
มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
โดย : วัชรนริศ
![]()
มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน
ไม่ไกลจากเทวาลัยกลางป่าลึกของเธอ มีน้ำตกที่มีลำธารน้ำใสไหลริน เสียงน้ำไหลลงมากระทบกับโขดหิน และละอองน้ำที่กระทบกับแสงแดดจนทำให้เกิดรุ้งกินน้ำ
อัคนีนาฏเทวีปรากฏตัวยืนอยู่ริมลำธาร และนึกถึงอดีตที่แสนเจ็บปวดที่ทำให้เธอต้องกลายสภาพมาเป็นอสูรร้าย ภาพปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำ
ในยุคสมัยโบราณ มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่เลื่องลือในความงาม และเจ้าหญิงผู้นั้นมีนามว่า ‘ภควดี’ เจ้าหญิงผู้มีความสวยสง่า ดวงตาสีดำสนิทและรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความลึกลับ เธอเป็นนักรบผู้เก่งกาจและมีนิสัยดุร้าย เอาแต่ใจ นอกจากนั้น เธอยังเกิดมาพร้อมกับพลังอำนาจลึกลับบางอย่างที่ทำให้ผู้คนหวั่นเกรง
เจ้าหญิงภควดีเธอได้บูชาอัมรินทราเทวี เทวีผู้มอบพลังอำนาจและความลึกลับให้แก่เธอ ในช่วงเวลาที่เธอเป็นเจ้าหญิง ผู้คนในราชวงศ์และประชาชนต่างยำเกรงเธอ และเธอมีนายทหารกล้าผู้หนึ่งที่เธอหลงรักนามว่า ‘ศิวะ’ เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามและกล้าหาญ
แต่หัวใจของเขาไม่เคยมีความรักให้เจ้าหญิงภควดีเลย วันหนึ่ง เขาได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ให้ไปออกรบทำสงครามกับหัวเมืองทางเหนือ และในระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่น เขาได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่งจากเมืองเหนือ นามว่า ‘ศรีออน’
ศรีออนเป็นหญิงสาวที่มีความงามละมุนและจิตใจดีงาม แตกต่างจากเจ้าหญิงภควดีอย่างสิ้นเชิง ความรักระหว่างศิวะและศรีออนเบ่งบานขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อศิวะกลับมา เขาก็พาศรีออนกลับมาด้วย
เมื่อเจ้าหญิงภควดีทราบเรื่องความรักของศิวะกับศรีออน เธอรู้สึกหึงหวงและริษยาในความรักที่ศิวะมีให้กับศรีออน ความโกรธและความเจ็บปวดในใจของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ภควดีมีความทะเยอทะยานและนิสัยโหดร้าย เธอวางแผนคิดที่จะครอบครองพระราชบัลลังก์
เจ้าหญิงภควดีนั่งคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาของอัมรินทราเทวี ภายในห้องพิธีที่มืดมิด มีเพียงแสงจากเทียนที่วางเรียงรายกันอยู่
“พระแม่เจ้า ได้โปรดมอบพลังอำนาจแห่งการทำลายล้างนี้ให้กับข้า และขอให้แผ่นดินนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” ภควดีสวดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความโกรธแค้น ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นภายในห้องพิธี
“ภควดีลูกเอ๋ย” เสียงที่ก้องดังรอบห้องทำให้ภควดีสะดุ้ง “เมื่อพลังของเจ้ามีมากเกินไป สิ่งเหล่านั้นมันจะค่อยๆ กลืนกินความเป็นมนุษย์ของเจ้า จนในที่สุดเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการสังเวยเลือดเนื้อ เจ้ายินดีที่จะรับมันไปหรือ” เสียงนั้นเงียบหายไป ทิ้งให้ภควดีรู้สึกลังเลใจ
ในหัวใจของภควดีมีความขัดแย้งอยู่ เธอต้องการพลังอำนาจที่จะทำลายศัตรูและครองบัลลังก์ แต่เธอก็รู้ว่าการเสียความเป็นมนุษย์และกลายเป็นอสูรร้ายไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดหวัง แต่ภาพของศิวะและศรีออนที่รักกันกลับทำให้เธอเต็มไปด้วยความแค้น
“ข้ายินดี!” ภควดีตะโกนออกมา “ข้าพร้อมที่จะรับพลังแห่งการทำลายล้าง ข้าจะไม่สนใจว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ข้าต้องการพลังนั้น!”
ทันใดนั้น แสงจากเทียนทั้งหมดก็ดับลง เกิดเป็นเปลวไฟที่ผุดขึ้นมาเป็นวงแหวนอยู่รอบตัวเธอ ภควดีรู้สึกถึงพลังอันมหาศาลที่แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างของเธอ ดวงตากลายเป็นสีแดงเหมือนกับเปลวไฟ ภควดีลุกขึ้นและมองตัวเองในกระจก ในเวลานี้ เธอไม่ใช่เพียงแต่เป็นมนุษย์สตรีธรรมดาอีกต่อไปแต่เธอได้เปลี่ยนเป็น ‘อัคนีนาฏเทวี’ สตรีที่มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ผู้ควบคุมสายฟ้าและเปลวไฟ และผู้ทำลายล้าง
หลังจากภควดีได้รับพลังแห่งการทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ ในคืนนั้นเอง เธอได้เข้าไปในห้องนอนของกษัตริย์ผู้เป็นพ่อของเธอ กษัตริย์หันมามองและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ภควดี เจ้าต้องการอะไรหรือ”
ภควดีมองหน้ากษัตริย์ด้วยความเย็นชาและกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “เสด็จพ่อเพคะ ลูกคิดว่าเสด็จพ่อน่าจะครองบัลลังก์นี้มานานเกินไปแล้ว หม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วละเพคะ ที่เสด็จพ่อจะต้องมอบบัลลังก์นี้ให้กับลูก”
กษัตริย์มองภควดีด้วยความตกใจ ดวงตาของภควดีเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับไฟ เล็บของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำยาวและแหลมคม เธอเข้าไปบีบคอกษัตริย์ด้วยแรงมหาศาล กษัตริย์พยายามต่อสู้และเอื้อมไปหยิบดาบที่อยู่ใกล้ๆ แต่ภควดีก็กัดเข้าที่คอและดื่มเลือดของกษัตริย์ผู้เป็นพ่อทันที
กษัตริย์สิ้นใจในที่สุด เมื่อนั้นก็บังเกิดอาเพศ ท้องฟ้าวิปริต ลมพัดแรงราวกับพายุ
พินทุ พ่อของศิวะ ผู้เป็นพราหมณ์หลวงรู้สึกได้ถึงการตายของกษัตริย์และรับรู้ได้ว่าเจ้าหญิงภควดีได้ใช้อำนาจมนตราในการทำทุกอย่างเพื่อขจัดศัตรูของเธอ ศิวะเดินออกมาจากห้องของตน เห็นพินทุยืนมองท้องฟ้าอยู่ ศิวะถามด้วยความสงสัย “พ่อ มีอะไรหรือ”
พินทุตอบด้วยเสียงเข้ม
“ศิวะ ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงระวังตัวและอยู่ให้ห่างจากเจ้าหญิงภควดีนะ เพราะตอนนี้พ่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น” ศิวะมองพ่อด้วยความสงสัย แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่ได้พูดสิ่งใด ในที่สุด ภควดีก็ได้นั่งขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชินี เธอออกคำสั่งให้พาตัวศิวะและศรีออนมาพบ
เมื่อภควดีขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้ปกครองนครแล้ว เธอได้คิดกลอุบายที่ชั่วร้ายเพื่อทำให้ศิวะและศรีออนต้องแยกจากกัน ศิวะเดินเข้ามาในห้องโถงบัลลังก์อย่างสงสัย เขามองภควดีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม แต่ในแววตาของเธอกลับมีความเย็นชาแฝงอยู่
“ศิวะ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการให้เจ้าช่วย” ภควดีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง
“ข้าต้องการให้เจ้าทำภารกิจสำคัญเพื่อแผ่นดินของเรา เจ้าเป็นนักรบที่เก่งกาจ ข้าจึงเชื่อว่าเจ้าจะสามารถทำการนี้สำเร็จได้” ศิวะรับฟังด้วยความเคารพ แต่ก็ยังคงมีความกังวลใจ “พระนางมีอะไรให้ข้าทำหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ภควดีแสร้งทำเป็นใจดีและกล่าวว่า
“เจ้าต้องไปยังหัวเมืองทางเหนือเพื่อปราบโจรกบฏที่กำลังจะก่อการ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากห่างจากศรีออน แต่เพื่อแผ่นดิน ข้าขอให้เจ้าไปทำภารกิจนี้เถิด” ศิวะมองหน้าภควดีด้วยความหนักใจ แต่ก็รู้สึกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่อแผ่นดิน
“ข้าจะทำตามที่พระนางสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ศิวะออกเดินทางไปยังหัวเมืองทางเหนือ ภควดีได้เริ่มต้นแผนการที่ชั่วร้ายของเธอ เธอสั่งให้บ่าวไพร่ของเธอไปจับตัวศรีออนและนำมาขังไว้ในคุกใต้ดินของปราสาท ศรีออนถูกนำตัวมาขังไว้ในคุกมืด เธอมองไปรอบๆ ด้วยความกลัวและความเศร้า ศรีออนได้พูดกับตัวเอง
“ศิวะ เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา ข้ากลัวเหลือเกิน”
ศิวะที่กำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่ที่หัวเมืองทางเหนือ ได้ทราบข่าวจากพินทุผู้เป็นพ่อว่า ภควดีได้สั่งให้คนจับตัวศรีออนไปจองจำอยู่ที่คุกใต้ดินของปราสาท และอีกไม่กี่วันจะตัดสินโทษโดยการเผาทั้งเป็น เมื่อศิวะล่วงรู้ถึงกลอุบายของภควดี ศิวะจึงรวบรวมทัพและไพร่พลที่เหลือกลับมาที่ปราสาทของนางภควดี หวังจะกำจัดนางภควดี
ศิวะรู้สึกกังวลใจ และพูดกับตัวเอง “ศรีออนเจ้าต้องรอข้านะ เจ้าอย่าเป็นอะไรไป”
ที่คุกใต้ดินของปราสาท ภควดีปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นชาและแววตาที่เต็มไปด้วยความสะใจ “เป็นยังไงบ้าง ศรีออน ที่นี่มันช่างเหมาะสมกับเจ้าดีจริงๆ” ภควดีเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
ศรีออนสบตาภควดีด้วยความโกรธแค้นและเสียใจ
“ทำไมท่านต้องทำกับข้าแบบนี้ด้วย ในเมื่อตอนนี้ท่านก็ได้ทุกอย่างที่ท่านต้องการแล้ว”
ภควดีหันมาสบตากับศรีออนด้วยความโกรธ
“ไม่ ข้ายังไม่ได้ทุกอย่าง จะเหลือเพียงแต่ศิวะ คนรักของเจ้าไงล่ะ ศรีออน เจ้ารู้ไหมว่าก่อนที่เจ้าจะได้พบกับศิวะ ข้ากับศิวะมีใจให้กันมาก่อน และข้าก็รักศิวะ แต่เมื่อเขาพบเจ้า ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป หากวันนี้ไม่มีเจ้าอยู่ ศิวะจะต้องกลับมารักข้า”
ศรีออนน้ำตาอาบแก้ม และหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “ท่านแน่ใจหรือว่าศิวะเคยรักท่าน เขาไม่เคยรักท่านเลย ท่านเข้าใจของท่านไปเอง และข้าก็เชื่อว่าต่อให้ศิวะกับข้าเราทั้งสองจะไม่ได้พบกัน ศิวะก็ไม่มีทางรักท่านได้ เพราะท่านเป็นคนจิตใจอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อของตัวเอง และท่านก็ไม่มีวันที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ได้นานหรอก วันหนึ่งจะต้องมีคนมาจัดการกับท่าน”
ภควดีโกรธจนร่างกายสั่น เธอใช้พลังของตนดึงศรีออนจนตัวลอยเข้ามาใกล้
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ามีอำนาจแค่ไหน ข้าจะทำลายทุกคนที่ขวางทางข้า ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้ แม้แต่เจ้าก็จะไม่มีวันได้พบกับศิวะอีก” ศรีออนสบตาภควดีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
“ท่านอาจจะคิดว่าท่านมีอำนาจมาก แต่ความรักและความยุติธรรมจะชนะเหนือสิ่งอื่นใด ท่านจะไม่มีวันได้ครองบัลลังก์อย่างสงบสุข”
ภควดียิ้มเหยียดและปล่อยศรีออนลงบนพื้น “เราจะได้เห็นกัน ศรีออน”
ทันใดนั้นเอง เสียงกลองศึกดังขึ้นจากภายนอกคุกใต้ดิน ภควดีหันไปมองอย่างสงสัยและโกรธ “มีอะไรเกิดขึ้น”
เสียงทหารรีบร้อนวิ่งเข้ามา “พระนาง กองทัพจากหัวเมืองทางเหนือได้บุกเข้ามาแล้ว พวกเขานำโดยศิวะ!”
เมื่อภควดีทราบว่าศิวะได้คิดการก่อกบฏ ภควดีจึงได้สั่งให้คนนำตัวศรีออนออกมาจากคุกใต้ดินของปราสาทโดย โดยมีโซ่ล่ามที่เท้าของนางศรีออน และให้คนพานางศรีออนไปที่ลานประหารโดยทันที ภควดีหวังจะทำลายหัวใจของศิวะ
“ศิวะ ในเมื่อตอนนี้หัวใจของเจ้ามีแต่นางศรีออน ข้าก็จะทำลายนาง ในเมื่อเจ้าคิดการก่อกบฏหวังจะทำลายข้า พวกเจ้าก็ไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป”
เสียงโซ่ตรวนที่ขูดกระทบไปกับพื้นดังกังวาน นางศรีออนเดินออกมาอย่างช้าๆ ไปที่ลานประหาร โดยมีกองไม้ที่ถูกสุมอยู่ตรงกลางลานประหารที่ยิ่งใหญ่ ภควดีนั่งอยู่บนบัลลังก์หินที่ลานประหาร นางยิ้มด้วยความเย้ยหยัน ทหารนำศรีออนไปผูกกับกองไม้ที่สุ่มไว้เพื่อที่จะเตรียมจุดไฟ
“ทหาร เผามัน” ภควดีสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เมื่อไฟถูกจุดขึ้นใกล้กับกองไม้ ไฟก็ลุกโชนอย่างรวดเร็ว ไม่ไกลกันนั้น พินทุ ผู้เป็นพราหมณ์หลวงก็ปรากฏตัวขึ้น เขาพนมมือและสวดบทมนตราอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็มีเมฆดำก่อตัวขึ้นอยู่เหนือปราสาทและลานประหาร เกิดเสียงฟ้าร้องและลมแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว ในที่สุด ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ดับไฟที่กำลังโหมกระหน่ำแผดเผาศรีออน
ภควดีมองขึ้นไปที่ท้องฟ้า รู้สึกโกรธและหงุดหงิด
“ไม่! นี่มันไม่ควรเกิดขึ้น!” นางตะโกนด้วยความโกรธ
ศิวะได้นำไพร่พลและกองกำลังทหารบุกเข้าปราสาท สายฝนที่ตกลงมายังคงไม่หยุด ทหารต่อสู้กัน เสียงดาบฟาดฟันกันดังกึกก้องไปทั่วบริเวณปราสาท ใกล้ๆ กับลานประหาร ศิวะวิ่งเข้ามาและพบกับพินทุที่ยืนสวดมนตราอยู่
“ศิวะ เจ้าจงรีบพาตัวศรีออนออกมาเร็ว!” พินทุพูดด้วยความร้อนรน
ศิวะรีบวิ่งเข้ามาที่ลานประหาร เมื่อเห็นศรีออนถูกมัดอยู่ เขารีบเข้าไปแก้มัดให้เธอ “ศรีออน เจ้าปลอดภัยแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
ศรีออนสบตาศิวะด้วยน้ำตา “ศิวะ…ข้ากลัว”
ศิวะกอดศรีออนอย่างแนบแน่น “อย่ากลัว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีอะไรจะทำร้ายเจ้าได้อีก”
พินทุยืนมองเหตุการณ์ด้วยความสงบ “ศิวะ ภควดีไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป นางได้กลายเป็นอสูรร้าย”
ภควดีนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความโกรธแค้น “ในเมื่อพวกเจ้าคิดการก่อกบฏ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้เลย!”
เมื่อนั้น ภควดีก็ค่อยๆ ผายมือทั้งสองและเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหลับตา ก็เกิดแสงสีแดงพุ่งลงมาจากท้องฟ้ามาที่ตัวเธอ ชุดของเธอได้เปลี่ยนเป็นชุดโบราณราวกับนางอัปสร มีมงกุฎสีทองที่มีทับทิมสีแดงประดับอยู่ ภควดีในเวลานี้ได้กลายเป็น อสูรร้าย ดวงตาของเธอมีสีแดงส่องสว่างราวกับเปลวไฟ เสียงหัวเราะของนางดังก้องไปทั่วปราสาท นางลอยขึ้นไปกลางอากาศและมองลงมาที่ทุกคน
“ในเมื่อคิดจะต่อกรกับข้า พวกเจ้าก็จงตายเป็นผีเฝ้าปราสาทแห่งนี้ไปเถอะ!” ภควดีชี้นิ้วลงมาที่เบื้องล่าง ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว จนทุกคนต่างล้มลงและต้องหาที่ยึดให้มั่น แต่ด้วยความสั่นไหวของแผ่นดิน ปราสาทที่ตั้งอยู่อย่างยิ่งใหญ่ก็เริ่มพังทลายลง
ภควดีได้บรรดาให้เกิดอสูรร้าย เมื่อนั้นปรากฏร่างนกยักษ์สีดำขึ้นเหนือท้องฟ้านามว่า ปักษาดำ และเบื้องล่างก็ปรากฏร่างของเสือสมิงตัวใหญ่นามว่า สมิงพราย ซึ่งทั้งสองเป็นอสูรมนตราของอัคนีนาฏเทวี จึงมีพละกำลังและความว่องไวที่เหนือธรรมชาติ พวกมันเข้าจู่โจมกองกำลังทหารด้วยความรวดเร็วและรุนแรง
ศิวะตะโกนไปยังพินทุ “ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรดี”
พินทุไม่หยุดสวดมนตรา ศิวะเห็นความมุ่งมั่นของพินทุ เขาจึงรวบรวมกำลังและใช้ดาบต่อสู้กับอสูรร้าย ด้วยความกล้าหาญศิวะใช้ทักษะดาบเพื่อปกป้องศรีออนและร่วมสู้ไปกับทหารของเขา
ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด พินทุยังคงสวดมนตราด้วยพลังที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น พินทุได้นำพระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา พระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงประกายเจิดจ้า และนำพระขรรค์ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ด้วยพลังของเทพยดาที่ปกป้องรักษาบ้านเมือง ข้าขอให้พระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้จงทำลายศัตรูหมู่มารให้สิ้น”
เมื่อนั้นเกิดประกายบนท้องฟ้าอีกครั้ง เกิดเสียงฟ้าร้องดังราวกับอสนีบาต พระขรรค์ส่องสว่างประกายไปทั่วบริเวณ และพุ่งขึ้นไปเหนือท้องฟ้า อัคนีนาฏเทวีเห็นว่าพลังของพวกเขาเริ่มรวมตัวกันก็ยิ่งโกรธแค้น
“ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้! ข้าคือผู้มีพลังอำนาจเหนือทุกสิ่ง!”
แสงสว่างจากพระขรรค์พุ่งตรงไปยังอัคนีนาฏเทวี ร่างของเธอเริ่มสั่นสะเทือนและพลังมืดที่เธอครอบครองอยู่ก็เริ่มสลายลง เธอตะโกนด้วยความโกรธและเจ็บปวด แสงสว่างของพระขรรค์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เมื่อนั้นร่างของเธอก็กลับลอยลงมา กลายเป็นเทวรูปหิน ดวงจิตและพลังของเธอที่เหลือถูกผนึกอยู่ภายในเทวรูป
แผ่นดินที่สั่นไหวและฟ้าฝนที่ตกอย่างไม่หยุดก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ อสูรร้ายทั้งสอง ปักษาดำและสมิงพรายก็ได้กลายร่างเป็นหิน เมฆหมอกต่างๆ ก็อันตรธานหายไป แสงแดดจากท้องฟ้าเริ่มค่อยๆ ปรากฏขึ้นจนกลับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง
ศิวะเข้าไปโอบกอดศรีออนด้วยความดีใจ “ต่อไปนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายอีกแล้ว ข้าสัญญา”
ศรีออนยิ้มทั้งน้ำตา “ข้ารู้ว่าข้าปลอดภัยเมื่ออยู่กับเจ้า”
พินทุมองทั้งสองด้วยความดีใจและมองกลับไปที่รูปปั้นอัคนีนาฏเทวีด้วยแววตาจริงจัง “ข้าหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
ศิวะพยักหน้าและจับมือศรีออนไว้ ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มกลับมาส่องแสงเหนือปราสาท พวกเขาทั้งสามยืนเคียงข้างกัน ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวังและความมุ่งมั่น วิญญาณของอัคนีนาฏเทวี ร้องด้วยความเสียใจและทรมานที่ต้องถูกจองจำอยู่ภายในเทวรูป
“วันหนึ่งถ้าข้าออกไปจากที่นี้ได้ พวกเจ้าจะต้องทรมานเจ็บปวดยิ่งกว่าข้า”
นับแต่อัคนีนาฏเทวีถูกกำราบลง ผู้คนก็ต่างเปลี่ยนถิ่นฐานและทิ้งอุษานครไว้เบื้องหลัง จนถูกป่ากลืนกินเมืองไปเหลือแต่เพียงเรื่องเล่าปรัมปรา

- READ มรดกมนตรา บทที่ 16 : ซินแสของเอกภพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 15 : สังเวยรัก…แด่นางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 14 : เสียงกระซิบจากแผลเก่า
- READ มรดกมนตรา บทที่ 13 : การตื่นขึ้นของกริชอาคม
- READ มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้
- READ มรดกมนตรา บทที่ 11 : นางฟ้าในคราบอสรพิษ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 10 : เงาร้ายในร่างเธอ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 9 : ใต้หน้ากากนางพญา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 8 : ไฟสุมทรวง
- READ มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
- READ มรดกมนตรา บทที่ 6 : อดีตของวิญญาณร้าย
- READ มรดกมนตรา บทที่ 5 : นางอสูรคืนชีพ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 3 : ปลดปล่อยเทวีมนตรา
- READ มรดกมนตรา บทที่ 2 : การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
- READ มรดกมนตรา บทที่ 1 : การมาถึงของหญิงสาว
- READ มรดกมนตรา : บทนำ







