
มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
โดย : วัชรนริศ
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
หญิงสาวตัดสินใจที่จะค้นหาความหมายของสร้อยพระขรรค์ด้วยตัวเอง หลังอาหารเช้า ทิพย์ธิดาเริ่มเดินสำรวจไปรอบๆ คฤหาสน์จนไปถึงเรือนไม้หลังเล็ก เธอเดินไปที่ประตูเพื่อที่จะดูว่าสามารถเข้าไปภายในได้หรือไม่ แต่ก็พบว่าประตูถูกคล้องด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ และยังมีโซ่ขนาดกลางที่ถูกพันธนาการไว้อีก ราวกับไม่ต้องการให้ใครมาเปิดมันอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจไปเดินเล่นภายในสวนดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก สวนดอกไม้ถูกจัดตกแต่งเป็นสวนสไตล์อังกฤษ มีน้ำพุและดอกไม้นานาชนิดสลับเรียงวางกันอย่างลงตัว โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่แข่งกันเบ่งบานเป็นพิเศษราวกับรอต้อนรับหญิงสาวอยู่
เธอเดินชมดอกไม้ด้วยความสดชื่น และเผลอคิดถึงภาพในความฝันของเธอ
‘ใช่สิ เมื่อคืนนี้ทุ่งดอกไม้ที่ฉันฝันเห็น มันคือสวนที่นี่จริงๆ ด้วย’
ในคืนนั้นหญิงสาวนอนไม่หลับและตื่นมาหลายครั้งเพราะเสียงลมที่พัดอยู่ภายนอก จนเกิดเป็นเสียงโหยหวน เธอจึงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อมาปิดหน้าต่าง
ในขณะที่หญิงสาวกำลังเอื้อมมือไปที่หน้าต่าง เธอก็สังเกตเห็นแสงไฟจากตะเกียงบางอย่างบริเวณเรือนหลังเล็ก “เอ๊ะ ที่นั่นไม่มีใครและนั่นใครกัน” เธออุทานด้วยความสงสัย
เธอจึงตัดสินใจตามลงไปดู เมื่อมาถึง เธอก็เห็นผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งในชุดสีดำ เสื้อปิดคอ ถือตะเกียงไฟค่อยๆ เดินนำเธอไปทางประตูเรือนหลังเล็ก
“ใครกันนะ” ทิพย์ธิดาพูดกับตัวเอง และแอบเดินตามหญิงสาวปริศนาไป
อยู่ๆ ผู้หญิงปริศนาก็เดินทะลุประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทิพย์ธิดาตกใจสุดขีด เธอรีบวิ่งหนีกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองในคฤหาสน์ หัวใจเธอเต้นรัวและความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเธอ
รุ่งเช้า ทิพย์ธิดาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้บุษบาฟัง
“คุณบุษบา ฉันขอถามอีกครั้งได้ไหมคะ ว่าจริงๆ แล้วที่เรือนหลังเล็กนั้น ไม่มีใครอยู่แล้วจริงๆ”
“ใช่ค่ะคุณ ที่นั่นไม่มีคนอยู่มานานแล้วนะคะ แล้วคุณถามทำไมหรือคะ หรือว่าไปเจออะไรมา”
“ถ้าดิฉันจะบอกว่าเมื่อคืนฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยู่ในชุดดำ เสื้อปิดคอ และก็ถือตะเกียงเดินหายเข้าไปภายในเรือนหลังเล็ก คุณจะเชื่อฉันไหมคะ”
บุษบาฟังด้วยความตั้งใจ ก่อนจะพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ที่นั่นไม่มีคนอยู่แล้วนะคะ คุณทิพย์ธิดา ที่คุณเห็นอาจจะตาฝาดไปเองค่ะ และประตูก็ล็อกไว้แน่นหนา ไม่มีทางที่จะมีใครเข้าไปได้หรอกค่ะ” ทิพย์ธิดารู้สึกไม่สบายใจแต่ก็เชื่อในคำพูดของบุษบา
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยพาฉันไปดูที่นั่นอีกครั้งได้ไหมคะ”
บุษบาพยักหน้า “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปพิสูจน์ให้เห็นว่าที่นั่นไม่มีใครอยู่จริงๆ”
เมื่อพวกเขามาถึงเรือนหลังเล็ก บุษบาพิสูจน์ให้ทิพย์ธิดาเห็นว่าประตูถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา
“คุณเห็นไหมคะ ประตูล็อกแน่น ไม่มีทางที่ใครจะเข้าไปได้”
ทิพย์ธิดามองดูเรือนหลังเล็กด้วยความรู้สึกที่ยังคงสับสน “ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ฉันเห็นอะไร”
บุษบาส่ายหน้าเบาๆ “อาจจะเป็นความเหนื่อยล้าหรือความกังวลที่ทำให้คุณเห็นภาพหลอนก็ได้ค่ะคุณ”
แต่ในใจของทิพย์ธิดา เธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรือนหลังเล็กนี้ และเธอต้องการค้นหาความจริงให้ได้
ค่ำคืนนั้นในคฤหาสน์วารีมรกต ทิพย์ธิดายังคงนอนไม่หลับเพราะเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินจากภายนอก เธอลุกขึ้นมาและเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูรอบๆ คฤหาสน์ ในตอนนั้นเอง เธอได้ยินเสียงร้องโหยหวนมาจากทางเรือนหลังเล็ก มันเป็นเสียงที่น่าสะพรึงกลัวและดึงดูดให้เธอออกไป
“เสียงนั้นอีกแล้ว…คราวนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าที่ฉันเห็นเมื่อคืนมันคืออะไรกันแน่” ทิพย์ธิดาพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกจากห้อง เธอเดินตามเสียงร้องนั้นไปจนถึงเรือนหลังเล็ก และเมื่อเธอไปถึง เธอเห็นหญิงสาวปริศนาคนเดิมถือตะเกียงไฟเดินหายเข้าไปในเรือนหลังเล็ก
“เธอคือใครกันนะ วันนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นคนหรืออะไรกันแน่” ทิพย์ธิดาพูดกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามไป คราวนี้เมื่อหญิงสาวมาถึงประตูของเรือนหลังเล็ก ประตูก็กลับเปิดออกเหมือนกับเปิดรอเธออยู่ เธอรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นได้
‘ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่’ ทิพย์ธิดาคิดกับตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนั้น เมื่อเข้าไปข้างใน เธอก็พบหญิงสาวถือตะเกียงกำลังยืนหันหลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” ทิพย์ธิดาถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ
หญิงสาวปริศนายังคงยืนหันหลังร้องไห้และไม่ตอบอะไร
เธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ยังพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าหญิงสาวที่ยืนหันหลังอยู่คือใครกันแน่ จนสุดท้าย หญิงสาวปริศนาก็หยุดร้องไห้และเริ่มแสยะยิ้มจนปากฉีกไปถึงใบหู เธอค่อยๆ หันหน้ามาทางทิพย์ธิดา
เมื่อทิพย์ธิดาได้เห็นหน้าของหญิงสาวปริศนา เธอก็ตกใจสุดขีด
“กรี๊ด!” เธอร้องด้วยความหวาดกลัวและวิ่งออกจากห้องทันที
ในขณะที่ทิพย์ธิดาวิ่งหนีออกจากเรือนหลังเล็กด้วยท่าทีรีบร้อน เธอก็ชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกเข้า
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” ทิพย์ธิดากล่าวด้วยเสียงตื่นตกใจ
ชายหนุ่มผู้นั้นคือ รวี หลานชายคนเดียวของหม่อมเจ้าอดิศร เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างสูงใหญ่ประมาณ 185 เซนติเมตร มีไหล่กว้างและรูปร่างสมส่วน บ่งบอกถึงความแข็งแรงและการรักษาสุขภาพอย่างดี ผิวของเขาขาวอมสีน้ำผึ้งที่ดูเนียนสะอาดสมกับฐานะตระกูลสูง
รวีมีใบหน้าที่คมคายและหล่อเหลา จมูกโด่งได้รูป ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายแสดงถึงความมุ่งมั่นและความสุขุม คิ้วหนาเรียงตัวได้รูปทำให้ดวงตาของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ริมฝีปากบางเรียวมักแสดงรอยยิ้มเล็กๆ ที่แฝงไปด้วยความเป็นมิตรแต่ก็มีความเย็นชาและความลึกลับซ่อนอยู่ เขามักมีท่าทางสุขุม นิ่งเฉย แต่ในบางครั้งก็แสดงออกถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนโดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้คนที่เขาไว้ใจ
ชายหนุ่มสวมชุดสูทแบบตะวันตกที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและความมีรสนิยมของชนชั้นสูงในสมัยนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวบริสุทธิ์ ปกแข็งเรียบตัดเย็บจากผ้าคุณภาพสูง สวมทับด้วยเสื้อสูทสากลสีเทาเข้ม ซึ่งมีการตัดเย็บที่พอดีตัว ช่วยเน้นสรีระอันแข็งแรงของเขาได้อย่างลงตัว เสื้อสูทมีกระดุมสองเม็ดทำให้ดูเป็นทางการแต่ยังคงความสง่างาม
ที่ด้านในเสื้อสูทมีเสื้อกั๊กผ้าซาตินสีดำ ที่ช่วยเสริมท่าทางของเขาให้ดูหรูหรา เขาคาดเนกไทผ้าลายทางสีกรมท่าประดับด้วยลวดลายสีเงินอ่อน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นใจและความมีรสนิยม
กางเกงสวมพอดีตัวเป็นกางเกงสแล็กสีดำ ที่ตัดเย็บจากผ้าขนสัตว์แท้เพื่อความนุ่มสบายและทนทาน รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มที่เขาสวมมีความเงาวับ สะท้อนถึงความพิถีพิถันและความใส่ใจในรายละเอียด
รวีมักถือนาฬิกาพกสีเงินที่มีลวดลายสลักละเอียด ซึ่งเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นเครื่องประดับที่สะท้อนถึงฐานะและความเชื่อมโยงกับอดีตของเขา
เขามองทิพย์ธิดาด้วยความสงสัย
“คุณเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น และมาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน…ฉันชื่อทิพย์ธิดาค่ะ ฉันได้ยินเสียงร้องจากเรือนหลังเล็กและเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง…มันน่ากลัวมาก” ทิพย์ธิดากล่าวด้วยเสียงสั่นและท่าทีตื่นกลัว
ชายหนุ่มพยักหน้า “ดึกมากแล้ว คุณไม่ควรมาอยู่แถวนี้นะครับ ยังไงให้ผมเดินไปส่งคุณที่คฤหาสน์ก่อนดีกว่า”
หญิงสาวพยักหน้ารับ และเดินกลับไปที่คฤหาสน์ ระหว่างทางหญิงสาวได้เอ่ยปากถามเขา
“เอ่อ…ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ ทำไมถึงมาเดินแถวนี้เหมือนกัน”
“ผมชื่อรวีครับ เป็นหลานชายของหม่อมเจ้าอดิศร ผมได้ข่าวจากคุณทนายว่าคุณทิพย์ได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ผมจึงตั้งใจแวะมาดูความเรียบร้อยของที่นี่ครับ”
หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่ามีสมาชิกเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้พบกับรวี แต่ในใจของเธอยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้พบในเรือนหลังเล็กและหญิงสาวปริศนาที่ปรากฏตัวในคืนนี้
ในขณะที่ทิพย์ธิดาและรวีเดินกลับไปที่คฤหาสน์วารีมรกต ทั้งสองคนยังคงรู้สึกสงสัยและกังวลกับสิ่งที่เพิ่งพบเจอ พวกเขาเดินกลับไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงก้าวเท้าบนพื้นกรวดที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงคฤหาสน์ บุษบาก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ
“คุณทิพย์ คุณรวี นี่พวกคุณได้เจอกันแล้วหรือคะ”
บุษบาถามด้วยความประหลาดใจ “ดิฉันว่าจะบอกคุณทิพย์พรุ่งนี้เช้าอยู่แล้วเชียวว่าคุณรวีจะแวะมาที่นี่เพื่อดูความเรียบร้อยค่ะ”
ทิพย์ธิดาหันมามองรวีด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณนะคะ คุณรวี”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนๆ “ไม่เป็นไรครับ”
บุษบามองไปที่ทิพย์ธิดาและรวีด้วยความรู้สึกเอ็นดู ทิพย์ธิดาและรวีต่างก็เขินอายเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ บุษบาจึงกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อน คุณทั้งสองรีบพักผ่อนกันนะคะ”
หลังจากนั้นบุษบาก็เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ ปล่อยให้หญิงสาวและชายหนุ่มมีเวลาส่วนตัวในการพูดคุย
“คุณรวีคะ ตั้งแต่ที่ฉันมาถึงที่นี่ก็ฝันประหลาด แถมยังต้องมาเจอกับเรื่องเมื่อครู่นี้อีก ฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ฝันประหลาดที่ว่า ฝันว่าอะไรหรือครับ”
“ถ้าฉันเล่าไป คุณต้องหาว่าฉันเสียสติอีกคนหนึ่งแน่”
“ผมเชื่อนะครับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป และผมก็คิดว่า เราควรมีโอกาสที่จะได้รับรู้สิ่งสิ่งนั้นด้วย”
“ฉันฝันเห็นท่านชายอดิศรค่ะ ท่านมาให้ฉันเห็นในความฝัน ท่านนำสิ่งนี้มามอบให้กับฉัน” หญิงสาวพูดและหยิบสร้อยพระขรรค์ที่ห้อยคอออกมา รวีมองสร้อยพระขรรค์ด้วยความประหลาดใจและสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
“หากทั้งหมดนี้คือความฝันจริง แล้วทำไมเมื่อฉันตื่นมาถึงได้มีสิ่งนี้อยู่กับตัว” หญิงสาวพูดด้วยเสียงที่จริงจัง
“ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่คุณว่า ผมคิดว่าท่านลุงอาจจะต้องการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง และการที่ท่านเลือกให้คุณมาเป็นผู้สืบทอดมรดก อาจจะมีเหตุผลสำคัญครับ”
รวีสบตาหญิงสาวด้วยความห่วงใยและรู้สึกสงสัย “นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมว่าเรากลับเข้าภายในตึกกันก่อนเถอะครับ” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับวันต่อไปที่จะต้องเผชิญหน้ากับความลึกลับที่ยังคงซ่อนอยู่ในเงามืดของคฤหาสน์นี้