
มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
โดย : วัชรนริศ
![]()
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
เมื่อทิพย์ธิดาและรวีมาถึงห้องพักในโรงพยาบาล หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้เตียงอมร
“ดอกเตอร์ค่ะ เป็นยังไงบ้าง” ทิพย์ธิดาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อมรพยักหน้าเบาๆ “ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณที่มานะครับ”
รวีที่ยืนอยู่ข้างๆ มองอมรด้วยความห่วงใย “เราทั้งสองคนเป็นห่วงคุณครับ และเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อมรมองดูทั้งสองคนด้วยแววตาจริงจัง “ผมมีบางอย่างที่อยากเล่าให้พวกคุณฟัง” แล้วเขาเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเมื่อคืน เขาพบกับนกยักษ์สีดำประหลาดยืนอยู่กลางถนน มันทำให้เขาต้องหักรถหลบกะทันหัน จากนั้นเขาก็ถูกนกยักษ์สีดำพุ่งเข้าใส่และพยายามทำร้ายเขา เขาอธิบายต่อถึงแสงประหลาดที่พุ่งออกมาจากร่างของตัวเอง แสงนั้นได้รวมตัวกันเป็นกริชที่ออกมาปกป้องเขาไว้ ทิพย์ธิดาและรวีฟังด้วยความตื่นเต้นและกังวลสงสัย
“จากนั้นตอนที่ผมสลบไป ผมฝันเห็นภาพในอดีตชาติของตัวเองในร่างของอกาสูร” อมรเล่าต่อ “ผมเห็นตัวเองวิ่งไล่ตามจับไอ้หมอผีเวทย์ และใช้กริชอาคมจัดการกับเขา ความฝันนี้ทำให้ผมจดจำถึงกริชนั้นได้”
หญิงสาวมองอมรและอุทานด้วยความสงสัย “อดีตชาติ? หมายความว่ากริชนั้นมีความเกี่ยวข้องกับดอกเตอร์ในอดีตชาติหรือคะ”
อมรพยักหน้า “ใช่ครับ ผมเชื่อว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนผม และอาจจะเป็นกุญแจในการเปิดเผยความลับทั้งหมดนี้”
ทิพย์ธิดาถามต่อด้วยความสงสัย “แล้วในฝันที่ดอกเตอร์บอกว่า ฝันเห็นตัวเองเป็นอกาสูรกำลังไล่ตามหมอผีเวทย์ ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกันยังไงหรือคะ”
อมรหันมายิ้มเล็กน้อย “เอาไว้ผมจะอธิบายทั้งหมดให้พวกคุณฟังทีหลังนะครับ มีอะไรอีกมากมายเลยที่ผมอยากเล่า เพราะมันน่าจะเป็นข้อมูลสำคัญอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอสูรร้ายตัวนั้น รวมถึงเจ้านกยักษ์ตัวนั้นด้วย”
ทิพย์ธิดามองอมรด้วยความห่วงใย “ค่ะ ดอกเตอร์พักก่อนนะคะ” อมรพยักหน้าและยิ้มขอบคุณพวกเขาทั้งสอง “ขอบคุณครับ”
ทิพย์ธิดาและรวีอยู่กับอมรในห้องพักผู้ป่วยสักพัก ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล ทิพย์ธิดาหันมาพูดกับชายหนุ่ม “คุณรวีคะ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลยค่ะ” รวีหันมาสบตาด้วยความเป็นห่วง “สังหรณ์ใจเรื่องอะไรหรือครับ”
“ฉันคิดว่า การที่ดอกเตอร์ต้องประสบอุบัติเหตุเมื่อคืน รวมถึงเจ้านกยักษ์นั้นที่เขาพูดถึง ฉันว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ค่ะ ฉันรู้สึกว่าเหมือนมันตั้งใจพยายามสะกดรอยและทำร้ายดอกเตอร์”
รวีพูดเสริม “ผมก็รู้สึกแบบนั้นครับ ยังไงตอนนี้พวกเราคงต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่พยายามเข้าใกล้พวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ” ชายหนุ่มและหญิงสาวสบตากันด้วยความห่วงใยกันและกัน ความรู้สึกนี้เพิ่มความตระหนักให้ทั้งสองว่าพวกเขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทั้งสองตัดสินใจว่าจะต้องปกป้องกันและกัน รวมถึงอมรจากภัยคุกคามที่ไม่รู้ตัวแต่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อพวกเขาเดินออกจากโรงพยาบาล ความคิดของทั้งสองคนวนเวียนไปกับเรื่องราวที่อมรเล่าและสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในอนาคต เวลาโพล้เพล้ของวันนั้นที่คฤหาสน์วารีมรกต หลังทำความสะอาดเสร็จบัวสาวรับใช้เดินฮัมเพลงระหว่างทางเพื่อจะกลับไปเตรียมอาหารที่บริเวณเรือนคนใช้ ระหว่างทางเธอต้องเดินผ่านเรือนหลังเล็กที่บุษบาเคยใช้ให้เธอและจอมมาทำความสะอาด เธอได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่แถวๆ เรือนหลังเล็ก เธอสงสัยว่าจะเป็นขโมย
‘เสียงอะไรกันนะ ลุงวินัยต้องเอาอะไรมาแอบกินแถวนี้แน่เลย คอยดูนะฉันจะฟ้องคุณบุษบา’ บัวคิดในใจ
บัวก็พยายามฟังเสียง เสียงนั้นไม่ได้อยู่รอบๆ เรือนหลังเล็ก แต่มันอยู่ในห้องพักของเรือนหลังเล็ก ด้วยความสงสัยเธอจึงค่อยๆ เดินย่องไปแอบดูตรงหน้าต่างด้านหลังของเรือน สิ่งที่เธอเห็นทำเอาเธอถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ “ปะ ปะ ผีปอบ!!”
บัวเห็นบุษบาที่กำลังนั่งกินเนื้อดิบๆ อย่างหิวกระหาย ดวงตาแดงก่ำ เลือดเปื้อนไปทั่วปาก
“ไปแล้วโว้ย!” บัวอุทานร้องเสียงหลง รีบวิ่งหน้าตั้งกลับไปที่เรือนคนใช้
จอมเด็กรับใช้ วินัยลุงคนขับรถ และป้าแก้วที่นั่งอยู่ภายในครัวเรือนคนใช้ เห็นบัววิ่งเข้ามาในครัวอย่างหน้าตาตื่น จอมถามด้วยความตกใจ “นางบัวเอ็งเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นวิ่งหน้าตั้งมายังกะคนเจอผี”
ป้าแก้วแม่ครัวพูดเสริม “จริงว่ะ เอ็งเป็นอะไร ทำไมเอ็งต้องเหนื่อยหอบขนาดนี้ หรือคนที่เรือนใหญ่เขาต้องการอะไรเพิ่ม” บัวลงไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทีเหนื่อยหอบและตกใจ
“ก็ผีน่ะสิ!! แล้วมันก็ไม่ใช่ผีธรรมดาด้วย แต่มันเป็นผีปอบ! ฉันเห็นมันกำลังนั่งกินอะไรก็ไม่รู้ เลือดเต็มปากเลย” บัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกและรีบร้อน “แต่หน้ามันเหมือนใครนะ เหมือน เอ่อ…”
“เหมือนฉันหรือเปล่า” บุษบาเดินเข้ามาภายในครัวด้วยท่าทางปกติ บัวมองหน้าเธอด้วยความตกใจ “เออ เปล่าค่ะ ไม่เหมือนค่ะ”
บุษบายืนมองสบตากับทั้งสี่คน เธอใช้พลังของเธอสะกดจิตและสั่งว่า
“ไม่ว่าพวกแกเห็นอะไร หรือรู้อะไร ขอให้พวกแกจำได้แค่ว่า พวกแกกำลังอยู่ในครัวและกำลังเตรียมอาหาร”
บัว จอม ป้าแก้ว และลุงวินัยสบตากับบุษบา ทั้งสามตัวแข็งทื่อ และพยักหน้ารับราวกับคนละเมอ และบุษบาก็เดินกลับออกไป ทั้งสี่หันมามองหน้ากันด้วยความงงงวย
บัวหันไปถามลุงวินัย “ตะกี้เราทำอะไรกันลุง”
ป้าแก้วพูดเสริม “ก็ทำกับข้าวสิวะถามได้ มีอะไรก็ไปทำเลยไป”
ทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความงงงวย แต่ก็ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารตามปกติ และรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติแต่ไม่สามารถจำได้ว่าคืออะไร ในขณะที่บุษบาเดินออกจากครัวไป เธอก็ยิ้มเยาะในใจ
เมื่อค่ำคืนมาถึง ทิพย์ธิดาเธอไม่สบายใจเรื่องเหตุการณ์ของอมร เธอได้ขึ้นไปห้องพระเพื่อไหว้พระ เธอจุดธูปและพนมมือมองไปที่โกศของหม่อมเจ้าอดิศร “ท่านชายคะ ฉันไม่สบายใจเลยกับเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดคุณอมร” เธอกล่าวด้วยเสียงที่สั่นไหว เธอยังคงมองไปที่โกศด้วยแววตาความไม่สบายใจ
เมื่อนั้น แสงสีขาวก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ ภายในแสงนั้นคือหม่อมเจ้าอดิศรในรูปลักษณ์ที่สง่างาม ทิพย์ธิดาตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้หลบสายตา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยในทันที
“ทิพย์ธิดา ในเวลานี้เจ้าอสูรได้ออกอาละวาดอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องรู้เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด” ท่านชายอดิศรพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น ทันใดนั้นก็เกิดเป็นภาพในห้วงความทรงจำขึ้นมา ภาพนั้นฉายเรื่องราวทั้งหมดของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ รักอันลึกซึ้งของทั้งสองที่ผ่านอุปสรรคและความลำบากมามากมาย
ภาพแสดงให้เห็นวันที่หม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์สิ้นใจ ท่านชายอดิศรนั่งลงไปกอดร่างของพระองค์หญิงไว้ด้วยความเสียใจแสนสาหัส น้ำตาของเขาไหลอาบแก้มด้วยความทุกข์ทรมานใจ น้ำตาของเขาไหลอาบแก้มด้วยความทุกข์ทรมานใจ และจนมาถึงวันที่ต้องจัดพิธีศพของพระองค์หญิงที่คฤหาสน์แห่งนี้ ท่านชายอดิศรยืนอยู่ภายในงานด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ท่านมองภาพของท่านหญิงด้วยความรักและอาลัย ทั้งที่หัวใจของท่านรู้สึกว่างเปล่าและไม่มีแรงที่จะก้าวต่อไป
พระมารดาของหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ที่นั่งอยู่ภายในงานก็ได้แต่เสียใจ และหันไปพูดกับท่านชายว่า “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ดิฉันไม่คิดว่ามันคืออุบัติเหตุ ดิฉันเชื่อว่ามันต้องมาจากวิชาคุณไสยมนตร์ดำแน่ๆ เพราะจนป่านนี้ทางการเองก็ยังตามจับนางสายใจไม่ได้ มันคงเคียดแค้นที่พ่อของมันตาย มันเลยส่งคุณไสยทำร้ายสวาทสุภาย์ ดิฉันไม่คิดเลยว่าเราจะต้องมาพบกับเรื่องแบบนี้”
ในระหว่างเดียวกัน นางสายใจได้แฝงตัวเข้ามาแอบดูพิธีศพในงานด้วยความสะใจ อกาสูรที่รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติได้เดินเข้ามาในงานและรู้สึกแปลกๆ ว่ามีคนที่มีวิชามนตร์ดำแฝงตัวอยู่ในงาน เขาได้เดินไปแสดงความเสียใจกับท่านชายและพระมารดา
“สวัสดีครับท่านชาย กระผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” อกาสูรกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลแต่ในสายตามีความสงสัย
ท่านชายอดิศรมองหน้าอกาสูร “ขอบคุณมากครับ ผมเองก็ไม่อยากเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ” ท่านชายตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า
หลังจากเสร็จพิธี แขกภายในงานก็ค่อยๆ ทยอยเดินทางกลับ อกาสูรอยู่ช่วยท่านชายส่งแขก พระมารดาของพระองค์หญิงเตรียมตัวเดินทางกลับ เธอเดินออกมาเพื่อเตรียมขึ้นรถ อดิศรและอกาสูรได้เดินออกมาส่ง พระมารดาหันมาพูดกับท่านชายว่า
“ตอนนี้สวาทสุภาย์ไม่อยู่แล้ว แต่ดิฉันก็ยังอยากให้ท่านชายตามจับนางสายใจมาลงโทษให้จงได้ เพราะยังไงดิฉันก็ยังเชื่อว่าทั้งหมดต้องเป็นฝีมือของมันแน่นอน”
ท่านชายมองด้วยแววตาจริงจัง “ยังไงผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ๆ ผมจะต้องสืบตามหาตัวนางสายใจมาลงโทษให้ได้ครับ”
อกาสูรพูดเสริม “ท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงครับ กระผมจะช่วยท่านชายอดิศรตามตัวนางสายใจมาลงโทษให้ได้ก่อนที่จะมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้”
นางสายใจที่แฝงตัวหลบอยู่ในความมืดด้านนอกคฤหาสน์ได้ยินเสียงที่พระมารดาและทั้งสองพูดถึงเธอ เธอรู้สึกเจ็บแค้น
‘พวกแกยังจะต้องเจออะไรอีกมาก นี่แค่เริ่มต้น’ นางสายใจคิดในใจพร้อมกับยิ้มอย่างเหี้ยมโหด
แสงไฟจากรถยนต์ที่ขับเข้ามาส่องสว่างทำให้นางสายใจต้องถอยร่างกลับไปซ่อนในเงามืด ท่านชายอดิศรและอกาสูรหันไปมองตามแสงไฟนั้น รถยนต์ที่เข้ามาจอดตรงหน้าคฤหาสน์คือรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ท่านชายครับ พวกเรามาที่นี่เพื่อติดตามคดีของหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ พวกเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว
ท่านชายอดิศรพยักหน้า “ได้ครับ เชิญท่านตำรวจเข้ามาภายในก่อน”
ขณะที่ทุกคนกำลังเดินเข้าไปในคฤหาสน์ นางสายใจที่ยังคงแอบซ่อนอยู่ในความมืดรู้สึกว่าต้องรีบจัดการศัตรูของเธอโดยเร็ว เธอจำแลงกายเป็นควันสีดำลอยพุ่งกลับออกไป ปล่อยให้แผนการชั่วร้ายของเธอเริ่มดำเนินต่อไปในเงามืด
อกาสูรขอตัวท่านชายอดิศรเพื่อเดินทางกลับ “ท่านชายครับ ระหว่างนี้ขอให้ท่านชายทรงระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะครับ เพราะผมรู้สึกว่านางสายใจจะต้องอยู่แถวๆ นี้แน่”
ท่านชายพยักหน้า “ขอบคุณมากนะอกาสูร ผมจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้น”
อกาสูรเดินทางออกจากคฤหาสน์กลับมาที่บ้านของเขา ในระหว่างที่อกาสูรกำลังเดินเข้าบ้าน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา เมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเป็นนางสายใจในชุดคลุมสีดำ มีรอยสักที่เกิดจากอาคมมนตร์ดำอยู่ทั่วตัว เท้าของเธอลอยเหนือพื้นเล็กน้อยและพุ่งเข้ามาหมายจะบีบคอของเขาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพยายามวิ่งหลบเธอ เขาได้พนมมือขึ้นและสวดพระเวทมนตรา เรียกกริชอาคมประจำตัวออกมา เมื่อนั้นกริชอาคมก็ปรากฏขึ้น
“คราวนี้แหละนางสายใจ แกจะไม่มีทางหนีไปได้อีกแล้ว”
นางสายใจมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เคียดแค้น “ในเมื่อนางหม่อมเจ้าหญิงนั่นก็ตายไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาของแกแล้วนะไอ้อกาสูร แกเป็นคนฆ่าพ่อของข้า ยังไงชีวิตของแกก็อยู่ได้เพียงแค่คืนนี้เท่านั้น”
นางสายใจท่องมนตร์ดำอีกครั้ง รอบๆ เกิดเป็นเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมคมพุ่งเข้าใส่อกาสูร อกาสูรหลับตาท่องพระเวท และเป่าออกมาเป็นเปลวไฟเผาผลาญเถาวัลย์นั้น เปลวไฟได้ทำให้นางสายใจต้องเอาแขนขึ้นมาป้องที่หน้าของเธอ เธอพยายามพุ่งเข้าใส่อกาสูรอีกครั้งหวังจะกัดเข้าที่คอของเขา แต่อกาสูรได้ยืนนิ่งและหลับตาตั้งจิตอีกครั้ง กริชอาคมได้ลอยขึ้นและพุ่งเข้าใส่นางสายใจ
นางสายใจพยายามต่อสู้กับกริชนั้น ทันใดนั้นเอง กริชอาคมก็พุ่งเข้าไปฝังในร่างของนางสายใจ ทำให้เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เธอถอยหลังและพยายามถอนกริชออกจากร่างของเธอ แต่กริชอาคมนั้นก็ปักลึกเข้าไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้สวดมนต์เพิ่มพลังให้กริช กริชอาคมเริ่มเปล่งแสงสว่างและพลังรุนแรงยิ่งขึ้น นางสายใจรู้สึกว่าพลังชีวิตของเธอกำลังถูกดูดออกไป เธอพยายามต้านทาน แต่ก็ไม่สามารถสู้กับพลังของกริชอาคมได้
“ไม่! ข้าจะไม่ยอมแพ้แก!” นางสายใจตะโกนด้วยความแค้นก่อนที่จะทรุดลงกับพื้น กริชอาคมยังคงแผ่พลังออกมาเรื่อยๆ “เทวีช่วยข้าด้วย ข้าไม่ไหวแล้ว!” นางสายใจร้องขอความช่วยเหลือ
ไม่นานเกิดแสงประหลาดที่พุ่งลงจากท้องฟ้าราวกับดาวตก อัคนีนาฏเทวีปรากฏตัวขึ้น เธอได้ใช้มือของเธอดึงกริชออกจากร่างนางสายใจได้อย่างง่ายดาย และได้เขวี้ยงกริชนั้นให้พุ่งกลับไปหานายของมันโดยเร็ว อกาสูรหลับตาและผายมือออกเพื่อเตรียมรับกริชนั้น กริชพุ่งกลับมาอยู่บนมือของเขาอีกครั้ง
เทวีมองมาที่อกาสูรด้วยแววตาที่เป็นเปลวเพลิง “พวกลูกหลานตระกูลทุรวาสานี่เอง ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน พวกเจ้าคงไม่คิดสิว่าจะมีคนที่มาปลดปล่อยข้าอีกครั้ง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ระหว่างนั้นพระขรรค์ที่อยู่ภายในห้องบูชาของอกาสูรเกิดสั่นและเปล่งแสงขึ้นมาราวกับรู้ว่าจอมอสูรร้ายอยู่ไม่ไกล อกาสูรจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ท้าทาย
“ในที่สุดข้ารู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง นางสายใจนี่เองที่เป็นคนปลดปล่อยท่านออกมา แต่ข้าอกาสูรและเหล่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะไม่ยอมให้ปีศาจร้ายอย่างท่านได้ออกมาทำร้ายผู้คนอีก ในเมื่ออดีตกาลพวกเราเคยผนึกท่านไว้ได้ ครั้งนี้ต่อให้ข้าต้องตายเพื่อที่จะผนึกท่านอีกครั้ง ข้าก็ยินดี”
เทวีหัวเราะด้วยความผยอง “ดี! ในเมื่อเจ้าอยากจะตายข้าก็จะส่งเสริมเจ้าเดี๋ยวนี้”
เธอได้ชี้นิ้วมาที่อกาสูร เมื่อนั้นแสงเปลวเพลิงบางอย่างก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเธอ เปลวไฟนั้นร้อนแรงจนทำให้นางสายใจที่ล้มอยู่ต้องใช้มือขึ้นมาป้องหน้าของเธอ แสงจากเปลวไฟพุ่งเข้าหาตัวอกาสูรอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพระขรรค์ที่อยู่ภายในห้องพิธีก็ส่องแสงสว่าง จนส่งพลังออกมาจากห้องนั้นพุ่งมาที่ร่างของอกาสูร จนเกิดเป็นเกราะวงแหวนคุ้มกันภัยจากเปลวเพลิงนั้น เทวีรู้สึกได้ถึงพลังของพระขรรค์ เธอหยุดชะงักขึ้น
“อกาสูร ถือว่าวันนี้เจ้าโชคดีนะ แต่อีกไม่นานชีวิตของเจ้าจะต้องสูญสิ้นในไม่ช้า”
อัคนีนาฏเทวีได้พานางสายใจหนีหายกลับเข้าไปในแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง อกาสูรยืนนิ่งมองดูแสงที่ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืดของค่ำคืน เขารู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่และอันตรายที่เทวีแสดงออกมา
“ข้ารู้ดีว่ามันยังไม่จบแค่นี้” อกาสูรพึมพำกับตัวเอง
เขาเก็บกริชอาคมเข้าที่ และเดินกลับเข้าบ้านด้วยความระมัดระวัง ใจหนึ่งกังวลเรื่องนางสายใจที่ยังคงมีอำนาจ อีกใจหนึ่งเริ่มคิดหาทางสืบหาความจริงและปกป้องคนที่เขารักให้ปลอดภัยจากอันตรายที่กำลังจะมาถึง
เวลานี้ทิพย์ธิดาที่กำลังรับรู้ถึงความทรงจำของหม่อมเจ้าอดิศร หญิงสาวเริ่มรู้สึกอ่อนแรง เพราะตกอยู่ภายใต้พลังของท่านชายอดิศรนานเกินไป “ทิพย์ธิดา วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ เธอดูอ่อนแรงมากแล้ว” ท่านชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หญิงสาวถามต่อ “ตอนนี้ฉันรู้แล้วค่ะ ว่าคุณอมรคือท่านอกาสูรผู้ที่คอยช่วยเหลือท่านชายเอาไว้ และนางสายใจก็คือคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้” ท่านชายอดิศรมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนและพยักหน้ารับ
“หากเจ้ารู้แล้วจงระวังตัวให้ดี เพราะตอนนี้วิญญาณของนางสายใจเริ่มมีพลังกลับมามากขึ้น เพราะนายของมันได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว อีกไม่นานจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นอีก สร้อยพระขรรค์ที่ฉันให้กับเธอไป เธอห้ามถอดมันออกเด็ดขาด เพราะมันจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอจากภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น เธอกับรวีจะต้องร่วมมือกัน”
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ค่ะท่านชาย ฉันจะทำตามคำแนะนำของท่านค่ะ”
ท่านชายอดิศรก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป แสงสีขาวที่เคยสว่างจ้าก็ค่อยๆ จางลง จนในที่สุดห้องพระก็กลับมามืดสลัว ทิพย์ธิดารู้สึกถึงความเงียบสงบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลและความมุ่งมั่นในการเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายของนางสายใจและอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น

- READ มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 15 : สังเวยรัก…แด่นางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
- READ มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
- READ มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้
- READ มรดกมนตรา บทที่ 11 : นางฟ้าในคราบอสรพิษ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 8 : ไฟสุมทรวง
- READ มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
- READ มรดกมนตรา บทที่ 6 : อดีตของวิญญาณร้าย
- READ มรดกมนตรา บทที่ 5 : นางอสูรคืนชีพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
- READ มรดกมนตรา : บทนำ







