งเข้าสิงร่างของบุษบาทันที
ร่างกายของบุษบากระตุกอย่างแรง น้ำร้อนที่อยู่ในชุดกาน้ำชาก็กระเซ็นหกออกมา เธอพยายามต่อสู้กับวิญญาณร้าย แต่ในที่สุดก็ถูกเข้าสิงและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ในที่สุดนางสายใจผู้เป็นวิญญาณผีเร่ร่อนก็ได้ร่างใหม่ของเธอแล้ว วิญญาณของเธอเข้าครอบครองร่างใหม่ประดุจกาฝากที่ฝังรากลึกลงไป
ดวงตาของบุษบาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้น เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเยือกเย็น นางสายใจในร่างบุษบาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้ฉันจะทำให้ทุกคนในคฤหาสน์นี้ต้องเจอกับชะตากรรมที่น่ากลัวที่สุด” นางสายใจในร่างบุษบาหันกลับเดินไปทางห้องนั่งเล่น เธอก้าวเดินออกจากห้องครัวพร้อมกับความตั้งใจที่จะใช้ร่างนี้ทำร้ายผู้คนในคฤหาสน์วารีมรกต
ขณะเดียวกันในห้องนั่งเล่น บัวและจอมเด็กรับใช้ทั้งสองยังคงช่วยกันทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็ง ไม่ทันได้สังเกตถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา บุษบาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยท่าทางเยือกเย็นและมองไปที่เด็กรับใช้ทั้งสองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“พวกเธอทั้งสองคน” นางสายใจพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นจนขนลุก “ทำความสะอาดเสร็จหรือยัง”
บัวหันมามองบุษบาและสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเธอ “ยังค่ะคุณบุษบา แต่กลิ่นเหม็นยังอยู่เลยค่ะ ไม่รู้ว่ามาจากไหน” คุณแม่บ้านใหญ่ยิ้มอย่างเยือกเย็น และนำน้ำชาไปเสิร์ฟให้กับทิพย์ธิดาและรวีที่นั่งอยู่บริเวณศาลาหน้าคฤหาสน์
“คุณคะ น้ำชาค่ะ” บุษบากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น รวีมองหน้าบุษบาด้วยความสงสัย
“คุณบุษบา พักนี้คุณทำงานหนักไปหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าตาถึงดูซีดเซียวแบบนี้” ชายหนุ่มถาม
บุษบาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ไม่เป็นอะไรค่ะ ดิฉันสบายดี” ไม่นาน อมรก็มาถึงคฤหาสน์เห็นทิพย์ธิดาและรวีที่นั่งอยู่ในศาลา อมรเดินเข้าไปทักทายทั้งสอง
“สวัสดีครับคุณทิพย์ รวี วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับพวกคุณให้ได้” บุษบาที่มองเห็นอมรก็ตกใจ เพราะรู้สึกได้ว่าอมรมีญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่
รวีแนะนำบุษบาให้อมรรู้จัก “อาจารย์ครับ นี่คุณบุษบาครับ เธอเป็นแม่บ้านใหญ่ที่ดูแลคฤหาสน์นี้และเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ด้วยครับ” เมื่อบุษบาหันมาสบตากับอมรก็ต้องผงะ เพราะกลัวพลังของอมรที่เธอสัมผัสได้ว่า มีแสงสีขาวสะอาดสว่างอยู่รอบตัวอมร เลยทำให้นางสายใจรู้สึกร้อนไปทั้งตัว
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณอมร ดิฉันขอตัวไปดูในครัวก่อนนะคะ” บุษบากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทันที อมรมองด้วยความสงสัย เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวบุษบาและเริ่มเพ่งสมาธิเพื่อสัมผัสพลังงานที่แฝงอยู่ในคฤหาสน์วารีมรกต
“คุณทิพย์ รวี มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในคฤหาสน์นี้” อมรกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ทิพย์ธิดาและรวีมองหน้ากันด้วยความกังวล และพยักหน้ารับทราบ “รวี ก่อนหน้านี้ที่นี่มีสิ่งผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่า” อมรถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชายหนุ่มสบตาอมรและครุ่นคิด
“จริงๆ แล้วช่วงนี้มีหลายเรื่องครับอาจารย์ ผมกับคุณทิพย์ก็รู้สึกได้ว่าพักนี้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นครับ อย่างเรื่องเสียงประหลาดตอนกลางคืน สิ่งของที่เคลื่อนไหวเอง แล้วก็ความรู้สึกว่ามีใครบางคนหรืออะไรบางอย่างจ้องมองพวกเราอยู่ตลอดเวลา”
หญิงสาวพูดเสริม “เมื่อเช้านี้ เด็กรับใช้บางคนบอกว่ารู้สึกถึงกลิ่นสาบเหมือนมีอะไรตายอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่พวกเราก็หาสาเหตุไม่เจอค่ะ”
อมรนิ่งฟังด้วยความสนใจ “กลิ่นสาบ…และความรู้สึกมีคนจ้องมอง ค่อนข้างเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอาจมีพลังงานวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในที่นี้ ผมจะต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด”
“อาจารย์ต้องการให้เราทำอะไรบ้างครับ” รวีถามด้วยความกังวล อมรตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “พวกคุณช่วยพาผมเข้าไปชมคฤหาสน์ด้านในได้ไหมครับ ผมจะขอใช้เวลาในการสัมผัสด้วยจิต บางทีผมอาจจะได้คำตอบ”
ทิพย์ธิดาและรวีพยักหน้า “ได้ครับอาจารย์ ตามมาทางนี้เลยครับ” ชายหนุ่มตอบและเริ่มนำทางอมรเข้าไปภายในคฤหาสน์ ขณะที่ทั้งสามคนเดินผ่านห้องโถงและห้องนั่งเล่น อมรสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ไม่ปกติ และหยุดยืนตรงกลางห้องนั่งเล่น อมรหลับตาลง ตั้งสมาธิเพ่งกระแสจิต
จนในที่สุดก็เริ่มเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่าง ชายหนุ่มมองเห็นสตรีในชุดโบราณท่าทางสง่างามดุจนางพญาที่มาจากโบราณกาล ภายในห้องมีเปลวไฟลุกโชนส่องสว่างอยู่รอบๆ มีซากศพนอนเรียงกันอยู่มากมาย และเธอที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่ กำลังดื่มเลือดจากแก้วของเธอ เธอคือ อัคนีนาฏเทวี
อมรลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อยและเริ่มเล่าให้ทิพย์ธิดาและรวีฟัง ทิพย์ธิดาแสดงสีหน้าด้วยความหวาดกลัวและไม่มั่นใจ จากนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวก็นำทางไปที่ห้องพระใหญ่ของคฤหาสน์
เมื่อไปถึงอมรรู้สึกได้ว่ามีวิญญาณของชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ที่นี่ จึงยืนสงบนิ่งและเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง ก็ปรากฏวิญญาณที่มีแสงสีขาวส่องประกาย วิญญาณนั้นคือหม่อมเจ้าอดิศรที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอมรในตอนนี้ เขาส่งยิ้มให้กับเขา อมรรับรู้ได้ถึงเรื่องราวในอดีตชาติของตนที่มีร่วมกันมากับหม่อมเจ้าอดิศร ในตอนที่เขาเป็นอกาสูรที่เข้ามาช่วยเหลือไว้
“ฉันได้ทำสัญญาผูกพันไว้กับท่านตั้งแต่ครั้งอดีต ฉันจะช่วยท่านอีกครั้งในครั้งนี้” หม่อมเจ้าอดิศรกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน
ท่านชายอดิศรพูดต่อ “ฉันรู้สึกถึงพันธสัญญานั้นและพลังของท่านที่ส่งผ่านมาในวันนี้” อมรหลับตาลงอีกครั้ง และหม่อมเจ้าอดิศรก็พูดต่อ “อีกไม่นานจะเกิดเรื่องร้ายครั้งใหญ่อีกครั้ง” เมื่อหม่อมเจ้าอดิศรพูดจบ ก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป
อมรลืมตาขึ้นและพูดขึ้นว่า “ผมมองเห็นท่านชายอดิศร วิญญาณของท่านชายยังอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้และรับรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายๆ อีกครั้ง ท่านรอคอยการมาของผม”
อมรมองไปที่หน้าหิ้งพระ ตรงด้านหน้าหิ้งพระมีโกศอัฐิของหม่อมเจ้าทั้งสองวางอยู่ และไม่ไกลกันก็มีแท่นที่ว่างเปล่าอยู่ตรงนั้น อมรรู้สึกได้ว่าตรงแท่นนี้เคยมีบางอย่างที่สำคัญถูกวางอยู่และเป็นสิ่งที่อันตราย อมรจึงหันมาถามชายหนุ่ม “รวี ตรงแท่นนี้เคยมีอะไรบางอย่างที่สำคัญตั้งอยู่หรือเปล่า”
รวีและทิพย์ธิดาหันมองหน้ากัน “เคยมีกล่องไม้เล็กๆ ตั้งอยู่ครับอาจารย์ ตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่า ท่านลุงเคยรับสั่งกับทุกๆ คนว่าให้คอยระวังและช่วยกันอย่าให้ใครมาเปิดกล่องนี้ และห้ามเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ หากผู้ใดฝ่าฝืนผู้นั้นจักต้องได้รับคำสาปแช่งของบรรพบุรุษในตระกูล เลยไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับกล่องไม้นั้นครับ แต่ไม่นานนี้กล่องนั้นได้หายไป”
อมรสบตากับชายหนุ่มด้วยความตกใจ “มันหายไปได้ยังไง และตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
หญิงสาวพูดเสริม “ไม่มีใครทราบค่ะอาจารย์ว่ามันหายไปได้ยังไง นับตั้งแต่…เออ….” ทิพย์ธิดาหยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่ง และครุ่นคิดได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่โฉมสุรางค์มาที่นี่ เลยอดคิดสงสัยไม่ได้ ทิพย์ธิดาพูดต่อไปด้วยความไม่มั่นใจ
“ช่วงนั้นคุณโฉมสุรางค์มาที่นี่ค่ะ และเราก็พาเธอเดินชมทุกห้องในคฤหาสน์รวมถึงห้องพระนี้ด้วย และหลังจากคืนนั้นกล่องไม้นั้นก็หายไป หรือว่าจะเป็น…”
อมรพยักหน้าอย่างเข้าใจ “บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เราต้องหาทางหากล่องไม้นั้นกลับมา มันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องพวกคุณ”
“เราจะต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกล่องไม้นั้น และผู้ที่เคยสัมผัสกับมัน อาจจะมีเบาะแสอะไรบางอย่างที่พวกเรายังไม่ทราบ” อมรกล่าวอย่างมั่นใจ
ยามเย็น ทิพย์ธิดาและรวีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ห้องนั่งเล่นนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มและผ้าม่านหรูหรา บรรยากาศเงียบสงบและเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากแสงไฟสีส้มอ่อน โฉมสุรางค์และราตรีคุณแม่ของเธอเดินเข้ามาในห้อง ทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
“รวีคะ อีกสองวันในพระนคร ที่วังท่านหญิงฉัตรแก้วจะมีจัดงานคืนราตรี โฉมกับคุณแม่อยากให้คุณไปด้วยน่ะค่ะ ไปหน่อยนะคะ เราสองคนไม่ได้ออกงานคู่กันนานแล้วนะคะ” หญิงสาวพูดด้วยท่าทางออดอ้อนแต่แฝงไปด้วยความต้องการ
รวีรู้สึกลังเลใจเพราะเป็นห่วงทิพย์ธิดาหากต้องทิ้งให้เธออยู่คนเดียว จึงหันไปสบตากับหญิงสาว
“เออ…เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนกันอยู่แล้ว คุณทิพย์ธิดาไปด้วยกันกับพวกเราไหมครับ จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย” โฉมสุรางค์กับราตรีมองหน้าทิพย์ธิดาด้วยความไม่พอใจ แววตาของทั้งสองบ่งบอกถึงความอิจฉาและไม่พอใจ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจในบรรยากาศนั้น
“คุณไปเถอะค่ะ ดิฉันอยู่ที่นี่ได้ ไม่ต้องห่วงนะคะ ที่นี่คุณบุษบาก็อยู่ค่ะ” เธอกล่าวด้วยความสุภาพและอ่อนโยน
รวีก็พยายามชวนหญิงสาวอีกครั้ง เพราะไม่อยากไปพร้อมกับโฉมสุรางค์ “ไปเถอะนะครับคุณทิพย์ ถือว่าไปเป็นเพื่อนกัน” หญิงสาวสบตากับชายหนุ่ม และรู้สึกถึงความจริงใจในสายตาของเขา
“ขอบคุณมากนะคะ ก็ได้ค่ะ ดิฉันจะไป” ชายหนุ่มยิ้มสมใจเล็กน้อย ในขณะที่โฉมสุรางค์และราตรียังคงมองทิพย์ธิดาด้วยความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้ม
ตกกลางคืน ทิพย์ธิดานั่งอยู่บนเตียงของเธอในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีเข้มและเฟอร์นิเจอร์โบราณ เธอเอามือจับที่สร้อยพระขรรค์ที่สวมอยู่ ความรู้สึกไม่สบายใจคืบคลานเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง เมื่อเธอเข้านอน จิตใจยังคงวุ่นวายไม่สงบ จนกระทั่งเธอหลับไป
ในความฝัน หญิงสาวฝันเห็นภาพที่คุ้นเคย ท่านชายอดิศรปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในร่างที่งดงามและสง่างามเหมือนเช่นเคย ท่ามกลางแสงสว่างที่เปล่งประกายอยู่รอบตัวเขา ทิพย์ธิดารู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยที่ท่านชายนำมา
“ทิพย์ธิดา อีกไม่กี่วันนี้เธอจะได้พบกับอสูรร้าย ขอให้เธอระวังตัวให้ดี” ท่านชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น “พระขรรค์ที่ฉันมอบให้กับเธอ จะทำหน้าที่ปกป้องเธอจากอันตรายทั้งปวง”
หญิงสาวรับฟังด้วยความตั้งใจและกังวล เธอสัมผัสสร้อยพระขรรค์ที่ห้อยอยู่บนคอด้วยความรู้สึกขอบคุณและความหวัง
“ขอบพระคุณค่ะท่านชาย ดิฉันจะระวังตัวและใช้พระขรรค์นี้อย่างดีที่สุด” เธอตอบกลับด้วยความเคารพ ท่านชายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหายไปในแสงสว่างที่ค่อยๆ จางหายไป
ในกลางดึกเวลาเดียวกัน ภายในห้องครัวมีเสียงคนที่กำลังทานอะไรบางอย่างด้วยความหิวโหย “หิว…ฉันหิวจริงๆ” สลับกับเสียงหัวเราะ เธอผู้นั้นคือนางสายใจในร่างของบุษบา เธอกำลังหยิบเนื้อสดๆ ขึ้นมาทานอย่างตะกละตะกลาม
เช้าวันรุ่งขึ้น บัวและจอม เด็กรับใช้ประจำคฤหาสน์กำลังทำความสะอาดห้องโถง ก็ได้พูดคุยกัน
“เช้านี้ฉันเข้าไปในครัวคนแรก ก็เห็นว่ามีเศษเนื้อและเลือดจากเนื้อสดที่เลอะเทอะอยู่เต็มโต๊ะ เหมือนกับมีใครมาทานอะไรทิ้งไว้” บัวกล่าวด้วยท่าทางหวั่นใจ จอมมองหน้าบัวด้วยความสงสัย
“อาจจะเป็นหนูก็ได้นะบัว หรือจะเป็น…ผีปอบ” นายจอมพูดกระเซ้าแกล้งบัวสาวใช้ เธออุทานด้วยความตกใจ “จะบ้าหรือพี่จอม อย่าพูดสิ คนยิ่งกลัวๆ อยู่”
ทันใดนั้น บุษบาที่เดินเข้ามาในห้องโถง “นี่พวกเธอสองคนทำอะไรกันอยู่” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงแข็งๆ บัวมองหน้าบุษบาด้วยความหวาดหวั่น
“ทำความสะอาดกันอยู่ค่ะคุณบุษ”
บุษบาสบตาแก้วอย่างเย็นชา “ถ้าพวกเธอทำตรงนี้เสร็จแล้ว ก็ช่วยไปทำความสะอาดเรือนหลังเล็กต่อด้วยนะ”
จอมอุทานด้วยความตกใจ “จะให้พวกเราไปทำความสะอาดเรือนหลังเล็กหรือครับ แต่ที่นั่นไม่มีคนอยู่แล้วนะครับ แล้วมันก็ทั้งเก่าทั้งโทรมแล้วด้วย” บุษบาหันมาขึ้นเสียง “ฉันสั่งอะไรก็ไปทำ อย่าถามให้มันมากความ”
คนรับใช้ทั้งสองพยักหน้าด้วยความนอบน้อม พลางเดินออกไปจากห้องโถงเพื่อเตรียมตัวไปทำความสะอาดเรือนหลังเล็กตามที่บุษบาสั่ง

- READ มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 15 : สังเวยรัก…แด่นางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
- READ มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
- READ มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้
- READ มรดกมนตรา บทที่ 11 : นางฟ้าในคราบอสรพิษ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 8 : ไฟสุมทรวง
- READ มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
- READ มรดกมนตรา บทที่ 6 : อดีตของวิญญาณร้าย
- READ มรดกมนตรา บทที่ 5 : นางอสูรคืนชีพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
- READ มรดกมนตรา : บทนำ







