มรดกมนตรา บทที่ 20 : มนตร์ร้อยเล่ห์เทวีเลือด

มรดกมนตรา บทที่ 20 : มนตร์ร้อยเล่ห์เทวีเลือด

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

ภายในบ้านของราตรี เธอกำลังนอนอยู่เตียงที่กำลังพักฟื้นของเธอ แม่บ้านเปิดประตูห้องเข้ามาโดยมีสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ วิ่งเข้ามา

“เจ้าปุยเป็นยังไงบ้าง ป้าช่วยอุ้มเจ้าปุยมาให้ฉันที” ราตรีบอกแม่บ้าน ในขณะที่ราตรีอุ้มสุนัขของเธอ สายสิญจน์ที่ผูกอยู่บนข้อมือเธอก็เกิดหลุดโดยที่เธอไม่รู้ตัว

“คุณราตรีคะ ตอนเย็นป้าเอาข้าวต้มมาเสิร์ฟให้คุณนะคะ” ราตรีพยักหน้ารับ

ในเวลากลางดึกที่เงียบสงัดภายในห้องนอนของราตรี ปลายเตียงของเธอเริ่มปรากฏร่างของอัคนีนาฏเทวีขึ้น

เทวีจ้องมองราตรีด้วยสายตาที่เยือกเย็นและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ปลายเตียง ในขณะเดียวกัน ราตรีก็เริ่มฝันถึงความฝันที่น่ากลัว

ราตรีฝันว่าเธออยู่ภายในห้องที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย เธอตื่นเต้นและดีใจเลยรีบลงไปโกยทรัพย์สมบัติเหล่านั้น อยู่ๆ ก็ปรากฏร่างของอัคคีรัตน์ขึ้น “ดูเหมือนคุณราตรีจะต้องการทรัพย์สมบัติเหล่านี้มากเลยนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ราตรีหันไปมองและอุทานขึ้นด้วยความตกใจ “คุณอัคคีรัตน์ ที่นี่ที่ไหนคะแล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้” เธอมองหน้าอัคคีรัตน์ด้วยความหวาดระแวง

“ตกลงมันคือความจริงหรือฉันกำลังฝันอยู่กันแน่”

อัคคีรัตน์ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้และหัวเราะ “คุณราตรีก็คิดดีๆ สิคะว่านี่เรื่องจริงหรือความฝัน ดิฉันได้ข่าวมาว่าคุณขาหักอยู่ไม่ใช่หรือคะ” ราตรีนึกขึ้นได้และเริ่มรู้สึกใจสั่น

“ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้มันคือความฝัน แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้” อัคคีรัตน์ยิ้มอย่างมีเลศนัย

“คุณคิดว่าอยู่ๆ ที่ดิฉันมอบหีบเครื่องเพชรให้คุณและลูกสาวไปใส่อย่างง่ายๆ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือคะ พวกคุณสองคนแม่ลูกก็ช่างโลภเหลือเกินนะคะ ไม่เอะใจอะไรบ้างหรือคะ” ไม่นานก็มีร่างของคุณหญิงช่อผกาค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด และหยุดยืนอยู่ข้างๆ ของอัคคีรัตน์ ราตรีอุทานเมื่อเห็นเธอ

“คุณหญิงช่อผกา! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี้ได้” ราตรีเริ่มสับสน คุณหญิงช่อผกายืนนิ่งด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับศพที่ไม่มีเลือด แววตาของเธอเย็นชา

อัคคีรัตน์หัวเราะเบาๆ “นี่ไงคะ ผลงานของดิฉัน” เธอพูดและหันไปมองร่างของคุณหญิงช่อผกา

“ไม่นานมานี้ คุณหญิงช่อผกาเธอได้ยินข่าวจากลูกสาวคุณว่า ดิฉันได้ให้พวกเครื่องเพชรพวกคุณไปยืมใส่เล่นๆ พอเธอรู้ก็รีบมาหาดิฉันถึงบ้านด้วยตัวเองเลยนะคะ ดิฉันก็เลยให้เธออยู่เฝ้าสมบัติของเธอที่บ้านดิฉันไปเลย”

ราตรีรู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางแววตาของอัคคีรัตน์ “คุณหมายความว่ายังไงคะ”

เธอหันมาสบตากับราตรีด้วยแววตามีเลศนัย “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ การที่คุณหญิงกับดิฉันมายืนอยู่ตรงนี้ได้มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะคะ จริงๆ แล้วคุณหญิงช่อผกาเธอก็เป็นคนน่ารัก แต่ติดตรงที่โลภมากไปหน่อย ถ้าเธอไม่ได้โลภมากขนาดนี้ ฉันก็คงอาจจะแค่สะกดจิตเธออย่างเดียวก็คงจะเพียงพอแล้ว แต่บังเอิญเธอก็เข้ามาวุ่นวายกับดิฉันมากไปหน่อย ฉันก็เลยให้เธอเป็นผีเฝ้าสมบัติให้ดิฉันซะเลย”

“อะไรนะ!” ราตรีอุทานด้วยความตกใจ “คุณกำลังหมายถึงว่าคุณหญิงเธอ…ตายแล้วหรือ”

อัคคีรัตน์ยิ้มที่มุมปาก “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แค่ให้ผีทั้งหลายที่ฉันเลี้ยงไว เข้าไปอยู่ในร่างของเธอ แต่อีกไม่นานหรอกนะคะ คุณหญิงช่อผกาก็จะค่อยๆ ถูกวิญญาณผีพวกนี้กินเครื่องในของเธอทีละเล็กทีละน้อย และตอนนี้ฉันก็คิดว่าได้เวลาของคุณละ บางทีคุณหญิงคงอยากได้คนมาอยู่เป็นเพื่อน”

“แก พูดอะไรของแก พวกแกมันเป็นโรคประสาทไปกันหมดแล้ว” ราตรีรู้สึกกลัวและเริ่มลนลาน

อัคคีรัตน์ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ตัวเธอ พร้อมทั้งคุณหญิงช่อผกาในร่างของผีดิบ ด้วยความกลัวราตรีค่อยๆ เดินถอยหลังและล้มลง

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอร้องละ ฉันไม่ได้อยากได้แล้วสมบัติบ้าบออะไรพวกนี้ พวกคุณเอาของคุณคืนไปเถอะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

อัคคีรัตน์ยิ้มและหัวเราะ “คุณคิดว่าทำไมดิฉันต้องไว้ชีวิตคุณด้วยล่ะ คุณช่วยบอกเหตุผลฉันมาสักข้อสิคะคุณราตรี” เธอเสียงสั่นพร้อมกับพนมมือร้องขอชีวิต

“คุณอัคคีรัตน์คะ ดิฉันขอโทษ คุณอย่าทำอะไรดิฉันเลยนะคะ”

อัคคีรัตน์ยังคงยิ้ม “ดิฉันคิดว่า สมบัติพวกนั้นและคุณหญิงช่อผกาคงอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ”

เมื่อนั้น ดวงตาของอัคคีรัตน์ก็เปลี่ยนเป็นเปลวไฟภายในดวงตา พลังแห่งความชั่วร้ายค่อยๆ ออกมาจากร่างของเธอราวกับเป็นควันสีดำที่พุ่งเข้าใส่ร่างของราตรี ทำให้ราตรีสิ้นใจตรงนั้นทันที

 

เสียงเคาะประตูของแม่บ้านดังขึ้นในรุ่งเช้า “คุณราตรีคะ ตื่นหรือยังคะขอป้าเข้าไปนะคะ”

เมื่อแม่บ้านเข้าไปถึงก็ต้องร้องด้วยความตกใจ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ร่างของราตรีที่นอนตาค้างอยู่ราวกับตกใจบางสิ่งบางอย่างสุดขีด

“ช่วยด้วย ใครอยู่แถวนี้บ้าง ช่วยด้วย” เด็กรับใช้ในบ้านที่เหลือและโฉมสุรางค์ได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมาที่ห้องของราตรี โฉมสุรางค์อุทานด้วยความตกใจ “คุณแม่!” เธอรีบเดินเข้าไปกอดร่างของราตรีและร้องไห้

“ไปตามรถพยาบาลเร็ว” เธอหันไปบอกกับแม่บ้าน

ในเช้าวันนั้น ราตรีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โฉมสุรางค์นั่งรอข่าวจากแพทย์อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่นานนายแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินได้เดินออกมา

“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คุณแม่ของคุณจากไปอย่างสงบแล้ว” โฉมสุรางค์ทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกสับสน เธอร้องไห้และล้มลงไปนั่งที่เก้าอี้ ในเวลานี้เธอรู้สึกหวาดกลัวและสับสน เธอตั้งสติและรีบโทร.หารวี

ณ คฤหาสน์วารีมรกต เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บัวเด็กรับใช้รับสาย “สวัสดีค่ะ คฤหาสน์วารีมรกตค่ะ

“นี่ฉันโฉมสุรางค์นะ ขอสายคุณรวีหน่อย” ชายหนุ่มกับทิพย์ธิดานั่งอยู่บริเวณศาลาหน้าบ้าน บัวเด็กรับใช้เดินไปบอกชายหนุ่ม “คุณรวีคะ คุณโฉมสุรางค์โทรมาค่ะ”

ชายหนุ่มรีบเดินไปรับสาย “สวัสดีครับ”

“รวีคะ คุณแม่โฉมท่านเสียแล้วนะคะ” เธอพูดปนเสียงร้องไห้

“อะไรนะครับ เกิดอะไรขึ้นครับ”

“คุณหมอบอกว่าคุณแม่เสียชีวิตเพราะความดันสูงผิดปกติค่ะ แต่เมื่อวานคุณแม่ยังคุยกับโฉมดีๆ อยู่เลย โฉมไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เพราะคุณแม่เป็นคนที่แข็งแรงมาก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

“คุณโฉมทำใจดีๆ ไว้นะครับ ผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้ครับ” เขาพูดด้วยท่าทางกังวล

ทิพย์ธิดาหันมามองรวีด้วยความหวั่นใจว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นคะคุณรวี คุณโฉมเธอเป็นอะไรคะ”

ชายหนุ่มหันมาสบตาเธอด้วยสายตาจริงจัง “ตอนนี้คุณราตรีเธอเสียชีวิตแล้วครับ”

“อะไรนะคะ เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ

“คุณโฉมบอกว่า เธอมีอาการความดันโลหิตสูงผิดปกติน่ะครับ วันนี้เราอาจจะต้องเดินทางไปช่วยงานศพแม่ของเธอเลย” ทิพย์ธิดาพยักหน้ารับ

 

เย็นวันนั้นที่วัดแห่งหนึ่งในพระนคร ทิพย์ธิดาและรวีอยู่ช่วยรับแขกกับโฉมสุรางค์ภายในงาน เสียงรถยนต์หรูหยุดจอดบริเวณไม่ไกลจากศาลาสวด โฉมสุรางค์เห็นอัคคีรัตน์เดินลงมาจากรถพร้อมคนขับรถที่ถือพวงหรีดมาแสดงความเสียใจภายในงาน เธอ รวีและทิพย์ธิดาเดินไปต้อนรับอัคคีรัตน์

“สวัสดีค่ะ” อัคคีรัตน์ทักทาย ทั้งสามยกมือไหว้สวัสดีเธอ

“ขอบคุณมากนะคะที่มา” โฉมสุรางค์พูดด้วยน้ำเสียงปนน้ำตา

“ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับคุณและครอบครัวด้วยนะคะ ไม่คิดเลยว่าเราเพิ่งได้พูดคุยกัน ก็ด่วนจากไปแล้ว”

เธอได้นำพวงหรีดมอบให้กับโฉมสุรางค์ “ดิฉันขอแสดงความเสียใจอีกครั้งนะคะ”

“เชิญคุณอัคคีรัตน์เข้าไปในงานก่อนนะครับ” รวีพูดเสริม

“ดิฉันอาจจะขอส่งดอกไม้ให้แค่ตรงนี้นะคะ เพราะปกติดิฉันมีความเชื่อเกี่ยวกับการร่วมงานอวมงคลน่ะค่ะ”

ทั้งสามมองหน้าอัคคีรัตน์ด้วยความตกใจกับคำพูดของเธอ “ดิฉันเคยมีความทรงจำไม่ค่อยดีเกี่ยวกับงานพิธีพวกนี้นะคะ แล้วกลัวตัวเองจะเข้าไปแล้วต้องร้องไห้ด้วย”

เธอหันไปพูดกับทิพย์ธิดาและรวี “หลังจากเสร็จงานศพแล้ว ถ้าไม่รังเกียจไว้ดิฉันขอไปเยี่ยมพวกคุณที่คฤหาสน์บ้างนะคะ ดิฉันมีเรื่องจะปรึกษา” ทั้งสองพยักหน้า

ทิพย์ธิดาตอบอัคคีรัตน์ด้วยความสงสัย “ยินดีค่ะ ดิฉันเองก็มีเรื่องอยากจะสอบถามกับคุณอยู่เหมือนกัน”

“หรือคะ ไว้ดิฉันจะรีบไปพบพวกคุณนะคะ ดิฉันขอตัวก่อน” เธอพูดจบและรีบขึ้นรถทันที ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถของเธอ อัคคีรัตน์รู้ตัวดีว่าเธอไม่สามารถเข้าไปร่วมงานได้ เพราะเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์เธอจึงทำได้เพียงส่งดอกไม้เท่านั้น

หลายวันผ่านไป นายจอมเด็กรับใช้กำลังถางหญ้าอยู่บริเวณหลังบ้านไม่ไกลกันมีสระน้ำธรรมชาติอยู่ จู่ๆ จอมก็สังเกตเห็นกล่องไม้ลวดลายแปลกๆ บางอย่างลอยมาติดอยู่กับขอบสระ เขาจึงเดินไปหยิบขึ้นมาดู พลิกซ้ายพลิกขวา

“เอ๊ะ นี่มันคุ้นๆ มันเหมือน…เฮ้ยนี่มันกล่องไม้ที่อยู่บนห้องพระ แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”

นายจอมรีบนำกล่องเดินกลับมาที่ห้องครัวที่เรือนคนใช้ ป้าแก้วกับลุงวินัยและนางบัวกำลังนั่งทานข้าวกันอยู่

นายจอมพูดกับบัว “เฮ้ยนางบัว เอ็งช่วยมาดูหน่อยว่านี่มันใช่กล่องไม้ที่พวกคุณๆ เขาตามหากันอยู่ไหมวะ”

“ไหน เอามาดูซิ” บัวเดินเข้าไปหยิบกล่อง “เฮ้ย นี่มันกล่องที่อยู่ในห้องพระจริงๆ ด้วย แล้วพี่ไปเจอที่ไหน”

“แถวสระน้ำหลังคฤหาสน์” นายจอมมีท่าที่สงสัย

“แปลว่ามันต้องมีคนขโมยไปแล้วเอามาโยนทิ้งแถวนั้นแน่เลยพี่ ฉันจะรีบเอาไปให้พวกคุณเขา” บัวยังไม่ทันพูดจบ บุษบาก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางเย็นชา

“พวกเธอคุยอะไรกัน” บุษบาสังเกตเห็นกล่องในมือของบัว

“นั่นมันอะไร เอามาให้ฉันดูซิ” บุษบารีบคว้ากล่องทันที

บัวพูดเสริมว่า “มันเป็นกล่องที่พวกคุณตามหากันอยู่ไม่ใช่หรือคะ พี่จอมแกเขาไปเจอตรงสระน้ำท้ายคฤหาสน์

จอมพูดต่อ “ใช่ครับ ผมกับบัวจะเอาไปให้พวกคุณอยู่พอดี” บุษบามองมาด้วยแววตาเย็นชา

“ขอบใจพวกเธอสองคนมาก ฉันจะเอาไปให้คุณทิพย์ธิดาเอง” บุษบาเดินออกมาจากห้องครัว และพูดกับตัวเอง

“ไอ้กล่องเทพมนตราบ้าอะไรนี่มันยังอยู่อีกหรือ ฉันคงต้องเอาไปจัดการเอง” นางสายใจเดินไปที่ด้านหลังของเรือนหลังเล็ก

เธอโยนกล่องเทพมนตราลงไปที่สนาม เธอพยายามใช้พลังที่พอจะมีอยู่หวังจะทำลายกล่องนั้น ดวงตาของเธอกลายเป็นสีดำสนิท กลุ่มควันสีดำบางอย่างออกมาจากร่างของเธอ ควันสีดำนั้นได้พุ่งเข้าใส่กล่องเทพมนตราหวังว่าจะเผาทำลายให้สิ้นซาก แต่ทันใดนั้นฝาของกล่องก็ถูกเปิดออกเกิดแสงสีทองส่องประกายออกมาจากกล่อง ในเวลานี้กล่องเทพมนตราพยายามจะดูดวิญญาณของนางสายใจให้หลุดออกจากร่างของบุษบา เธอพยายามยื้อตัวเองเพื่อไม่ให้วิญญาณของเธอหลุดออกจากร่างของบุษบา

“ช่วยฉันด้วยเทวี” วิญญาณนางสายใจร้องเรียกหานายของเธอ

ปักษาดำกับสมิงดงในร่างของมนุษย์ได้ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองได้ใช้พลังของตนสะบัดใส่กล่องเทพมนตรา จนทำให้ฝาของกล่องต้องถูกปิดลงไป ทั้งสองเดินเข้าไปหาบุษบาที่กำลังล้มลงไปนั่งด้วยความอ่อนแรง สมิงดงพูดกับเธอว่า

“นางสายใจเจ้าจะคิดทำการอันใด เจ้ารู้ไหมว่าลำพังวิญญาณผีชั่วๆ อย่างเจ้า หรือแม้แต่พวกข้าสองคน ก็ไม่มีทางที่จะทำลายกล่องเทพมนตรา แม้กระทั่งเทวีเองก็ไม่มีทางทำลายลงได้”

ปักษาดำพูดเสริม “มีทางเดียวคือต้องนำมันมอบให้กับเทวี ท่านจะเป็นคนเก็บซ่อนมันไว้เอง ถ้าหากเจ้ากล่องนี้มันกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์นั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้งตัวเจ้าและพวกข้าต่างก็ไม่ปลอดภัย”

นางสายใจที่อยู่ในร่างของบุษบามีท่าทีอิดโรย “ข้าเข้าใจแล้วพวกท่าน ข้าขอโทษ ตอนนี้เทวีอยู่ที่ไหนกัน”

“ในเวลานี้ เทวีกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ภายในเทวาลัยของท่าน อีกไม่กี่วันนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง มันเป็นคืนที่ท่านและเราทุกคนก็รู้ดีว่า ต้องมีการสังเวยเลือดแด่ท่าน” สมิงดงพูดด้วยท่าที่แข็งกร้าว

ภายในเทวาลัยของอัคนีนาฏเทวี เธอได้นั่งสมาธิบำเพ็ญภาวนาอยู่ภายในห้อง โดยมีเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบๆ เมื่อนั้น ปักษาดำและสมิงดงก็ปรากฏตัวขึ้น “เทวี ข้ามีบางอย่างจะมอบให้ท่าน” ปักษาดำพูดกับเธอ

“นางสายใจอีกละสิ พวกเจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่า นางสายใจเจอกล่องเทพมนตรา และก็พยายามทำลายมันใช่ไหมล่ะ” สมิงดงและปักษาดำหันหน้ามองกัน

“นางสายใจตอนนี้มันเป็นแค่วิญญาณธรรมดาที่ต้องอาศัยร่างของบุษบาอยู่ ลำพังแค่จะใช้พลังจากวิญญาณชั่วทำลายกล่องเทพมนตรี มันคงจะยาก พวกเจ้าก็รู้ว่าไม่มีผู้ใดทำลายกล่องนั้นได้” อัคนีนาฏเทวีค่อยๆ ลืมตาขึ้น และลุกเดินเข้ามาหาผู้รับใช้ทั้งสองของเธอ สมิงดงยื่นกล่องเทพมนตราให้กับเธอ

“ต่อไปนี้ข้าจะนำกล่องเทพมนตราไปซ่อนไว้ ในที่ที่จะไม่มีใครเอามันมาใช้ทำลายพวกเราได้อีก จะเหลือก็แค่อย่างเดียว คือ พระขรรค์เพลิงพยัคฆ์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้น

 



Don`t copy text!