มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา

มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

รุ่งเช้าของวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆ กระจายไปทั่วบริเวณคฤหาสน์วารีมรกต ทิพย์ธิดายืนมองทิวทัศน์จากหน้าต่างห้องนอนด้วยความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอรู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ต้องค้นหาและทำความเข้าใจ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น บุษบาเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม

“คุณทิพย์คะ อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”

ทิพย์ธิดาพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ สักพักฉันจะตามลงไป”

เมื่อเธอเดินลงมาถึงห้องโถง ก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนละเอียด และท่วงท่าที่สง่างาม เธอสวมชุดเดรสยาวทันสมัยที่ออกแบบให้เข้ารูปพอดีช่วงลำตัว ผ้าซาตินสีเทาเงินที่เมื่อโดนแสงไฟก็สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ และเน้นรูปร่างที่เพรียวบางของเธอได้อย่างงดงาม ปลายชุดยาวลงมาอย่างพลิ้วไหวเมื่อเธอเคลื่อนไหว ด้านหลังของชุดเป็นแบบเปิดไหล่โชว์ผิวพรรณที่เนียนใสของเธออย่างพอเหมาะ

เธอสวมต่างหูเพชรระยิบระยับเข้ากับสร้อยคอเส้นบางที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กที่เรียงตัวเป็นลวดลายวิจิตร เครื่องประดับเหล่านี้ไม่ได้ดูหนักเกินไป แต่กลับเสริมท่าทางให้ดูหรูหราและทรงพลังอย่างประณีต นอกจากนี้ เธอยังเลือกสวมรองเท้าส้นสูงสีเมทัลลิกที่เข้ากับชุด ทำให้เธอยิ่งดูสง่างามและสูงโปร่งยิ่งขึ้น

เธอเกล้าผมขึ้นอย่างเรียบร้อยในสไตล์คลาสสิก โดยปล่อยปลายผมลอนเล็กน้อยที่ด้านหลังเพื่อเพิ่มความนุ่มนวล แต่ยังคงแฝงความแข็งแกร่งและสง่างามเอาไว้ ผมดำเงางามของเธอถูกจัดทรงอย่างพิถีพิถัน ทำให้เธอดูเรียบหรูและเป็นระเบียบ เธอแต่งหน้าด้วยโทนสีธรรมชาติ แต่เน้นดวงตาให้ดูคมชัดด้วยอายไลเนอร์สีดำและมาสคาราที่ทำให้ขนตายาวเป็นแพ ดวงตาของหญิงสาวมีสีดำขลับที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงอ่อนที่เข้ากันได้ดีกับโทนผิวและชุดของเธอ เสริมให้เธอดูมีความเป็นผู้หญิงที่กล้าแสดงออกในทุกโอกาส

“คุณทิพย์ธิดามาพอดี” รวีกล่าว “คุณทิพย์ครับ ท่านนี้คือ คุณโฉมสุรางค์ครับ เธอเป็น เออ…”

“สวัสดีค่ะดิฉันโฉมสุรางค์ เป็นคู่หมั้นของรวีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณทิพย์ธิดา” เธอรีบพูดแทรกรวีเพื่อแนะนำตัวเอง “หรือจะเรียกดิฉันว่าโฉมเฉยๆก็ได้ค่ะ”

โฉมสุรางค์ยิ้มและเดินเข้ามาควงแขนชายหนุ่ม ท่าทางของเธอแสดงออกถึงความเชื่อมั่นและความเป็นตัวของตัวเอง

“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ทิพย์ธิดาพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย

“ดิฉันได้ยินมาว่า คุณจะมาเป็นเจ้าของที่นี่หรือคะ”

หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อย “ค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดูแลที่นี่ไหวไหม”

“แหม ดีจังเลยนะคะ อยู่ๆ ก็ได้รับมรดกแบบที่ไม่ทันตั้งตัวเลย” โฉมสุรางค์หันกลับไปพูดกับรวี

“รวีคะ ฉันมาที่นี่เพราะต้องการให้คุณกลับไปพระนครด้วยกัน”

ชายหนุ่มหันมาตอบอย่างสุภาพด้วยท่าทีนุ่มนวล “ผมขอโทษนะโฉม แต่ผมยังกลับไปไม่ได้ ผมต้องการอยู่ที่นี่จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

โฉมสุรางค์ดูจะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “ถ้าอย่างนั้นฉันจะค้างคืนที่นี่ด้วยค่ะ พรุ่งนี้เราค่อยกลับไปด้วยกัน” รวียิ้มและหันมาทางทิพย์ธิดา

“คุณทิพย์ครับ จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขออนุญาตพาคุณโฉมเธอเดินชมภายในคฤหาสน์ที่นี่”

ทิพย์ธิดาพยักหน้าและยิ้ม “ยินดีค่ะคุณรวี ดิฉันเองตั้งแต่มาถึงที่นี่ บางห้องก็ยังไม่เคยเปิดเข้าไปดูเหมือนกัน”

“ยังไง เชิญคุณทั้งสองร่วมทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนดีไหมคะ พอดีคุณบุษบาเตรียมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เชิญค่ะ” หญิงสาวกล่าวและเดินนำทั้งสองไปห้องทานอาหาร

เมื่อทั้งสามทานอาหารเสร็จแล้ว รวีได้เอ่ยปากชวนทิพย์ธิดา “คุณทิพย์ครับ เห็นคุณบอกว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่บางห้องคุณก็ยังไม่ได้เข้าไปชมเลย ยังไงผมขออาสาพาพวกคุณทั้งสองเดินชมไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ”

รวีพาทั้งสองเดินชมรอบๆ ภายในคฤหาสน์ จนมาถึงห้องพระใหญ่ประจำตระกูล ซึ่งมีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในคฤหาสน์ ห้องพระใหญ่ประจำตระกูลในคฤหาสน์วารีมรกตเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยความเงียบสงบและศักดิ์สิทธิ์ สร้างบรรยากาศที่เคารพและน่าเกรงขาม เพดานห้องสูงถูกประดับด้วยลวดลายไทยโบราณ สีทองที่ละเอียดอ่อนตัดกับพื้นไม้สีเข้มที่ดูสง่างาม และมีแสงจากหน้าต่างบานใหญ่ส่องลอดเข้ามาแค่พอทำให้ห้องมีความสลัวในแบบที่พอดี โต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่กลางห้องทำจากไม้สักแท้ แกะสลักลวดลายวิจิตรอย่างประณีต บนโต๊ะมีพระพุทธรูปปางสมาธิประดิษฐานอย่างสง่างาม รอบๆ มีเครื่องทองเครื่องเงินและเชิงเทียนทองเหลืองวางเรียงราย ทำให้บรรยากาศยิ่งดูขลังขึ้น

โกศกระดูกที่บรรจุอัฐิของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทย์สุภาตั้งอยู่บริเวณมุมของห้องพระ ตัวโกศทำจากเงินและประดับด้วยลวดลายแกะสลักที่แสดงถึงความเป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่นับถือในความเคารพและเกียรติยศ ด้านหน้าของโกศมีพานพุ่มดอกไม้สดที่ถูกจัดวางอย่างประณีตเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพต่อผู้ล่วงลับ

หญิงสาวทั้งสองมองเห็นโกศกระดูกที่บรรจุอัฐิของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทย์สุภา ทั้งคู่ต่างแสดงความเคารพต่อความสำคัญของห้องนี้ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในห้องพระแห่งนี้ คือกล่องไม้โบราณขนาดเล็กที่วางอยู่บนแท่นในมุมหนึ่งของห้อง กล่องนี้ทำจากไม้เนื้อแข็งที่สีของมันเข้มจนเกือบดำ แต่ยังคงความเงางามตามธรรมชาติของไม้โบราณ อักขระโบราณที่ถูกสลักอย่างวิจิตรลงบนทุกด้านของกล่องนั้นดูคมชัดและลึก แต่แฝงไปด้วยความลึกลับที่ยากจะเข้าใจ

บนฝากล่องมีอัญมณีทับทิมสีแดงสดที่เจียระไนอย่างประณีต ฝังอยู่ในกรอบทอง ทับทิมนั้นส่องประกายระยิบระยับแม้ในแสงสลัวของห้อง และให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดวงตาที่คอยเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวในห้องนี้ กล่องไม้ใบนี้แฝงไปด้วยบรรยากาศที่ลึกลับและเต็มไปด้วยความหมายที่ยากจะเข้าใจ เมื่อโฉมสุรางค์มองดูกล่องนี้ เธอรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดใจอย่างลึกลับ แต่เธอเลือกที่จะเก็บความสนใจนั้นไว้ ไม่แสดงความสงสัยให้ใครเห็น ความเงียบในห้องพระมีแต่เสียงลมหายใจที่แผ่วเบา ราวกับเวลาหยุดหมุนอยู่ตรงนั้น

เมื่อถึงค่ำคืน โฉมสุรางค์เข้านอนในห้องที่จัดเตรียมไว้สำหรับเธอ ท่ามกลางความเงียบสงัดของคฤหาสน์ เธอก็เริ่มได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“โฉมสุรางค์ โฉมสุรางค์…ช่วยฉันแล้วเธอจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ…”

เสียงนั้นทำให้โฉมสุรางค์ลุกขึ้นจากเตียงราวกับถูกสะกดจิต เธอเดินออกจากห้องนอนของเธอไปอย่างช้าๆ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ และเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพระ หญิงสาวค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป เธอเดินมาหยุดอยู่ที่บริเวณหน้าหิ้งพระ เสียงที่สะกดเธอยังคงดังแผ่วเบา

“จงช่วยฉัน…ปลดปล่อย…แล้วเธอจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”

หญิงสาวเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องที่มีกล่องไม้วางอยู่บนแท่น แสงสว่างสีดำค่อยๆ ส่องประกายออกมาจากกล่อง ราวกับรอให้ใครสักคนมาปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใน

หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดกล่องไม้โบราณใบนั้น ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก ควันสีดำมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากกล่อง ควันนั้นเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างของหญิงสาวโบราณ ผู้มีนามว่า ‘อัคนีนาฏเทวี’ นางผู้ปกครองสายฟ้าและเปลวเพลิง ท้องฟ้าภายนอกคฤหาสน์เกิดวิปริตแปรปรวน มีเสียงฟ้าร้องดังราวกับอสนีบาตจะตกลงมา

นางคือผู้ปกครองอุษานครเมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่ และเคยครอบครองมนตราชั่วร้ายแห่งกาลเวลา ลักษณะการแต่งกายของนางสะท้อนถึงความสูงศักดิ์และยิ่งใหญ่ของอดีตจักรพรรดินีแห่งอาณาจักร ชุดผ้าไหมเนื้อหนาสีแดงเพลิงที่คลุมตัวนางนั้นถูกตกแต่งด้วยลวดลายทองคำวิจิตรบรรจง ลายเส้นทองเป็นรูปของเปลวไฟและสายฟ้าที่ปักประดับไว้ทั่วตัวเสื้อและกระโปรงยาวกรุยกรายที่ลากไปตามพื้น ผ้าคาดเอวของนางเป็นผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท ตกแต่งด้วยหัวเข็มขัดทองคำที่แกะสลักลายฟ้าผ่าและอัญมณีสีแดงสดกลางเข็มขัด บนไหล่ของนางคลุมด้วยผ้าโบราณผืนยาวสีทองสว่างที่สลักลวดลายด้วยทองคำเปลว ผ้าคลุมไหล่นี้ทิ้งชายยาวเป็นชั้นคลื่นที่พลิ้วไหวตามลม

ศีรษะของเทวี ถูกประดับด้วยมงกุฎทองคำอันวิจิตรบรรจง ที่ออกแบบเป็นลายสายฟ้าฟาดไขว้กับเปลวเพลิงอย่างประณีต มงกุฎทองคำนี้ถูกประดับด้วยอัญมณีทับทิมสีแดงส่องประกายราวกับแสงแห่งเพลิงที่ไม่มีวันดับ ดวงตาของนางเป็นสีแดงเข้มดั่งเปลวไฟที่ลุกไหม้ แฝงด้วยพลังและความอาฆาต นางจ้องมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่สะท้อนถึงการทำลายล้างและความแค้นที่สะสมมาเนิ่นนาน ชายกระโปรงยาวนั้นสะท้อนแสงจากอัญมณีทับทิมที่ประดับไว้อย่างงดงาม เพิ่มความสง่างามให้นางราวกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง

ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอำนาจ ทุกย่างก้าวของนางช่างหนักแน่นและมั่นคง ราวกับพื้นดินจะสะเทือนเมื่อย่างเท้าของนางแตะลง นางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าแต่มีพลัง ทุกการเคลื่อนไหวราบเรียบแต่แฝงด้วยความร้ายกาจราวกับเปลวเพลิงที่รอคอยจะลุกไหม้ การเคลื่อนไหวของชายผ้าคลุมและกระโปรงยาวที่กรุยกรายตามลมนั้นเสริมสร้างบรรยากาศแห่งการคุกคาม นางยกมือขึ้นด้วยนิ้วเรียวยาวประดับด้วยแหวนทองและทับทิม พลังแห่งอำนาจในนางสะท้อนผ่านท่าทีและท่วงท่าของร่างกายทุกส่วน

เมื่ออัคนีนาฏเทวีปรากฏตัว บรรยากาศในห้องก็พลันเปลี่ยนไป ความมืดและหนาวเยือกแผ่กระจายออกมาจากกล่องไม้โบราณ เสียงฟ้าร้องและลมกระโชกแรงที่พัดผ่านเข้ามาทำให้ม่านหน้าต่างและประตูสั่นไหว อากาศโดยรอบรู้สึกอึดอัด หนักอึ้งราวกับเวลาถูกหยุดลง ทันทีที่นางปรากฏ เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นและแสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบส่องสว่าง ราวกับท้องฟ้าภายนอกสะท้อนถึงพลังแห่งการทำลายล้างที่อยู่ภายในตัวนาง

ลมกระโชกแรงที่พัดผ่าน ม่านห้องนอนสั่นไหว จนทำให้ทิพย์ธิดาที่นอนอยู่ในห้องของเธอต้องตกใจตื่น ทิพย์ธิดาเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของคฤหาสน์นี้ และรู้สึกถึงความไม่ปกติ

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความใจสั่น

 

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ข้าได้ถูกปลดปล่อยออกมา ขอบใจเจ้ามาก โฉมสุรางค์”

“เจ้าจงนำของสิ่งนั้นไปทำลายซะ และต่อจากนี้ไปหากเจ้าช่วยข้า เจ้าก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา”

เทวีหัวเราะเบาๆ เธอได้จำแลงกายเป็นหมอกควันสีดำและพวยพุ่งผ่านหน้าต่างคฤหาสน์ออกไปโดยทันที

โฉมสุรางค์เดินออกมาจากห้องพระราวกับถูกสะกดจิต เธอค่อยๆ เดินลงจากบันไดและเดินผ่านห้องโถงบริเวณด้านล่างของคฤหาสน์ และพบกับบุษบา

“กลางค่ำกลางคืนแล้ว คุณโฉมจะออกไปไหนคะ”

โฉมสุรางค์หยุดนิ่งและไม่ตอบอะไร เธอเดินตรงออกไปด้านนอกคฤหาสน์ ในขณะที่บุษบาก็ยืนงงสงสัยกับท่าทีของเธอ หญิงสาวเดินมาถึงสระน้ำธรรมชาติท้ายคฤหาสน์ เธอโยนกล่องไม้นั้นลงไปทันที และเดินกลับไปที่คฤหาสน์อย่างช้าๆ จนถึงห้องนอนของเธอ

เมื่ออัคนีนาฏเทวีถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว ดวงจิตของเธอที่ล่องลอยเป็นควันสีดำก็เดินทางกลับไปยังเทวาลัยของเธอ ปราสาทหินโบราณของอัคนีนาฏเทวีตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าลึก ที่ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าก้าวย่างเข้าไป เนื่องจากตำนานเกี่ยวกับความลึกลับและพลังชั่วร้ายที่ปกคลุมอยู่รอบบริเวณ ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินทรายสีดำสนิท ตัดกับมอสส์และเถาวัลย์ที่เลื้อยพันทั่วทั้งปราสาท โครงสร้างของปราสาทมีความยิ่งใหญ่และทรงพลัง แต่ก็เก่าแก่จนเห็นรอยแตกและรอยแยกตามกำแพง ซึ่งแสดงถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนาน

เทวาลัยขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านในใจกลางปราสาท เป็นห้องโถงที่มีเพดานสูงเสียดฟ้า แสงจากโลกภายนอกแทบจะไม่สามารถส่องเข้ามาได้ ทำให้บรรยากาศภายในมืดครึ้ม มีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ลอยอยู่ในอากาศราวกับไม่มีที่มา ควันสีดำลอยกรุ่นอยู่ในอากาศและปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

ตรงกลางห้องโถงของเทวาลัยมีบัลลังก์หินขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ บัลลังก์นี้ถูกแกะสลักด้วยอักขระและยันต์เวทมนตร์โบราณที่ส่องแสงริบหรี่ มันเป็นบัลลังก์แห่งความมืดและเปลวเพลิงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเทวีผู้มีอำนาจในการควบคุมพลังแห่งไฟ รายละเอียดของลวดลายที่สลักลงไปบนบัลลังก์สะท้อนถึงพลังแห่งการทำลายและการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอัคนีนาฏเทวี

ในห้องโถงนั้นยังมีรูปปั้นหินขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ รูปปั้นนี้เป็นร่างของเทวีที่ถูกสาปให้จมอยู่ในหินตลอดหลายร้อยปี มันเป็นศิลปะที่สวยงามและน่าเกรงขาม แต่ว่างเปล่าเพราะดวงจิตของนางถูกจองจำอยู่ที่อื่น ท่าทางของรูปปั้นนั้นเหมือนกำลังเฝ้ารอการปลดปล่อยอย่างสิ้นหวัง

ภายในเทวาลัย มีการตกแต่งด้วยผนังหินที่ประดับด้วยภาพแกะสลักของเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของอัคนีนาฏเทวี เรื่องการต่อสู้ การปกครองเมือง และการใช้มนตราที่ร้ายกาจเพื่อทำลายศัตรู ทุกภาพแกะสลักถูกแต่งเติมด้วยรายละเอียดที่น่าขนลุก สะท้อนให้เห็นถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เธอมีอยู่

เมื่อดวงจิตของอัคนีนาฏเทวีถูกปลดปล่อยจากกล่องไม้โบราณ มันเคลื่อนผ่านความมืดและควันสีดำภายในปราสาท และเดินทางมายังเทวาลัยของนาง ควันที่ลอยอยู่ทั่วห้องเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของนางในร่างวิญญาณ จนกระทั่งมันพุ่งเข้าสู่รูปปั้นหินที่ตั้งอยู่บนบัลลังก์ หินบนรูปปั้นนั้นเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นเนื้อหนังของนางที่กลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง และทันทีที่เธอกลับสู่ร่างกาย เสียงหัวเราะก้องกังวานดังขึ้นไปทั่วทั้งเทวาลัย เป็นเสียงที่ผสมระหว่างความพอใจและความมืดมิดที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการแก้แค้น

เมื่ออัคนีนาฏเทวีกลับมาครอบครองเทวาลัยนี้อีกครั้ง ปราสาททั้งหลังเริ่มมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เปลวไฟที่เคยดับมอดก็ส่องสว่างขึ้น เผยให้เห็นถึงความลึกลับและความชั่วร้ายที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายใน ปราสาทนี้กลายเป็นสถานที่แห่งความลับและอันตรายที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาอีกครั้ง

ทางเข้าสู่ปราสาทปกคลุมด้วยซุ้มประตูหินสูงใหญ่ที่แกะสลักด้วยลวดลายของอักขระโบราณและสัญลักษณ์แห่งเปลวเพลิงที่เป็นเอกลักษณ์ของอัคนีนาฏเทวี ด้านข้างของซุ้มประตูมีกำแพงหินสูงเรียงรายเป็นทางเข้า ทันทีที่ก้าวเข้าสู่บริเวณด้านในของปราสาท ความเงียบสงัดและความมืดที่เข้าครอบงำทุกอณูอากาศทำให้บรรยากาศยิ่งลึกลับและชวนให้รู้สึกหวาดกลัว

“ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง ข้ารอคอยมานานเหลือเกิน”

เทวีได้ร่ายมนตราเพื่อปลุกผู้รับใช้ที่จงรักภักดีของเธอให้ตื่นขึ้นมา นามว่า ‘ปักษาดำ’ และ ‘สมิงดง’ ปักษาดำสถิตอยู่ภายในเทวรูปนกตัวใหญ่

“ด้วยมนตราแห่งเพลิงรัตติกาลข้า เจ้าจงกลับมารับใช้ข้า บัดเดี๋ยวนี้”

เมื่อมนตราของเทวีถูกเปล่งออกไป เทวรูปนั้นก็ปรากฏเป็นแสงสีดำและกลายร่างเป็นนกยักษ์ที่มีดวงตาสีแดง ลำตัวและปีกเป็นสีดำสนิท นกยักษ์นี้กางปีกกว้างออกและส่งเสียงก้องกังวานในห้องใหญ่

ไม่ไกลกัน รูปปั้นเสือตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ก็มีควันสีดำพวยพุ่งออกมา รูปปั้นนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นและกลายร่างเป็นเสือสมิง ที่มีดวงตาสีแดงเปล่งประกาย ความดุร้ายของมันปรากฏชัดเจน เสือสมิงคำรามเสียงโหยหวนเมื่อได้พบกับอัคนีนาฏเทวี มันก้มหัวลงเคารพผู้เป็นนาย

เทวียืนบนบัลลังก์หินด้วยท่วงท่าที่สง่างามและน่าเกรงขาม ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยพลังอำนาจที่กลับมาอีกครั้ง

“ปักษาดำ สมิงดง ข้าไม่ได้เจอกับพวกเจ้านานเลยนะ ในที่สุดข้าก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากนี้ข้ามีงานให้พวกเจ้าทำ ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะกลับมาครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าต้องการ”

ปักษาดำและสมิงดงส่งเสียงตอบรับและถอยหายไปในความมืด เทวาลัยโบราณนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมกับพลังอำนาจที่อัคนีนาฎเทวีได้กลับคืนมา ทิพย์ธิดาและรวีที่อยู่บนคฤหาสน์ไม่รู้เลยว่า ความชั่วร้ายและอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที

 



Don`t copy text!