
มรดกมนตรา บทที่ 17 : รอยยิ้มของซาตาน
โดย : วัชรนริศ
![]()
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
โฉมสุรางค์และราตรีแม่ของเธอ เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วก็ล้มตัวลงนั่งที่โซฟา
“เหนื่อยจังเลยค่ะคุณแม่ ถ้าไม่ติดว่าคุณรวีอยู่ที่นั่นนะคะ โฉมก็ไม่อยากจะไปหรอกค่ะ ไกลก็ไกล”
“แม่ก็ว่าอย่างนั้นละจ้ะ แต่เราอย่าเพิ่งบ่นกันไปนะคะลูก เพราะตราบใดที่ทิพย์ธิดายังอยู่ที่นั่นแม่ก็เชื่อนะคะว่าคุณรวีก็น่าจะยังไม่กลับมาที่พระนครได้ง่ายๆ ไม่รู้ติดใจอะไรนังนั่นหนักหนา”
โฉมสุรางค์สีหน้าไม่พอใจ เธอถอนหายใจ “คุณแม่คะ หรือว่าทิพย์ธิดาเธอเล่นของคะแม่ โฉมว่าตั้งแต่คุณรวีไปอยู่ที่นั่น ก็เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันกับเธอตลอดเลยค่ะ จนโฉมเริ่มไม่มั่นใจละว่าเขายังสนใจโฉมอยู่ไหม”
ราตรีมองหน้าลูกสาวของเธอ “ลูกอย่าเพิ่งคิดอะไรไกลเลยจ้ะ กลับมาเหนื่อยๆ เราพักผ่อนกันก่อนเถอะ บ่ายๆ เราไปทำผม นวดหน้ากันดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะคุณแม่ พักหลังมานี้รู้สึกหน้าตาไม่ค่อยสดใสเลยค่ะ พูดแล้วก็นึกถึงนางแม่บ้านนั้น” โฉมสุรางค์ใช้มือแตะที่หน้าของเธอ
“แม่บ้านคนไหนจ๊ะลูก”
“ก็นางแม่บ้านบุษบาไงคะ หน้าตึงยังกะอะไรดี ยิ้มก็ไม่ยิ้ม บูดๆ บึ้งๆ ยังกะคนโดนของ”
ราตรีพูดเสริม “แม่ว่าสงสัยนางคงขาดผู้ชายมานานนะคะ” ทั้งสองหันมาหัวเราะเยาะ
“ใช่ค่ะลูก อีกคนที่แม่ว่าดูท่าทางแปลกๆ ก็นางคุณอัคคีรัตน์อะไรนั่น ทำท่าทำทางเย่อหยิ่ง คงคิดว่าตัวเองสวยซะเต็มประดา แต่จริงๆ คงจะหาวิธีทำสวยทุกอย่างที่มีเลยนะคะ”
โฉมสุรางค์หัวเราะเบาๆ “แม่คิดว่าคุณอัคคีรัตน์เธอแปลกๆ จริงหรือคะ”
“จริงสิคะ ก็ลูกเห็นท่าทางเธอไหม ในวันงานโชว์เครื่องเพชร เธอนี่ทำตัวแพรวพราวมากเลยนะคะ เล่นหูเล่นตาจะตาย แต่จะว่าไป คุณหญิงช่อผกาเคยบอกแม่ว่าอัคคีรัตน์น่ะ เธอรวยมากเลยนะ”
“คุณหญิงเองเคยไปเยี่ยมชมเครื่องเพชรโบราณที่บ้านของเธอ คุณหญิงยังบอกแม่อีกนะว่าที่เธอเห็นเพชรในบ้านของอัคคีรัตน์น่ะ แค่เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะ จนทำให้แม่น่ะอยากเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ เลยว่ามันจะมากมายขนาดไหนเชียว”
โฉมสุรางค์หันมามองหน้าแม่ของเธอด้วยความจริงจัง “เธอก็เป็นคนที่น่ารู้จักดีนะคะคุณแม่ ถ้าไม่รวมท่าทางแปลกๆ ของเธอนะคะ” ทั้งสองหันมามองหน้ากันเหมือนรู้ใจกัน
ณ ภายในบ้านที่ถูกเนรมิตของอัคนีนาฏเทวี เธอนั่งสางผมของเธออยู่ที่หน้ากระจก และได้ใช้พลังของเธอมองจับตาดูโฉมสุรางค์และราตรี ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงทุกคำพูดของทั้งสอง เธอหัวเราะเบาๆ
“สองแม่ลูกนี้มันก็เหมือนกับไอ้เอกภพนั่นแหละ พวกโลภมากไม่รู้จักจบจักสิ้น ดีในเมื่ออยากรู้จักฉันมากขึ้นฉันก็จะให้มันสองคนได้รู้จัก” เธอยิ้มอย่างมีแผนการ
บ่ายวันนั้นโฉมสุรางค์และราตรีทำผมเสร็จก็ไปช็อปปิงกันต่อแถวถนนเฟื่องนคร ในขณะที่ทั้งสองเดินดูร้านเสื้อผ้า ราตรีก็สังเกตเห็นอัคคีรัตน์เดินอยู่ในร้านเครื่องเพชร
“โฉมๆ ช่วยแม่ดูหน่อยว่า ผู้หญิงคนนั้นใช่คุณอัคคีรัตน์ไหม”
โฉมสุรางค์หันไปมอง “ใช่คุณอัคคีรัตน์จริงๆ ด้วยค่ะแม่ แต่ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”
ราตรีพูดต่อ “ถ้างั้นเราเข้าไปทักทายสวัสดีเธอหน่อยดีกว่า”
“สวัสดีค่ะคุณอัคคีรัตน์” สองแม่ลูกยิ้มกล่าวทักทาย
“อ้าว คุณราตรี คุณโฉมสุรางค์ สวัสดีค่ะ นี่มาช็อปปิงกันหรือคะ” อัคคีรัตน์ยิ้มเล็กน้อย
โฉมสุรางค์ยิ้มและพูดเสริม “ใช่ค่ะ แล้วคุณอัคคีรัตน์ก็มาช็อปปิงเหมือนกันหรือคะ ดิฉันไม่คิดว่าคุณจะมาเดินเล่นอะไรแบบนี้กับเขาด้วย”
“ใช่ค่ะ บางทีเบื่อๆ ก็อยากจะออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างนะคะ อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“แล้วนี่คุณกำลังมาเลือกซื้อเพชรหรือคะ” ราตรีพูดเสริม
“ใช่ค่ะ ดิฉันมาลองเดินดูเพชรแบบใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่มีรุ่นไหนแบบไหน สู้ของดิฉันได้เลยค่ะ”
“จริงค่ะ เพชรของคุณอัคคีรัตน์แต่ละชิ้นไม่ธรรมดาเลยนะคะ ดิฉันได้ยินมาว่าคุณอัคคีรัตน์เองก็เป็นคนชอบสะสมเครื่องเพชรโบราณด้วยหรือคะ”
เธอยิ้มอย่างมีแผนการ “ค่ะ ดิฉันสะสมเครื่องเพชรโบราณ บางส่วนก็เป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษนะคะ”
“ตายแล้ว แบบนี้ก็ต้องมีมากมายเลยนะคะ ดิฉันกับลูกจะมีโอกาสได้เห็นบ้างไหมคะ” ราตรียิ้มเล็กน้อย
อัคคีรัตน์มองทั้งสองด้วยแววตามีเลศนัยและยิ้ม “ถ้าไม่รังเกียจ คุณราตรีกับคุณโฉมสุรางค์สนใจจะไปเยี่ยมชมเครื่องเพชรที่บ้านของดิฉันได้นะคะ ดิฉันขอเรียนเชิญนะคะ”
โฉมสุรางค์และแม่ของเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และมองหน้ากัน “ไม่รังเกียจเลยค่ะ ได้ค่ะ ว่าแต่เราจะไปกันเลยไหมคะ” ราตรีมีท่าทางตื่นเต้น
“ถ้าอย่างนั้นเชิญค่ะ” อัคคีรัตน์เดินนำทั้งสองไป
เสียงรถยนต์ของอัคคีรัตน์จอดลงบริเวณหน้าทางเข้าบ้านเธอ สมิงดงในร่างของคนขับรถเดินมาเปิดประตู ทั้งสามค่อยๆก้าวลงจากรถ “ว้าว คุณคะ บ้านคุณสวยมากเลยค่ะ ใหญ่โตเหลือเกิน” ราตรีมีท่าทางสนใจมากขึ้น
“เชิญค่ะ” ทั้งสองเดินตามหลังของอัคคีรัตน์เข้าไปภายในบ้าน เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงทางเดิน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นบันไดใหญ่ที่จรดตัวมาอยู่ตรงกลางระหว่างห้อง โฉมสุรางค์และแม่ของเธอยืนมองรอบๆ ด้วยความทึ่ง
“คุณแม่คะ ทำไมภายในบ้านมันถึงได้ยิ่งใหญ่แบบนี้ เหมือนวังเลยนะคะ”
อัคคีรัตน์พูดเสริม “ที่นี่เป็นบ้านเก่าที่ตกทอดกันมาหลายชั่วคนค่ะ”
โฉมสุรางค์มองด้วยความสนใจ “แล้วคุณอยู่ที่นี่คนเดียวหรือคะ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันอยู่คนเดียว จะมีก็มีแต่เพียงคนรับใช้สองคน พวกคุณทั้งสองเดินตามดิฉันมาดีกว่าค่ะ ดิฉันจะพาไปชมห้องเครื่องเพชรนะคะ” สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
เมื่อไปถึงห้องเครื่องเพชรโบราณของเธอ สองแม่ลูกก็ต้องตกตะลึงกับความระยิบระยับของเครื่องเพชรต่างๆ
“คุณแม่ๆ ดูชิ้นนี้สิ สวยมากเลยค่ะ” สองคนมองด้วยแววตาเป็นประกาย
ราตรีพยายามพูดเสริม “คุณอัคคีรัตน์มีมากมายขนาดนี้ใส่ครบหรือคะ หากสนใจจะแบ่งปันกันให้ยืมไปใส่ บอกดิฉันกับลูกได้นะคะ ดิฉันจะได้เอาของคุณออกไปโชว์ให้บ้าง” ราตรียิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คุณราตรีคิดว่าอย่างงั้นหรือคะ ถ้าแบบนั้นดิฉันมีเครื่องเพชรอยู่ชุดหนึ่งอยู่ในหีบนั่น พวกคุณทั้งสองลองเปิดดูก่อนนะคะ” ปักษาดำในร่างคนรับใช้ได้เดินไปยกหีบขนาดเล็กและนำมาเปิดให้สองแม่ลูกดูต่อหน้า
เมื่อหีบถูกเปิดออกมา สองแม่ลูกก็มองด้วยแววตาตื่นเต้น
“ตายแล้ว ไม่อยากจะเชื่อสายตา ทำไมเพชรมันถึงได้มากมายสวยงามขนาดนี้” ราตรีรีบหยิบสร้อยเพชรขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น
“ดิฉันเห็นว่าเครื่องเพชรพวกนี้อยู่ในหีบเก็บไว้ก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไร พวกคุณทั้งสองลองเอาไปใส่กันก่อนได้นะคะ เบื่อเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน” อัคคีรัตน์พูดด้วยแววตามีเลศนัย
โฉมสุรางค์กับราตรีอยู่ในอาการตื่นเต้น “คุณอัคคีรัตน์พูดจริงๆ นะคะ” โฉมสุรางค์พูดด้วยความดีใจ
“ใช่ค่ะ พวกคุณสองคนเหมาะกับเครื่องเพชรพวกนี้มากนะคะ ดิฉันเห็นว่าถ้าพวกคุณได้นำไปใส่ออกงานคงสวยไม่ใช่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้น เราสองคนแม่ลูกขอขอบคุณมากนะคะ ไว้จะรีบเอามาคืน” ราตรีพูดเสริม
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ดิฉันจะให้คนรถไปส่งพวกคุณนะคะ” อัคคีรัตน์ยิ้มเล็กน้อย
เมื่อสองคนแม่ลูกถึงบ้าน ก็รีบยกหีบขึ้นไปไว้บนห้องนอนของราตรี
“คุณแม่คะ หนูว่าคุณอัคคีรัตน์เธอนี่ใจดีจริงๆ เลยนะคะ คิดยังไงอยู่ๆ เธอก็กล้าให้ยืมของพวกนี้ แถมยังให้เรายืมทั้งหีบอีก มูลค่ามันมหาศาลมาก เธอนี่รวยจริงๆ เลยนะคะ”
ราตรีเปิดหีบออกและนำสร้อยเพชร ต่างๆ มาลองยืนสวมอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ของเธอ
“เส้นนี้ก็สวย ลูกดูสิ” โฉมสุรางค์ยืนมองราตรี เธอเองก็ได้หยิบเลือกสร้อยเพชรต่างๆ ในหีบ นำมาเทียบบนคอของเธอ
“สวยจริงๆ เลยค่ะคุณแม่”
ราตรีพูดเสริมด้วยท่าที่เย่อหยิ่ง “แม่ว่าในบ้านของเธอน่าจะมีอีกเยอะเลยนะลูก แต่แค่นี้ก็มีความสุขละ แม่ว่าแม่คงจะยืมใส่ไปตลอดชีวิตเลยดีไหมคะลูก” สองคนหันมามองหน้ากันและหัวเราะ
ในคืนนั้นเอง ราตรีและโฉมสุรางค์ต่างเข้านอนในห้องของพวกเธอ ไม่นานฝาหีบก็ถูกเปิดออกราวกับมีใครมาเปิด เครื่องเพชรทั้งหลายที่อยู่ภายในหีบค่อยๆ กลายสภาพเป็นงูพิษต่างๆ งูเหล่านั้นค่อยๆ เลื้อยแข่งกันออกมาจากหีบอย่างช้าๆ จนขึ้นไปบนที่นอนของราตรี ในขณะที่เธอหลับ เธอรู้สึกถึงตัวอะไรบางอย่างที่ขึ้นมาไต่บนแขนของเธอ
ทันใดนั้นเธอลืมตาขึ้นและหันไปสลัดอะไรบางอย่างออกจากแขนจนกระเด็นลงไปอยู่ที่พื้นปลายเตียง งูตัวเล็กๆ มากมายพยายามเลื้อยเข้ามาที่ปลายเตียง ราตรีร้องด้วยความตกใจ เธอกระโดดร้องขอความช่วยเหลือและวิ่งไปที่หน้าประตู
“ใครก็ได้ช่วยด้วย งู!” เธอรีบเปิดประตูห้องนอนออกและวิ่งไปทุบประตูห้องลูกสาวของเธอด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วยลูก ช่วยแม่ด้วย” เธอร้องโวยวายตกใจด้วยความลนลาน
โฉมสุรางค์ตกใจตื่นและรีบวิ่งมาเปิดประตู “คุณแม่เป็นอะไรคะ”
“งู งู!” ราตรีพูดด้วยความลนลาน
โฉมสุรางค์เดินไปผลักประตูห้องราตรีเพื่อจะดูว่ามีอะไรกันแน่ แต่เมื่อเธอเดินเข้าไปกลับไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
“โธ่! คุณแม่คะ ท่าจะตาฝาดแล้วนะคะ งูที่ไหนคะ คุณแม่ดูสิ ไม่มีมีสักตัว”
ราตรีค่อยๆ เดินเข้ามาดูภายในห้องนอนของเธอเอง เธอมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน “แต่เมื่อตะกี้แม่เห็นจริงๆ นะโฉม มันเลื้อยขึ้นมาเกาะที่แขนแม่ ตรงพื้นข้างหน้านี้อีก มันเต็มไปหมดเลยนะ”
“โอ๊ยไม่เอาละค่ะ หนูไปนอนละ”
“คืนนี้แม่ขอไปนอนห้องลูกด้วยนะ แม่กลัว” ราตรียังคงอยู่ในอาการตกใจอยู่
เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในห้องนอนของเธอ อัคนีนาฏเทวีหัวเราะด้วยความสนุกใจ เธอมองเห็นสองแม่ลูกนั่นที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่า กำลังเผชิญกับอะไรอยู่
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ คฤหาสน์วารีมรกต ทิพย์ธิดาและรวีได้ออกมาทำบุญใส่บาตรบริเวณหน้าคฤหาสน์ และกรวดน้ำให้กับหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์
“ข้าพเจ้าขออุทิศผลบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ ให้แก่ หม่อมเจ้าอดิศร และหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้า ด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ”
ไม่ไกลจากทิพย์ธิดา ปรากฏเป็นวิญญาณของหม่อมเจ้าอดิศรยืนพนมมืออยู่ภายในแสงสว่างสีขาว และมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน เขาพูดขึ้นมาว่า “ฉันขอขอบใจเธอจริงๆ ทิพย์ธิดา”
ในเวลานี้หม่อมเจ้าอดิศรได้รับพลังแห่งบุญจากทิพย์ธิดาแล้ว เขารู้สึกสุขใจ
ทิพย์ธิดากลับขึ้นไปภายในห้องพระ เธอได้รวมจิตนั่งสมาธิอีกครั้งและนึกถึงหม่อมเจ้าอดิศร ไม่นานวิญญาณของหม่อมเจ้าอดิศรก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธออีกครั้ง แสงสว่างจากพลังวิญญาณของเขาส่องสว่างไปทั่วบริเวณห้องพระ
“วันนี้ฉันขอขอบใจเธอมากนะทิพย์ธิดา บุญที่เธอส่งมาฉันได้รับไว้แล้ว” เขาพูดด้วยความอ่อนโยน
“ท่านชายคะ ฉันอยากรู้เรื่องราวต่อจากวันนั้นค่ะ ท่านชายช่วยทำให้ฉันเห็นภาพราวนั้นอีกครั้งได้ไหมคะ”
ท่านชายอดิศรมองอย่างอ่อนโยนและพยักหน้า เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพในห้วงแห่งความทรงจำขึ้นมาอีกครั้งต่อหน้าเธอ… หลังจากที่อัคนีนาฏเทวีได้ลงมาช่วยนางสายใจจากอกาสูรแล้ว ในวันรุ่งขึ้นอกาสูรได้กลับมาที่คฤหาสน์อีกครั้ง เพื่อขอพบกับหม่อมเจ้าอดิศร ท่านชายนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น
“สวัสดีครับท่านชาย” อกาสูรกล่าวทักทาย
“เป็นยังไงบ้าง ท่านอกาสูร” ท่านชายกล่าว
“เมื่อคืนกระผมพบตัวนางสายใจแล้วครับ ตอนนี้นางสายใจไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป มันกลายเป็นแม่มดหมอผีไปแล้วครับ และคนที่ทำให้ท่านหญิงสวาทสุภาย์สิ้นใจก็คือนางสายใจ เมื่อคืนมันพยายามทำร้ายกระผม แต่โชคยังดีที่กระผมไม่เป็นอะไร กระผมพยายามจะจับตัวมันมาให้ได้ แต่มีบางอย่างที่มาช่วยให้มันหนีไปได้” ชายหนุ่มพูดด้วยความเจ็บใจ
ท่านชายสบตาอกาสูรด้วยความหวั่นใจ “ใครกันที่มาช่วยมันไปได้ ตอนนี้ยังมีใครอีก” เขามองออกไปที่นอกหน้าต่างด้วยความไม่สบายใจ
“ผู้ที่มาช่วยนางสายใจคือ อัคนีนาฏเทวี ครับ เธอมีอิทธิฤทธิ์มากพอที่สามารถดึงกริชอาคมของกระผมออกจากร่างของนางสายใจได้อย่างง่ายดาย เพราะลำพังกริชอาคมของกระผมแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถจะแตะต้องกริชนี้ได้”
“กระผมหวั่นใจเหลือเกินว่า การที่นางสายใจมีพลังคุณไสยที่มากแบบนี้ อาจจะไม่ใช่เพียงวิชาของไอ้เวทย์หมอผีพ่อของมันอย่างเดียว แต่อาจจะเกิดจากการรับพลังของอัคนีนาฏเทวีมาอีกด้วย”
ท่านชายอดิศรหันกลับมาสบตาอกาสูรด้วยความสงสัย ‘ท่านอกาสูร อัคนีนาฏเทวีเธอคือใคร แล้วทำไมถึงมาเกี่ยวข้องกับนางสายใจได้”
“ในอดีตกาล ตระกูลทุรวาสาของกระผมเป็นผู้ผนึกจอมอสูรร้ายนามว่า อัคนีนาฏเทวี เธอเคยขึ้นปกครองบ้านเมืองด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต และเธอมีอิทธิฤทธิ์มาก จนในที่สุดท่านพินทุ ผู้เป็นบรรพบุรุษของกระผมได้ทำการผนึกพลังของนางเอาไว้ กระผมสังหรณ์ใจไว้นานแล้ว ว่าวันหนึ่งนางจะต้องถูกปลดปล่อยอีกครั้ง”
อกาสูรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การที่กระผมเข้ามาช่วยตระกูลวารีมรกต มันก็มาจากลางสังหรณ์ของกระผม แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนางสายใจนี่เองที่เป็นคนไปปลดปล่อยจอมอสูรร้าย”
ท่านชายอดิศรยืนกอดอกด้วยท่าทีหวั่นใจ “นางสายใจมันคงเคียดแค้นครอบครัวของฉันเป็นอย่างมาก ถึงได้กล้าทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้”
อกาสูรพูดเสริม “อีกสองวันจะเป็นคืนวันพระจันทร์เสี้ยว มันจะเป็นคืนที่พลังของนางสายใจอ่อนลง บางทีกระผมอาจจะเรียกให้มันออกมาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่งได้ และมันก็น่าจะยังบาดเจ็บจากกริชอาคมของกระผมอยู่ครับ”
ท่านชายอดิศรพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “แล้วอัคนีนาฏเทวีล่ะ ท่านจะจัดการอย่างไร”
“ในเวลานี้กระผมคิดว่า อสูรร้ายคงรู้ตัวแล้ว ว่าพระขรรค์ที่เคยผนึกเธอไว้อยู่กับกระผม เธออาจจะไม่เสี่ยงที่จะเข้ามาทำร้ายกระผมในเวลานี้เป็นแน่ แต่อีกไม่นานเมื่อถึงเวลาของเธอ กระผมอาจจะขอให้ท่านชายช่วยกระผมอะไรสักอย่าง”
ท่านชายอดิศรสบตากับอกาสูรด้วยความสงสัย “ท่านจะให้ฉันช่วยสิ่งใดบอกมาได้เลย ฉันยินดีทุกอย่าง ในเมื่อเวลานี้ฉันรู้แล้วว่า สวาทสุภาย์ต้องตายเพราะใคร ฉันจะขอเป็นคนชดใช้ทุกอย่างให้กับดวงวิญญาณของเธอเอง” อกาสูรหันไปมองภาพถ่ายเล็กๆ ของหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์
“เมื่อใกล้ถึงเวลา กระผมจะบอกทุกอย่างกับท่านชายครับ” ท่านชายอดิศรพยักหน้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
ในระหว่างที่ทิพย์ธิดากำลังมองเห็นเรื่องราวในอดีต วิญญาณของหม่อมเจ้าชายอดิศรได้พูดขึ้นมาว่า
“ทิพย์ธิดา อีกไม่นานเจ้าจะมาเป็นผู้จบเรื่องราวนี้ทั้งหมด” ทิพย์ธิดาค่อยๆ ลืมตาขึ้นและหันไปสบตากับวิญญาณท่านชาย
“ฉันไม่เข้าใจค่ะท่านชาย ฉันจะเอาอะไรไปสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนั้นได้คะ”
ทันใดนั้น สร้อยพระขรรค์ที่เธอห้อยคออยู่ก็เกิดเปล่งแสงวูบวาบราวกับจะบอกอะไรเธอ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใจบางอย่างที่เธอเองก็ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เธอเอามือขึ้นกุมไว้ที่สร้อยพระขรรค์
“หรือท่านชายจะหมายถึงสร้อยพระขรรค์นี้คะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่านชายอีกครั้ง
เขาพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยน “พระขรรค์นี้เคยเป็นของตกทอดของอกาสูร เธอจงรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีๆ อีกไม่นานเธอจะต้องใช้สิ่งนี้” และวิญญาณของท่านชายก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป
ทิพย์ธิดาหันไปมองที่โกศอัฐิของหม่อมเจ้าอดิศรด้วยแววตารู้สึกขอบคุณ “ค่ะ ฉันจะรักษาไว้ให้ดี ขอบคุณนะคะท่านชาย”

- READ มรดกมนตรา บทที่ 17 : รอยยิ้มของซาตาน
- READ มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 15 : สังเวยรัก…แด่นางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
- READ มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
- READ มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้
- READ มรดกมนตรา บทที่ 11 : นางฟ้าในคราบอสรพิษ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 8 : ไฟสุมทรวง
- READ มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
- READ มรดกมนตรา บทที่ 6 : อดีตของวิญญาณร้าย
- READ มรดกมนตรา บทที่ 5 : นางอสูรคืนชีพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
- READ มรดกมนตรา : บทนำ







