มรดกมนตรา บทที่ 26 : เวรกรรมสั่งล้าง

มรดกมนตรา บทที่ 26 : เวรกรรมสั่งล้าง

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

รุ่งเช้าวันต่อมา ภายในห้องพระของคฤหาสน์วารีมรกต ธูปและเทียนได้ถูกจุดขึ้น เบื้องหน้าเป็นพระพุทธรูปโบราณและรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ ทิพย์ธิดากำลังนั่งสมาธิอีกครั้งเพื่อพยายามติดต่อกับหม่อมเจ้าอดิศร เธอหลับตาลงและกำหนดจิต ผ้าม่านบริเวณหน้าต่างห้องพระพลิ้วไหวไปกับสายลมเล็กน้อย ไม่นาน วิญญาณของหม่อมเจ้าอดิศรก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

“ทิพย์ธิดา เธอมาแล้วหรือ” ท่านชายพูดและมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนและอบอุ่น

ท่านชายพูดต่อ “เธอพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดต่อแล้วใช่ไหม” เมื่อสิ้นเสียงท่านชายภาพในอดีตก็ถูกย้อนกลับไปอีกครั้ง…

ยามค่ำคืนของคฤหาสน์วารีมรกต มีไอ้โม่งหัวขโมยกำลังปีนรั้วกำแพงข้ามเข้ามาในคฤหาสน์ เพื่อหวังว่าคืนนี้มันจะต้องได้ทรัพย์สินมีค่าบางอย่างไปจากที่นี่ เมื่อมันเข้ามาได้แล้วมันอาศัยความมืดจากต้นไม้รอบๆ เดินหลบเข้ามาจนถึงคฤหาสน์ ในเวลานี้ทุกคนภายในคฤหาสน์ได้เข้านอนกันไปหมดแล้ว มีเพียงนายวินัยซึ่งเป็นคนขับรถเดินตรวจตรารอบๆ บริเวณบ้าน หัวขโมยที่เข้ามาพยายามปีนหน้าต่างเข้าไปภายในตึก นายวินัยที่กำลังเดินถือตะเกียงส่องไฟอยู่ ก็พบเข้ากับไอ้โหม่งที่กำลังจะปีนเข้าหน้าต่างของตึก

“เฮ้ย ขโมยๆ ใครอยู่แถวนี้มาช่วยกันหน่อยเร็ว” วินัยตะโกนไล่จับขโมย

ในขณะที่ไอ้โหม่งก็ตกใจกับเสียงของวินัย มันจึงโดดกลับลงมาและพยายามวิ่งออกไปทางด้านหลังของคฤหาสน์ ทันใดนั้นในความมืดก็ปรากฏร่างของนางสายใจที่กำลังเดินถือตะเกียงหันหลังอยู่ หัวขโมยจึงวิ่งเข้าไปล็อกที่คอของเธอ “อย่าแหกปากนะ ถ้าหากแหกปากข้าจะฟันคอให้ตายเดี๋ยวนี้ละ” นางสายใจยังคงนิ่งเฉยและไม่พูดจาอะไร

หัวขโมยพยายามล็อกคอเธอและดึงตัวเธอให้ค่อยๆ ตามไป แต่ไม่นานในระหว่างที่กำลังล็อกคอของเธอนั้น ร่างของนางสายใจก็ค่อยๆ แห้งลงและกลายเป็นซากศพ หัวขโมยตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“เฮ้ย อะไรกันวะ ผี ผี ผีหลอก” มันร้องด้วยความกลัวและพยายามวิ่งไปที่รั้วเพื่อจะปีนออกไป

แต่ยังไม่ทันจะถึงรั้ว นางสายใจก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงหน้าของหัวขโมย เธอค่อยๆ เดินประจันหน้ากับขโมย เขากลัวและค่อยๆ เดินถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ “เอ็งเป็นใคร อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ”

นางสายใจค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และเล็บบนมือของเธอก็ค่อยๆ ยาวออกมาราวกับเป็นกรงเล็บของสัตว์

จนในที่สุด นางสายใจก็เดินมาถึงร่างของหัวขโมย หล่อนใช้เล็บที่แหลมคมฉกเข้าไปที่ท้องของหัวขโมยนั้น ไอ้โหม่งขาดใจทันที “ไอ้พวกหัวขโมยคิดจะมาขโมยของที่นี่งั้นหรือ” นางสายใจพูดปนหัวเราะด้วยความสะใจ

ท่านชายอดิศรลงมาดูบริเวณชั้นล่างของตึก “เกิดอะไรขึ้นวินัย เมื่อกี้ฉันยังได้ยินเสียงว่ามีขโมย”

“ตะกี้กระผมออกมาเดินตรวจดูความเรียบร้อย แต่ก็พบเข้ากับขโมยครับท่านชาย มันพยายามจะปีนเข้าทางหน้าต่าง แต่ตอนนี้มันวิ่งหนีออกไปทางสวนท้ายคฤหาสน์แล้ว กระผมเลยวิ่งตามไป แต่ก็ไม่พบมันแล้วครับ”

“เอาอย่างนี้นะวินัย นี่ก็ดึกมากแล้ว วินัยกับพวกบ่าวไพร่ไปพักผ่อนเถอะ มันคงไม่กลับมาแล้วละ แต่ยังไงระหว่างคืนนี้ ประตูหน้าต่างอะไรก็ปิดกันให้ดีๆ ล่ะ” ท่านชายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

เมื่อท่านชายกลับขึ้นห้องนอนของเขาและล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ในความสลัวภายในห้องนอนก็ค่อยๆ ปรากฏควันสีดำขึ้น และเผยร่างของนางสายใจ เธอเดินเข้าไปนั่งข้างๆ บนเตียงใกล้กับท่านชายด้วยท่าทีอ่อนโยน เธอมองเขาด้วยแววตาที่หลงรักและคิดถึง ท่านชายที่กำลังหลับอยู่ไม่รู้เลยว่านางสายใจได้ปรากฏตัวและอยู่ใกล้ๆ กับเขา เธอค่อยๆ ใช้หลังมือของเธอลูบไปบนบริเวณแก้มของท่านชายอย่างเบาๆ

“ท่านชายเพคะ ท่านชายจะรู้ไหมว่าข้าคิดถึงท่านมากแค่ไหน ต่อให้ท่านทำร้ายข้ามากกว่านี้ข้าก็ไม่อาจที่จะหยุดรักท่านได้ ข้ารักท่านเหลือเกิน” เธอพูดปนเสียงสั่นเล็กน้อย

ท้องฟ้าในยามเช้าค่อยๆ สว่างขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบเข้ากับคฤหาสน์อย่างอ่อนโยน ท่านชายอดิศรลงมาตักบาตร และกรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวร และหม่อมเจ้าหญิงสวาทย์สุภาผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา

“น้องหญิงไม่ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ที่ไหน พี่ขอให้เธอมีความสุขนะ” เขากรวดน้ำและพูดกับตัวเอง

ภายในห้องพิธีของอกาสูร เขากำลังนั่งสมาธิเพื่อกำลังเตรียมพิธีในค่ำคืนนี้ เขาลืมตาขึ้นและพูดกับตัวเอง

“วันนี้จะเป็นคืนพระจันทร์เสี้ยวแล้วสินะ หากข้าไม่รีบใช้ช่วงเวลานี้จัดการกับพวกอสูรร้าย ข้าก็คงต้องรอไปอีกนานเลยทีเดียว” ในเย็นวันนั้นอกาสูรได้เดินทางกลับมาที่คฤหาสน์วารีมรกต ท่านชายอดิศรเดินลงมาต้อนรับ

“สวัสดีครับท่านชาย กระผมจะมาบอกท่านว่า วันนี้จะเป็นวันที่พลังของนางสายใจจะอ่อนแรงลง กระผมจะใช้เวลานี้ในการทำลายพลังของมัน” เขาพูดด้วยแววตาห้าวหาญ

ท่านชายอดิศรรู้สึกถึงความตั้งใจของอกาสูร “และท่านอกาสูรต้องใช้อะไรบ้าง ฉันจะให้บ่าวไพร่ไปเตรียมทุกอย่างที่ท่านต้องการ”

“กระผมขอใช้ห้องพระของท่านชายในการทำพิธีครับ และขอให้ทุกคนอยู่แต่ภายในห้องของตัวเอง หากได้ยินเสียงอะไรก็อย่าออกมาเป็นอันขาด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน” ท่านชายพยักหน้า

ในที่สุดความมืดของยามราตรีก็มาถึง ภายในห้องพระที่มีแสงสว่างจากเทียนส่องสว่างไปทั่วห้อง อบอวลไปด้วยกลิ่นธูปหอมที่ถูกจุด และเบื้องหน้าของอกาสูรคือพระพุทธรูปและเทวรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ เขากำลังหลับตานั่งสมาธิ และท่องบทพระเวทมนตรา ไม่ไกลจากตัวเขา มีขันเงินที่มีน้ำมนต์อยู่ภายใน

นางสายใจที่ตอนนี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในเรือนหลังเล็กก็รู้สึกได้ว่า มีพลังงานบริสุทธิ์บางอย่างที่พยายามรบกวนเธอ

เธอลืมตาขึ้น “ไอ้อกาสูรครั้งนี้คิดจะทำลายพลังของข้างั้นหรือ” พูดกับตัวเองและหลับตานั่งสมาธิ สายใจเริ่มสวดร่ายมนตร์ของเธอ

เกิดลมพัดแรงไปทั่วทั้งบริเวณคฤหาสน์และเรือนหลังเล็ก วิญญาณผีต่างๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ทั่วบริเวณและร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว บ่าวไพร่ที่อยู่ในเรือนคนใช้ต่างปิดประตูหน้าต่าง และอยู่ในห้องรวมกันด้วยความตื่นกลัว

ท่านชายอดิศรที่อยู่ภายในห้องนอนของตนก็รู้สึกหวั่นใจกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านชายมองไปที่กรอบรูปภาพของหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ ด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับอกาสูร

ตอนนี้บริเวณหน้าบ้านของเรือนหลังเล็กเต็มไปด้วยวิญญาณผีมากมาย ในขณะที่นางสายใจนั่งสมาธิ เธอได้พูดออกคำสั่งให้วิญญาณร้ายเหล่านั้นมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์เตรียมที่จะจู่โจมทำร้ายอกาสูร

“พวกวิญญาณผีทั้งหลาย พวกเจ้าจงฟังคำสั่งของข้า จงไปทำลายพิธีของมันและจัดการกับไอ้อกาสูรเดี๋ยวนี้”

วิญญาณผีทั้งหมดค่อยๆ เดินไปทางที่คฤหาสน์ ในขณะที่หมอกสีขาวค่อยโพยพุ่งไปทั่วบริเวณ วิญญาณภูตผีทั้งหลายในเวลานี้ได้มาถึงคฤหาสน์แล้ว และพยายามเดินเข้าไปภายใน แต่จู่ๆ ก็เกิดลมพัดแรงอีกครั้ง

อกาสูรที่นั่งสวดพระเวทมนตราอยู่ภายในห้องยังคงสวดต่อไป ลมที่พัดอยู่ภายนอกของตึกก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พัดพาวิญญาณเหล่านั้น บางส่วนได้ลอยกระเด็นออกไป แต่ก็ยังมีวิญญาณบางตัวที่พยายามจะเข้ามาภายในตึกให้ได้ ไม่นานท้องฟ้าที่อยู่เหนือคฤหาสน์ก็เกิดเมฆดำรวมตัวกันราวกับฝนกำลังจะตก มีเสียงฟ้าร้องที่ดังไปทั่วบริเวณ จากนั้นก็เกิดฟ้าผ่าลงมาใส่วิญญาณร้ายที่เหลือ ทำให้ร่างของวิญญาณเหล่านั้นแตกสลายทันที

นางสายใจลืมตาขึ้นด้วยความโกรธจัด “แก ไอ้อกาสูร”

นางสายใจเดินออกมานอกบริเวณเรือนหลังเล็ก และได้ร่ายมนตร์ของเธออีกครั้ง เมื่อนั้นพลังมนตร์ดำต่างๆ ก็พุ่งออกมาจากร่างของเธอ อกาสูรที่ยังคงนั่งสวดพระเวทเริ่มร่ายพลังมนตราของเขา น้ำมนต์ที่อยู่ภายในขันค่อยๆ ลอยตัวขึ้นรวมตัวกันอยู่ตรงกลาง และพุ่งลอยออกไปทางหน้าต่างของห้องพระ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นั้นได้รวมตัวกันพุ่งเข้าใส่ร่างของนางสายใจและพันธนาการแขนสองข้างของเธอไว้อย่างแน่นหนา เธอพยายามร่ายเวทของเธออีกครั้ง แต่กลับไม่เป็นผล

อกาสูรปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธออีกครั้ง “นางสายใจ วันนี้จะเป็นวันที่สิ้นฤทธิ์ของเอ็ง”

“เทวีช่วยข้าด้วย” นางสายใจร้องขอความช่วยเหลือจากนายของเธอ ไม่นานก็เกิดแสงราวกับดาวตกพุ่งลงมาบริเวณใกล้ๆกับนางสายใจ ปรากฏร่างของอัคนีนาฏเทวี

“มาแล้วหรือเจ้าอสูรร้าย” อกาสูรพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

อัคนีนาฏเทวีหันมองเขาด้วยตาที่เป็นสีแดงเพลิง เธอได้ชี้นิ้วไปที่เขาและเกิดเปลวไฟพุ่งใส่อกาสูรทันที แต่ด้วยค่ำคืนแห่งพระจันทร์เสี้ยว ส่งผลให้อิทธิฤทธิ์ของพวกเธอลดน้อยลง อกาสูรยืนหลับตานิ่งสงบ ในขณะที่เปลวไฟพุ่งเข้าใส่ตัวเขา แต่เปลวไฟก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย

อกาสูรผายมือขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดเป็นแสงสว่างสีขาวรวมตัวกันเป็นวงกลมขนาดลูกบอล มันสว่างจนทำให้อัคนีนาฏเทวีและนางสายใจต้องหรี่ตา แสงที่รวมตัวกันเหล่านั้นค่อยๆ ลอยตัวขึ้นอยู่เหนือตัวเขา ในที่สุดภายในแสงก็ปรากฏออกมาเป็นพระขรรค์เพลิงพยัคฆ์

อัคนีนาฏเทวีเธอยืนมองด้วยความตกใจและอุทานขึ้น “พระขรรค์เพลิงพยัคฆ์”

“ใช่ สิ่งนี้คือพระขรรค์เพลิงพยัคฆ์” อกาสูรพูดด้วยน้ำเสียงที่ท้าทาย ทันทีที่อกาสูรพูดจบ พลังของอัคนีนาฏเทวีที่อยู่ภายในตัว กลับค่อยๆ ถูกพลังของพระขรรค์ถ่ายเทออกไป

เมื่ออสูรสาวรู้ตัวว่าตัวเองกำลังติดกับดัก จึงได้พยายามหนีและทิ้งนางสายใจเอาไว้โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย เธอจำแลงเป็นแสงสีดำและลอยพุ่งขึ้นท้องฟ้าหายกลับไป

“เทวีช่วยข้าด้วย อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว” นางสายใจพูดด้วยเสียงที่สั่นกลัว

“เอาละ นางสายใจ วันนี้มันคงถึงเวลาของเอ็งแล้วนะ” พระขรรค์ที่ยังลอยอยู่เหนืออกาสูรก็ค่อยๆ เปล่งแสงสว่างลงมา ในที่สุดพลังคุณไสยมนตร์ดำที่มีอยู่ในตัวของนางสายใจก็ถูกดึงออกไปจากร่าง และถูกทำลายในที่สุด

ตอนนี้นางสายใจได้ล้มลงไปด้วยความเสียใจและร้องไห้ด้วยเสียงที่ทุกข์ทรมานและโหยหวน

“ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว” เธอพูดปนร้องไห้อย่างหนัก

พระขรรค์ที่ลอยส่องแสงอยู่ก็ค่อยๆ ลอยกลับลงมาอยู่ที่มือของอกาสูร และหายไป

ท่านชายอดิศรเดินออกมาพร้อมกับบ่าวไพร่ที่เหลือ “ท่านชายครับในเวลานี้นางสายใจกลายเป็นคนธรรมดาแล้ว พลังคุณไสยของมันถูกกำจัดออกไปจากตัวมันแล้วครับ ที่เหลือท่านจะจัดการมันยังไงก็สุดแล้วแต่ท่านชาย”

ท่านชายมองนางสายใจด้วยแววตาสงสารผสมกับความโกรธแค้น “พวกเอ็งไปจับตัวนางสายใจไว้ และเอามันไปขังล่ามโซ่ไว้ที่เรือนหลังเล็ก ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำมันเด็ดขาด” ท่านชายสั่งกับพวกบ่าวไพร่

นางสายใจถูกบ่าวผู้ชายลากตัวเข้าไปขังไว้ในเรือนหลังเล็ก เธอยังคงร้องไห้อย่างบ้าคลั่งด้วยความเสียใจที่สูญเสียพลังของตัวเอง

ท่านชายและอกาสูรเดินกลับมาที่คฤหาสน์ “ขอบคุณท่านมากนะอกาสูร ถ้าไม่มีท่านฉันเองก็คงไม่รู้จะกำราบนางสายใจด้วยวิธีไหนจริงๆ” ท่านชายมองอย่างขอบคุณ

“ด้วยความยินดีครับ แต่สำหรับวันนี้มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นครับท่านชาย เพราะอสูรร้ายที่เป็นคนมอบพลังให้กับนางสายใจได้หนีรอดออกไปได้ และอีกไม่นานตัวกระผมเองกับอสูรร้ายคงต้องได้พบกันอีกแน่ ระหว่างนี้ขอให้ท่านชายและบ่าวไพร่ต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะครับ เพราะไม่รู้ว่าอสูรร้ายจะกลับมาที่นี่หรือพยายามใช้ใครเป็นเครื่องมืออีกไหม” เขาพูดด้วยท่าทีกังวล

ท่านชายพยักหน้า “ฉันจะทำตามที่ท่านอกาสูรบอกนะ”

 

ระหว่างที่ทิพย์ธิดานั่งสมาธิ เสียงของท่านชายอดิศรก็ดังขึ้น “ทิพย์ธิดาวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ เจ้าใช้เวลากับเรื่องราวทั้งหมดในเวลานี้นานแล้ว หากเจ้าอยู่กับเรื่องราวในอดีตนานจนเกินไป พลังชีวิตของเจ้าก็จะค่อยๆ อ่อนลงไปด้วย” เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่วิญญาณของหม่อมเจ้าอดิศรที่ยังคงยืนอยู่ในแสงสว่างสีขาวๆ

“แต่…ท่านชายคะ ฉันอยากจะรู้ว่าหลังจากนั้น สายใจเธอ…” ทิพย์ธิดาพูดด้วยความอยากรู้

ท่านชายพูดเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทิพย์ธิดา ระหว่างนี้เธอจงระวังตัวให้มากขึ้นนะ เพราะในเวลานี้ นางสายใจอยู่ไม่ไกลจากเธอแล้ว”

“ท่านชายกำลังหมายความว่า ตอนนี้สายใจกลับมาแล้วหรือคะ” ท่านชายพยักหน้ารับ

“ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกอย่างจะต้องจบลง วิญญาณของฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอนะ” เมื่อสิ้นเสียงท่านชายอดิศรก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปอีกครั้ง เธอมองไปที่โกศของท่านชายด้วยแววตาอุ่นใจ

“ขอบคุณนะคะท่านชาย”

 

สหรัฐได้ขับรถมาจอดบริเวณหน้าบ้านของอัคคีรัตน์ และได้ลงไปกดกริ่งที่ประตู สมิงดงในร่างของคนรับใช้ได้เดินออกมาเปิดประตู สหรัฐมองหน้าสมิงดงด้วยความตกใจเล็กน้อย และคิดว่าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน

“สวัสดีครับ ผมมาขอพบคุณอัคคีรัตน์ครับ วันนี้เธออยู่บ้านไหมครับ”

“อยู่ รอสักครู่” สมิงดงพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวแล้วเดินกลับไปภายในบ้าน

อัคคีรัตน์ในชุดเดรสลูกไม้สีดำนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น “เทวีครับ ไอ้ตำรวจนั่นมาแล้วครับ”

เธอมองสมิงดงด้วยหางตา “ให้มันเข้ามาได้”

สมิงดงเดินกลับไปที่หน้าบ้าน “คุณผู้หญิงให้เข้าพบได้ เชิญตามมา” นายตำรวจหนุ่มเดินตามหลังสมิงดงเข้ามาภายในบ้านของอัคคีรัตน์ จนมาถึงห้องนั่งเล่น “เชิญคุณนั่งรอคุณผู้หญิงตรงนี้แหละ” สมิงดงพูดและเดินออกไป

ไม่นานอัคคีรัตน์ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีสง่างาม “สวัสดีค่ะคุณสหรัฐ” เธอพูดทักทายและยิ้มเล็กน้อย

“สวัสดีครับ คุณรู้ชื่อผมได้ยังไงครับ เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือครับ” เขาถามอย่างสงสัย

“จะไม่รู้จักคุณได้ยังไงล่ะคะ ร้อยตำรวจเอกสหรัฐ ลูกชายสุดที่รักของพลเอกสุทธิพงษ์ และคุณหญิงโฉมฉาย ครอบครัวของคุณออกงานสังคมบ่อยจะตายไปค่ะ” เธอพูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่งปนอมยิ้มเล็กน้อย

“ครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่เลย และก็ไม่ค่อยชอบออกงานอะไรพวกนี้ด้วย” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา

“เอาละค่ะ วันนี้คุณสหรัฐต้องการมาพบฉันถึงที่บ้าน มีเรื่องอะไรหรือคะ”

“ผมเพิ่งได้รับข้อมูลการหายตัวไปของคุณเอกภพครับ และคุณเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเขา” เขามองเธอด้วยแววตาสงสัย

“ใช่ค่ะ ดิฉันอยู่กับคุณเอกภพ แต่เป็นคนสุดท้ายไหมอันนี้ดิฉันไม่ทราบจริงๆ เพราะวันนั้นดิฉันแค่ไปทานอาหาร และก็บังเอิญเจอคุณเอกภพ เขาก็เลยชวนดิฉันร่วมโต๊ะกับเพื่อนเขา และก็อาสามาส่งดิฉันที่บ้านค่ะ หลังจากนั้นเขาก็กลับออกไป ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ”

“แต่จากข้อมูลที่ผมได้มา หลังจากคืนที่เขาส่งคุณเสร็จก็มีคนเห็นเขาวิ่งออกมาขอความช่วยเหลือจนต้องไปส่งที่สถานีตำรวจ และก็เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในคืนนั้นเลย”

“คุณสหรัฐคะ มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกนะคะ แต่กลัวว่าการพูดไปมันก็จะเป็นอันตรายต่อตัวดิฉันเอง เพราะคุณเอกภพเขาเป็นผู้มีอิทธิพล ฉันเองคงไม่กล้าเสี่ยง”

“ไหนคุณลองเล่ามาสิครับ ผมรับประกันความปลอดภัยของคุณครับ” สหรัฐมองตาด้วยความสนใจ

“ในคืนนั้นพอถึงบ้านดิฉัน ระหว่างที่เราอยู่ในรถเขาก็พยายามลวนลามดิฉันค่ะ ฉันเองก็ทั้งกลัวและตกใจ บวกกับวันนั้นที่บ้านของดิฉันก็ไม่มีใครอยู่ ฉันเองก็พยายามต่อสู้เท่าที่แรงพอจะมี พอลงมาจากรถได้ เขาก็ให้คนขับรถพยายามเข้ามาล็อกตัวดิฉันไว้ ดิฉันกลัวเหลือเกินค่ะ” เธอพูดปนด้วยน้ำเสียงที่สั่นและเริ่มจะร้องไห้

เธอพูดต่อด้วยท่าทางมารยาต่างๆ “คุณเอกภพพยายามจะขืนใจดิฉัน ฉันก็ร้องขอให้เขาหยุดแต่เขาไม่หยุด แต่อยู่ๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คุณเอกภพและคนขับรถก็หยุดทำร้ายดิฉัน และก็ร้องเอะอะโวยวายเหมือนกับตกใจอะไรบางอย่างและก็วิ่งกลับออกไปค่ะ”

สหรัฐขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เขาตกใจอะไรหรือครับ”

“ดิฉันก็ไม่ทราบหรอกค่ะ บางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้านของดิฉันคงมาช่วยฉันไว้” เธอพูดและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา

“เอาละครับ คุณหยุดร้องได้แล้ว เอาเป็นว่าผมเข้าใจคุณนะครับ” สหรัฐพูดด้วยน้ำเสียงใจอ่อนเพราะเห็นเธอร้องไห้

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอยิ้มเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมคงไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ” สหรัฐเดินกลับออกไปโดยมีความรู้สึกสับสนบางอย่าง อัคคีรัตน์เดินมาส่งสหรัฐที่หน้าบ้านของเธอ

“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าหากคราวหน้ามีอะไรจะพูดคุยกับดิฉันมาที่นี่ได้เสมอค่ะ ดิฉันยินดีให้ความร่วมมือ” สหรัฐพยักหน้า

อัคคีรัตน์เดินกลับเข้ามาภายในบ้านและพูดกับตัวเอง “คิดจะมาสืบเรื่องของเอกภพงั้นหรือ คงจะยากหน่อยนะ”

 



Don`t copy text!