
มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
โดย : วัชรนริศ
![]()
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
อัคนีนาฏเทวีเธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ เจ้าหล่อนจ้องมองกระจกบานนั้น และภาพบนกระจกก็ปรากฏขึ้น เธอกำลังเฝ้าดูโฉมสุรางค์ที่กำลังแต่งตัวเตรียมออกไปงานแสดงเครื่องเพชรในค่ำคืนนี้
หญิงสาวกำลังใส่ต่างหูเพชรคู่สวยของเธอและหันไปถามกับแม่ของเธอ “คุณแม่คะ หนูสวยหรือยังคะ”
ราตรีหันมามองหน้าลูกสาวและยิ้มเล็กน้อย “สวยแล้วจ้ะลูก แค่นี้หนุ่มๆ ในงานก็แอบมองลูกกันใหญ่แล้วละ” ราตรีกล่าว
“แต่สิ่งที่โฉมต้องการไม่ใช่หนุ่มๆ พวกนั้นหรอกค่ะ โฉมต้องการแค่ให้รวีสนใจหนูคนเดียวก็พอแล้ว คุณแม่คะ โฉมรู้สึกไม่ไว้ใจทิพย์ธิดาเลยค่ะ ทำท่าทางมาเป็นไม่สนใจรวี แต่จริงๆ ก็อยากได้เขาจนตัวสั่น” ราตรีหัวเราะและเดินมาจับที่ไหล่ของลูก
“โฉมจ๊ะ ยังไงแม่ว่าลูกก็เป็นที่หนึ่งของคุณรวีนะจ๊ะ ลูกอย่าลืมสิว่าลูกเป็นคนที่ถูกหมั้นหมายและจะได้แต่งกับรวีในเร็วๆ นี้” ราตรีเหลือบไปมองกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งของลูกสาว และเห็นดวงตาลึกลับของเทวีที่กำลังเฝ้ามองอยู่ ราตรีร้องทานด้วยความตกใจ “ว้าย…”
โฉมสุรางค์ตกใจ “มีอะไรหรือคะคุณแม่”
“ลูกเห็นไหม…ในกระจก” โฉมสุรางค์มองกระจกของเธอ “เห็นอะไรคะคุณแม่”
“เมื่อกี้ไง แม่เห็น เอ่อ…เหมือนมีใครจ้องมองเราอยู่ มัน…น่ากลัวมาก” เธอพูดด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
โฉมสุรางค์ถอนหายใจ “คุณแม่คะ โฉมว่าคุณแม่น่าจะคิดมากไปนะคะ ไปกันเถอะค่ะ กลัวรวีจะรอ”
หญิงสาวจับมือแม่ของเธอและเดินออกจากห้อง แต่ราตรียังคงเหลียวมองกลับไปที่กระจกด้วยความหวาดระแวง ขณะที่เทวียืนยิ้มอย่างพึงพอใจในมุมมืดของบ้านเธอ เธอรู้ดีว่ามีแผนร้ายที่เธอจะทำให้สำเร็จในอีกไม่ช้า
ทิพย์ธิดาอยู่ในชุดราตรียาวสีชมพูอ่อนที่เข้ากันได้ดีกับรูปร่างของเธอ กำลังยืนพูดคุยกับรวีในชุดทักซีโดสีดำรองเท้ามันวาวอยู่ตรงห้องโถงของคฤหาสน์
“พร้อมหรือยังคะ” โฉมสุรางค์ถามขณะเดินเข้ามาพร้อมกับแม่ของเธอ รวีหันมามองเธอและพยักหน้าเล็กน้อย “พร้อมแล้วครับ เชิญครับ”
โฉมสุรางค์ถามต่อ “แล้วคุณอมรล่ะคะ”
“เดี๋ยวเขาจะตามไปพบพวกเราที่งานเลยครับ” ชายหนุ่มตอบ
เสียงรถจอดที่บริเวณหน้าโรงแรมหรูโฮเต็ลพญาไท ทุกคนเดินลงจากรถและเข้าไปภายในงาน เมื่อไปถึงห้องที่ใช้จัดงานก็รายล้อมไปด้วยบรรดาคุณหญิงคุณนาย นักการเมือง เจ้าของธุรกิจใหญ่ และบุคคลที่มีชื่อเสียง เด็กเสิร์ฟภายในงานก็ล้วนแต่แต่งชุดไทยโบราณย้อนยุค ด้านหน้ามีเวทีใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างสวยงามอลังการ
ทิพย์ธิดาและรวียืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจากเวที โฉมสุรางค์และแม่ของเธอก็เดินไปพูดคุยอย่างออกรสกับบรรดาแขกในงานเช่นเคย เมื่ออมรมาถึงงานเขาเดินเข้าไปทักทายรวีและทิพย์ธิดา
“สวัสดีครับ มาถึงกันนานหรือยังครับ” อมรถาม
ทิพย์ธิดาตอบ “สักพักแล้วค่ะ แต่อีกสักพักน่าจะใกล้เริ่มการแสดงแล้วนะคะ”
รวีพูดเสริม “เอ้อ ผมจำได้ว่าดอกเตอร์บอกว่ามีลางสังหรณ์ที่จะได้เจอคนรู้จักที่นี่ ตอนนี้เจอหรือยังครับ”
อมรยิ้ม “ยังครับ อาจจะต้องรอสักพัก”
ไม่นานไฟภายในงานก็ถูกดับลง แขกภายในงานต่างสะดุ้งตกใจ แล้วเสียงประกาศก็ดังขึ้น “ขอเชิญทุกท่านเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้”
หลังจากนั้นประตูบานใหญ่ของห้องจัดงานถูกเปิดออกอย่างช้าๆ โดยมีหญิงไทยโบราณถือพานพุ่มและพานดอกไม้ต่างๆ เรียงกันเป็นสองแถวขนานกันอย่างสวยงาม พร้อมทั้งโปรยดอกไม้หอมที่มีกลิ่นเย็นนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหน ตามด้วยบริวารชายหนุ่มที่กำลังค่อยๆ แบกเสลี่ยงทองที่ยิ่งใหญ่มีลวดลายประณีตที่ตัดกับขอบไม้หอมสีดำ
แสงไฟถูกส่องไปที่เสลี่ยงนั้น เสียงดนตรีไทยที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน แสงไฟกระทบกับเสลี่ยงสีทอง โดยมีหญิงสาวที่งดงามที่อยู่ในชุดทองคำโบราณราวกับนางอัปสร เธอสวมใส่ศิราภรณ์ประดับศีรษะอย่างยิ่งใหญ่ ตกแต่งด้วยอัญมณีมากมายจนต้องตกตะลึง เธอมีท่าทางราวกับนางพญาผู้ครองนครลึกลับที่ยิ่งใหญ่ในอดีตกาล
สายตาทุกคู่ที่อยู่ภายในงานต่างจ้องมองเธอด้วยความตกตะลึง ราวกับถูกสะกดไว้ เสลี่ยงนี้ถูกแบกขึ้นไปบนเวที บริวารชายได้ค่อยๆ นั่งคุกเข่าวางเสลี่ยงลงอย่างช้าๆ เมื่อนั้นหญิงสาวก็ค่อยๆ ขยับตัวเยื้องย่างเดินลงมาจากเสลี่ยง เธอเดินมาหยุดอยู่บริเวณหน้าเสลี่ยงของเธอ แสงไฟส่องกระทบมาที่เรือนร่างของเธอเพียงผู้เดียว และเธอได้กล่าว
“บัดนี้ ด้วยอำนาจของมนตราเทวี ข้าจึงได้มาสู่สถานที่นี้ ในอดีตกาล ข้าเคยครองบัลลังก์แห่งนครที่ยิ่งใหญ่ และถูกพวกคิดคดทรยศต้องการที่จะทำลายข้า แต่บัดนี้ ข้าได้กลับมาแล้ว”
ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้ผายมือออก บนมือของเธอปรากฏมรกตสีเขียวก้อนใหญ่ และมรกตก้อนนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศส่องประกายแสงสีเขียวไปทั่วบริเวณอย่างน่าตกตะลึง แสงนั้นส่องประกายจนแขกทุกคนในงานต้องหันไปมองด้วยสนใจ
อมรที่ยืนอยู่กับรวีและทิพย์ธิดาเบิกตากว้าง “นี่มันอะไรกัน…”
รวีพึมพำ “นี่มันเป็นมายากลหรือ…”
ร่างของหญิงสาวค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นของเวที มีแสงสีเขียวปรากฏขึ้นเป็นวงแหวนอยู่รอบเรือนร่างของเธอ “ด้วยอำนาจแห่งมนตราเทวี ข้าจะทำให้พวกเจ้าทั้งหลายได้เห็นสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าเป็นเพียงเรื่องในตำนาน” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีทรงพลัง
ทันใดนั้นมรกตก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่เกิดระเบิดออกเป็นประกายแสงสีเขียว แสงนั้นลอยฟุ้งไปทั่วห้องจัดงาน ราวกับดวงดาวนับพันที่พุ่งกระจายออกไปทั่วอากาศ แขกในงานต่างตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น บางคนยกมือขึ้นป้องตาจากแสงสว่างจ้า ในขณะที่เสียงดนตรีไทยยังคงดังอย่างต่อเนื่องเพิ่มบรรยากาศลึกลับและมนตร์ขลัง
หญิงสาวที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศยิ้มอย่างทรงพลังและมองดูทุกคนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
“ข้าคืออัคนีนาฏเทวี เทวีผู้ครองสายฟ้าและเปลวไฟ และในค่ำคืนนี้ ข้าจะนำความยิ่งใหญ่ของข้ากลับคืนมา” เธอกล่าวด้วยเสียงที่ก้องกังวานไปทั่ว จนพื้นห้องทั่วบริเวณเกิดสั่นสะเทือนอย่างน่าประหลาด
แม้แต่อมรที่เคยมีลางสังหรณ์มาก่อนก็ยังคงประหลาดใจ “นี่คงไม่ใช่แค่มายากลเป็นแน่”
ทิพย์ธิดามองดูด้วยความหวาดหวั่น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะ”
อมรหันมามองทิพย์ธิดาด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่คงเป็นพลังแห่งมนตรา”
อมร รวี และทิพย์ธิดา รู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าของมนตราที่แผ่ออกมา
อมรพยักหน้า “ผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นกุญแจสำคัญของบางสิ่งบางอย่างครับ”
รวีรู้สึกตกใจ “นั่นหมายความว่า เธอเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่ใช่ไหมครับ”
อมรมีท่าทางที่มั่นใจ “ใช่ครับ และพวกเราคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
ในขณะที่ทุกคนกำลังถูกดึงดูดด้วยการแสดงที่เหนือจริงของหญิงสาว ทิพย์ธิดารู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เธอจับมือรวีแน่น “พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่นะคะ”
“อย่าเพิ่งเลยครับ ขอดูสถานการณ์ต่ออีกสักพักนะครับคุณทิพย์” รวีตอบพลางมองไปที่เวทีด้วยสายตาจับจ้อง หญิงสาวผายมือออกมาอีกครั้ง และประกายแสงสีเขียวที่ลอยอยู่ในอากาศก็ค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นมรกตอีกหลายก้อนที่ลอยอยู่รอบตัวเธอ
“พวกเจ้าทั้งหลาย จงดูและจงจำไว้ ข้าจะนำพลังแห่งมนตรากลับคืนมา และพวกเจ้าจะเป็นพยานในค่ำคืนนี้” เธอกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
บรรดาแขกในงานต่างมองดูด้วยความหวาดกลัวและตื่นตะลึง ไม่มีใครกล้าขยับตัวหรือพูดอะไร เพียงแค่จ้องมองดูหญิงสาวที่ยังคงแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเธอ และการแสดงก็ได้จบลง แขกทุกคนในงานต่างปรบมือกันด้วยความชื่นชอบและสงสัย แต่ทุกคนคิดว่ามันคือมายากล
เอกภพ นักธุรกิจชื่อดังได้ยืนมองหญิงสาวอยู่ไม่ไกลจากเวทีด้วยแววตาที่สนใจ และหันไปถามคุณหญิงช่อผกา “เธอคนนั้นคือใครหรือครับ”
คุณหญิงช่อผกายิ้มและตอบ “เธอคืออัคคีรัตน์ค่ะ เป็นแม่งานร่วมกับดิฉัน เธอสวยและรวยมากจริงๆ ใช่ไหมคะ”
เอกภพพยักหน้าอย่างสนใจ “ใช่ครับ เธอสวยมาก”
หญิงสาวก้าวลงจากเวที พลางมองไปยังแขกในงานที่ยังคงปรบมือกันอย่างชื่นชอบ เธอเดินเข้าไปหารวีและทิพย์ธิดา ซึ่งยังคงยืนอยู่ไม่ไกลจากเวที
“การแสดงโชว์ดีมากเลยนะครับ คุณทำให้แขกทุกคนในงานต่างแปลกใจกันมากเลย” รวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่เคยเห็นการแสดงแบบนี้มาก่อน”
หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความลึกลับ “ขอบคุณค่ะ แต่คืนนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” ทิพย์ธิดายืนมองเธออย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
เจ้าหล่อนหันมาสบตาและถามทิพย์ธิดา “เป็นยังไงคะคุณทิพย์ ชอบไหมคะ”
“ค่ำคืนนี้คุณอัคคีรัตนสวยมากเลยค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยความระมัดระวัง รวีรีบแนะนำอมรให้อัคคีรัตน์รู้จัก
“คุณอัคคีรัตน์ครับ ท่านนี้คือดอกเตอร์อมรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังจิต”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณอมร ดิฉันหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”
อมรสบตาเธออย่างไม่ละสายตา “ครับ ผมคิดว่าคุณอัคคีรัตน์มีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่าง ยังไงเราต้องได้เจอกันอีกแน่นอนครับ”
ในขณะเดียวกัน เอกภพยังคงจ้องมองอัคคีรัตน์ด้วยความสนใจอย่างไม่วางตา ความลึกลับและเสน่ห์ของเธอทำให้เขารู้สึกทึ่ง และเขาก็เริ่มคิดหาวิธีที่จะเข้าหาเธอ หลังจากการแสดงจบลง แขกในงานค่อยๆ กลับมาอยู่ในบรรยากาศปกติ แต่ยังคงมีการพูดคุยถึงการแสดงอันน่าทึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อัคคีรัตน์ยังคงยืนอยู่กลางงาน ยิ้มรับคำชมจากผู้คนที่เข้ามาทักทาย
รวี ทิพย์ธิดา และอมร ยังคงยืนพูดคุยกันอย่างเงียบๆ รวีหันมองอัคคีรัตน์และพูดเบาๆ กับอมร “ผมคิดว่าคุณอัคคีรัตน์ไม่ใช่คนธรรมดา เธอมีอะไรบางอย่างที่พิเศษมาก”
อมรพยักหน้า “ใช่ครับ ผมเองก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาจากเธอ”
ทิพย์ธิดาพูดเสริม “ถ้าอย่างนั้น เราคงต้องสืบค้นและรู้จักเธอให้มากขึ้นนะคะ”
อมรยิ้ม “ใช่ครับ ผมคิดว่าเธอจะต้องเป็นเบาะแสสำคัญอะไรบางอย่าง”
เอกภพเดินเข้าไปทักทายอัคคีรัตน์ภายในงาน “สวัสดีครับ ผมเอกภพ คุณชื่อ…”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันอัคคีรัตน์ค่ะ”
“เมื่อกี้การแสดงบนเวทีทำผมนี่ตะลึงไปเลยนะครับ คุณทำได้ยังไงครับตอนที่ลอยตัวขึ้นไป”
อัคคีรัตน์ยิ้มบางๆ “ก็ไม่ยากนี่คะ สมัยนี้อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้จริงไหมคะ”
เอกภพยิ้มด้วยความชอบใจ “ใช่ครับ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นเทคนิคอะไร คุณถึงทำให้ทุกคนในงานต้องตกตะลึงกันได้ขนาดนี้”
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก “บางครั้งความลึกลับก็มีเสน่ห์ในตัวเองนะคะ การที่คนไม่รู้ทั้งหมดบางทีก็ทำให้เรื่องราวน่าติดตามมากขึ้น”
เอกภพพยักหน้า “นั่นสินะครับ ความลึกลับทำให้เรามีความสนใจและตื่นเต้น ผมเองก็อยากรู้จักคุณมากขึ้น” ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวอย่างไม่ละสายตาและแฝงไปด้วยความต้องการในตัวเธอ
“ยินดีค่ะ ถ้ามีโอกาสเราคงได้พูดคุยกันอีก” อัคคีรัตน์ตอบด้วยรอยยิ้มปนลึกลับ
โฉมสุรางค์ ราตรี และคุณหญิงช่อผกา รีบเดินเข้าไปพูดคุยกับอัคคีรัตน์ คุณหญิงช่อผกายิ้มด้วยความชื่นชม “วันนี้นี่คุณอัคคีรัตน์ทำพวกเราในงานตะลึงจริงๆ นะคะ”
โฉมสุรางค์เสริม “ใช่ค่ะ การแสดงของคุณพี่น่าทึ่งมากเลยค่ะ ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
ราตรีพูดต่อ “ฉันคิดว่ามันต้องเป็นมายากลแน่ๆ เลยค่ะ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้”
อัคคีรัตน์ยิ้ม “ขอบคุณค่ะ ดิฉันดีใจที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับพวกคุณได้นะคะ ความลึกลับและมนตราบางครั้งก็ทำให้เรื่องราวน่าค้นหามากขึ้นใช่ไหมล่ะคะ”
คุณหญิงช่อผกาพยักหน้า “ใช่ค่ะ และดิฉันคิดว่าทุกคนในงานก็คงรู้สึกเหมือนกัน มันทำให้คืนนี้เป็นคืนที่น่าจดจำมากเลยค่ะคุณ”
โฉมสุรางค์ถามต่อ “ในงานหน้า คุณอัคคีรัตน์มีการแสดงอะไรอีกไหม ดิฉันคิดว่าทุกคนคงอยากเห็นอีก”
อัคคีรัตน์ยิ้มลึกลับ “บางครั้งความลึกลับก็ควรเก็บไว้เพื่อให้คนอยากรู้อยากเห็น แต่ถ้ามีโอกาส ฉันยินดีที่จะทำการแสดงอีกค่ะ”
ราตรีมองอัคคีรัตน์ด้วยความทึ่ง “คุณเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ค่ะ”
อัคคีรัตน์พยักหน้า “ยินดีค่ะ ถ้ามีโอกาสเราคงได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นนะคะ”
การพูดคุยในกลุ่มยังคงดำเนินไปด้วยความชื่นชมและความสงสัย อัคคีรัตน์สามารถสร้างความลึกลับและความน่าสนใจในตัวเธอเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ คืนนี้จะเป็นที่จดจำของทุกคนในงาน และอัคคีรัตน์จะเป็นที่พูดถึงอย่างมากในวงสังคม
เมื่องานจบลง และทุกคนในงานกำลังเดินทางกลับ อมรที่กำลังขับรถกลับบ้าน สองข้างทางที่มีแสงสว่างไม่ค่อยมากนัก ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาของตัวอะไรบางอย่างที่คล้ายกับนกขนาดยักษ์กำลังยืนอยู่กลางถนน อมรต้องหักพวงมาลัยหลบกะทันหันด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มร้องอุทาน เฮ้ย…!! รถของเขาจอดลงบริเวณข้างทาง โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก อมรนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมสติและลงจากรถเพื่อเดินไปดูว่าสิ่งที่เขาเห็นมันคืออะไร แต่กลับไม่พบร่องรอย
“เมื่อกี้มันคืออะไรกันนะ” อมรเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
เมื่อเขากำลังเดินกลับมาเปิดประตูรถ อยู่ๆ ก็มีนกยักษ์สีดำสนิทพุ่งเข้าใส่มาจากทิศทางด้านบน เขาตกใจและใช้แขนป้องตัวเองเอาไว้ นกยักษ์ตัวนั้นคือปักษาดำ อมรถูกกรงเล็บของปักษาดำข่วนเข้าที่แขนข้างหนึ่ง
มันพยายามใช้กรงเล็บที่แหลมคม สะบัดตัวอมรจนกระเด็นออกห่างจากรถ อมรล้มลงและพยายามจะวิ่งหนี
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย” เขาร้องเสียงดังขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยความว่องไวของปักษาดำ มันพยายามพุ่งเข้าใส่อมรอีกครั้ง
แต่จู่ๆ ก็เกิดแสงประหลาดสีขาวสว่างบางอย่างที่พุ่งออกมาจากตัวของอมรเอง โดยที่เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาตกใจกับตัวเองมาก แสงที่พุ่งออกมานั้นรวมตัวกันกลายเป็นกริชอาคม อาวุธคู่ใจที่ติดตามรับใช้เขามาตั้งแต่อดีตชาติ ในเวลานี้มันได้ทำหน้าที่ปกป้องผู้เป็นนายของมันอีกครั้ง
เมื่อเกิดเหตุร้ายกริชนี้จึงได้ปรากฏขึ้น กริชอาคมพุ่งเข้าใส่ร่างปักษาดำอย่างรวดเร็ว ปักษาดำพยายามใช้กรงเล็บของมันต่อสู้ แต่รู้ตัวว่าไม่สามารถต้านทานพลังของกริชอาคมนี้ได้ มันจึงพยายามบินหนีไป แต่กริชก็พุ่งใส่ที่ปีกของมันจนได้รับบาดเจ็บ ปักษาดำร่วงลงสู่พื้น
กริชอาคมพยายามพุ่งใส่ปักษาดำอีกครั้งหมายจบชีวิต อัคนีนาฏเทวีที่ตอนนี้ได้อยู่ภายในเทวาลัยของเธอและรับรู้ได้ทันทีว่าปักษาดำกำลังตกอยู่ในอันตรายก็อุทานด้วยความตกใจ
ปักษาดำ!! เธอส่งพลังจิตของเธอออกไปช่วยปักษาดำ เมื่อกริชอาคมกำลังจะพุ่งเข้าใส่ปักษาดำอีกครั้ง อยู่ๆ ก็เกิดวงแหวนพลังบางอย่างที่มาคุ้มกันอสูรไว้ ทำให้กริชอาคมไม่สามารถทำอะไรได้ ปักษาดำพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีบินหนีไปอีกครั้ง อมรมองดูด้วยความตกใจจนในที่สุดก็สลบลงอยู่กลางถนน มีรถตามหลังมาเห็นร่างของอมรที่สลบอยู่จึงได้รีบนำตัวชายหนุ่มส่งโรงพยาบาล
ในระหว่างที่เขาสลบไปเขาฝันเห็นภาพในอดีตชาติของตัวเองในร่างของอกาสูร ที่พยายามวิ่งไล่ตามจับไอ้หมอผีเวทย์ และอกาสูรได้ใช้กริชอาคมนี้จัดการกับเจ้าหมอผีนั่น ความฝันนี้ทำให้อมรจดจำถึงอาวุธคู่กายได้
ปักษาดำบินกลับมาเทวาลัยด้วยอาการบาดเจ็บ เทวีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินของเธอก็จ้องมองด้วยแววตาที่ไม่พอใจ “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าเพิ่งวู่วาม”
ปักษาดำที่คืนร่างเป็นมนุษย์เอามือจับที่แขนด้วยความเจ็บปวด “แต่มันคือศัตรูของเทวีนะครับ และตอนนี้มันก็ยังไม่มีพลังอะไรที่จะมาสู้ท่านได้”
“ข้าก็เคยคิดแบบนั้นว่ามันคงไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย แต่ข้า…คิดผิด ข้าไม่คิดว่ามันจะมีอาวุธอาคมแบบนั้น”
“ต่อไปพวกเจ้าจะกระทำการใดให้รอคำสั่งจากข้าเท่านั้น ครั้งนี้ข้าถือว่าเจ้าโชคดี แต่ถ้าครั้งหน้าเจ้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้อีก เพราะตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่า เจ้าดอกเตอร์นั้นมันไม่ใช่แค่คนที่มีพลังจิตธรรมดา”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น อมรได้ให้ทางโรงพยาบาลติดต่อไปหาทิพย์ธิดาและรวี เมื่อทั้งสองทราบข่าวว่าอมรประสบอุบัติเหตุต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็เกิดความรู้สึกไม่สบาย ทิพย์ธิดาหันไปบอกกับรวี
“คุณรวีคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ดอกเตอร์อมรต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บ ฉันไม่สบายใจเลย”
ชายหนุ่มสบตาหญิงสาว “คุณอย่าเพิ่งโทษตัวเองไป บางทีมันอาจจะถูกลิขิตเอาไว้แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงอุบัติเหตุนะครับ”
โฉมสุรางค์ที่เดินเข้ามาภายในห้อง “สองคนคุยอะไรกันอยู่หรือคะ”
รวีหันมามองโฉมสุรางค์ด้วยท่าทีจริงจัง “ดอกเตอร์อมรประสบอุบัติเหตุครับ และเมื่อกี้โรงพยาบาลก็ติดต่อมาพวกเราว่าจะไปเยี่ยมท่านครับ คุณโฉมไปด้วยกันไหมครับ”
“เห็นทีว่าจะไม่ละค่ะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว โฉมว่าวันนี้โฉมอาจจะพักผ่อนสักหน่อย เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกมากค่ะ …ฝากสวัสดีดอกเตอร์อมรด้วยนะคะ”

- READ มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 15 : สังเวยรัก…แด่นางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
- READ มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
- READ มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้
- READ มรดกมนตรา บทที่ 11 : นางฟ้าในคราบอสรพิษ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 8 : ไฟสุมทรวง
- READ มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
- READ มรดกมนตรา บทที่ 6 : อดีตของวิญญาณร้าย
- READ มรดกมนตรา บทที่ 5 : นางอสูรคืนชีพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
- READ มรดกมนตรา : บทนำ







