
ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น
โดย :
“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา
เดินดงได้แต่ยืนมองรถกระบะขนาดกลางที่พ่อยกให้คล้ายเป็นทรัพย์สินคู่ใจชิ้นแรก รวมทั้งแปลกออกไปจากของขวัญที่มอบให้พี่สาวน้องสาวครั้งเมื่อทั้งคู่สอบผ่านปริญญาเอกปริญญาโทได้ เพราะทั้งสองครั้งนั้น พ่อให้สร้อยข้อมือทองน้ำหนักสามบาทคนละเส้น เป็นทองคำบริสุทธิ์ที่แม่ซื้อประจำจากร้านเก่าแก่เชื่อถือได้ในเยาวราช
แต่สำหรับเขาผู้เรียนครึ่งๆ กลางๆ จึงมีแค่อนุปริญญาหนึ่งใบกับประวัติอันหมองมัวเรื่องสตรีที่รักแล้วเลิก รักรวมสามสี่คนภายในหกเจ็ดปีที่เขาเริ่มเป็นหนุ่มขึ้นมา คงจะดีเล็กน้อยตรงที่ว่าเกิดเป็นบุรุษเพศทั้งทีมิได้เสียชาติเกิด อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า ‘ความรัก’ นั้นคือฉันใด ที่เคยรักบ้างเบื่อบ้างเป็นไฉน ความเหินห่างจางจืดมีรสชาติเช่นไร
จึงเท่ากับเขาได้รับ ‘รส’ จากความเป็นชายไว้แล้วอย่างเต็มที่เต็มความปรารถนาสมกับเกิดมาชาติหนึ่งของชายคนหนึ่ง
ทั้งๆ ที่อายุก็เพิ่งครบ 27 ปีเต็มเมื่อเดือนก่อน
เก่งกำลังจัดหีบห่อที่เป็นสมบัติส่วนตัวเขาและส่วนตัวนายด้วยทีท่าที่ใครๆ ก็รู้ดีว่าอยากไป
แต่พ่อแม่พี่สาวผู้ออกมายืนส่งเริ่มหน้าเศร้าลงหน่อยหนึ่ง เนื่องด้วยแต่แรกนั้น ทุกคนคิดเหมือนๆ กัน เขารู้ดี…นั่นก็คือเซ็งความประพฤติของคนหนุ่มไม่เอาถ่านทุกคืนวัน
‘เช้าขึ้นก็หายหัวไปแล้ว’ พ่อบ่นไม่เลิกรา
ฝ่ายแม่นั้นเข้าข้างเขาตลอดมา จึงมักจะพูดติดปากว่า
‘ช่างมันเถอะน้าพ่อ…มันเอาตัวรอดได้น่า…ก็ทำไมพ่อไม่หาอะไรที่มันชอบให้มันทำล่ะ…ค้าขายอย่างเราก็ไม่เอา…หาว่าขายของชำ ไม่มีเกียรติมีศักดิ์อะไร…แล้วทำไมถึงช่างนึกไม่ออกเอาซะมั่งเลยว่า ของบางอย่างขายเงียบขายดีขายจนคนย้ายจากตึกแถวโทรมๆ ไปอยู่คฤหาสน์ก็มีมาแล้ว’
แม่นั้นเพียรหาทางมาแก้ตัวให้เขามิไม่รู้ว่าวันละกี่หน
แต่พ่อไม่เคยเห็นด้วย
เห็นอย่างเดียวว่า ตนเองช่างโชคร้ายกระไรเช่นนี้ที่มีลูกชายคนเดียวก็แสนจะทำให้คนในบ้านเหี่ยวเฉาถ้วนหน้า
ครั้นแล้วจึงมาถึงวันนี้ วันที่เดินดงอายุย่าง 28
พ่อจึงตัดสินใจหาอาชีพใหม่ให้เขา
นั่นก็คือ เกษตรกร
ธุรกิจร้านชำหรือที่เรียกอย่างสมัยใหม่ว่าร้านสะดวกซื้อช่วยให้พ่อซื้อที่สวยไว้ 3 ผืน สำหรับลูกสามคน ผืนหนึ่ง 12 ไร่ อีกผืน 15 ไร่ อีกผืน 25 ไร่ อยู่ติดชายภูเขาอันมีลำเนาไพรพร้อมลำธารไหลแรง ทั้งสามผืนได้มาจากพ่อค้าด้วยกันที่ขายเพื่อนำเงินไปต่อยอดงานของเขา เนื่องด้วยเศรษฐกิจในระยะที่โรคร้ายระบาดค่อยๆ อ่อนแรงลง สินค้ามากมายขายไม่ออก บางแห่งต้องปิดกิจการหลายสิบปีลงอย่างน่าเสียดาย…
ฉะนั้น ผู้ใดยังสามารถยืนยงคงกระพันราวกับเสาต้นสั้นๆ เตี้ยๆ หักโค่นยาก จึงนับว่าโชคดีมหาศาลที่ความพังมหากาฬเอื้อมมาไม่ถึง
เดชกับอัมพวา พ่อกับแม่เขา สามีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก คือหนึ่งในผู้รอดพ้นมาได้
ทุกข์ที่เหลืออยู่ของพ่อแม่ จึงคือทุกข์จากลูกชายหนึ่งเดียวผู้นี้โดยแท้
ไม่มีทุกข์อื่นจะยิ่งใหญ่กว่า
ดังนั้น ในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวเปรยออกมาว่า
‘เบื่อโลก อยากไปไกลๆ’
เดชจึงนึกถึงที่ดินสามแปลงนี้ขึ้นมาได้…
ไกลกว่านั้นก็คือ ถ้าเดินดงรักงานปลูกพืชผักผลไม้ ก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีกหลายเท่า
อย่ากระนั้นเลย…จำเราจะต้องรีบหาเมล็ดพันธุ์ทั้งผัก ผลไม้ และต้นไม้อื่นอีกจำนวนหนึ่ง เพียงพอที่จะหว่านโปรยให้ที่ดินว่างๆ กลายเป็นอุทยานพืชพันธุ์
ดังนั้น หลายเดือนที่ผ่านมา นางอัมพวาจึงมีงานใหม่อันได้แก่เสาะหาเมล็ดพันธุ์พืชที่น่านำลงดินโดยมีปุ๋ยออร์แกนิกคือปุ๋ยปลอดสารเคมีเป็นเครื่องช่วยให้พืชเติบโตอย่างหมดสิ้นอันตราย
ในวันนี้ที่ท่านพระครูหาฤกษ์ให้ จึงเป็นวันอันดีงามใหม่เอี่ยมที่ช่วยให้ทุกคนเบิกบานแจ่มใสถ้วนหน้า
เก่งคือเด็กหนุ่มลูกชายนายกริ่งและนางจันทร์ที่เดชเคยยกเงินให้คนทั้งคู่ก้อนหนึ่งไปไว้ต่อยอดการค้า ก็มิใช่หรูหรากระไรนัก เพียงแค่ร้านขายของชำเล็กๆ หน้าปากซอยที่ถัดไป แต่ยังมิทันไร นางจันทร์ก็เป็นมะเร็งวายชนม์ไป นายกริ่งมีภรรยาใหม่ เลิกทำร้าน แต่เก่งเติบโตขึ้นมากับเดชและอัมพวา จึงขออยู่ขายของ ช่วยทั้งคู่สืบไป โดยพ่อแม่ของเดินดงเป็นผู้อุปการะให้เรียนจนจบ ปวช.
คราวนี้ เก่งจึงขอตามเดินดงเข้าป่า
‘จะบุกเบิกอะไรกี่ไร่ก็ได้พี่ดง ถึงไหนถึงกัน’
เมื่อความปรารถนาตรงกันทั้งคู่ พ่อแม่พี่สาวน้องสาวจึงพลอยเห็นดีเห็นงาม ไม่ขัดแย้งใดๆ ที่จะยกรถกระบะใหม่เอี่ยมขนาดกลางหนึ่งคัน จักรยานสองล้อคันหนึ่ง ข้าวสารอาหารสดและแห้งทั้งคาวหวาน ที่สำคัญราวดวงใจก็คือพรรณไม้นานาชนิด ทั้งไม้พุ่ม ไม้กอ ไม้ดอก พร้อมปุ๋ยอินทรีย์ให้เขา
“งั้นดงไปและนะครับพ่อแม่ พี่อิง น้องอร”
“เออ…ขอให้ดงโชคดีนะลูกนะ” น้ำตาอัมพวาเริ่มซึมออกมาด้วยว่าสุดสงสารลูกคนกลางอย่างที่สุด
กาญจนบุรีที่เขาจะต้องไปพำนักอยู่นี้ จะว่าใกล้หรือไกลก็ได้ แต่แม้จะใกล้หรือไกล ชายหนุ่มก็ไม่เกี่ยง…ด้วยว่าเป็นจังหวัดที่แม้เคยไปแค่หนเดียว แต่ก็ได้ยินใครต่อใครเอ่ยถึงจนคุ้นหู
เพียงแต่สตาร์ตรถโดยเขาเองเป็นคนขับ เก่งนั่งข้าง ด้านหลังเต็มไปด้วยข้าวของของผู้อพยพที่แม่เป็นคนจัดการ มีผ้าใบสีน้ำเงินผืนใหญ่ยึดคลุม ทุกมุมมีลูกกรงขึงกั้น เดินดงก็ได้แต่ใจคอวูบขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว
เคยแต่อ่านคอลัมน์คนดังที่ชอบเดินทางไกล มีเพียงกระเป๋าใหญ่ใบหนึ่งกับถุงเล็กอีกหนึ่งใบสะพายบ่า อ่านพลางพลอยสนุกไปด้วยกับผู้เขียน แต่ตนเองไม่เคยเดินทางไกล เนื่องด้วยเอาแต่ทำลายเวลาไปกับเรื่องรักและร้าง จึงมิเคยสัมผัสโลกกว้างอย่างลูกผู้ชายที่ทุกลมหายใจมีแต่การผจญโลกผจญชีวิตเช่นเขาอื่น
ไม่เคยสัมผัสถึงความยากลำบากใดๆ
“พี่ดงยังไม่เคยไปตอนที่คุณลุงมาปลูกกระท่อมเมื่อต้นปี” เก่งเอ่ยขณะที่นายจ้างพารถออกจากประตูบ้านที่บัดนี้คือตึกทันสมัย สร้างจากรายได้ร้านชำในยุคที่ยังไม่เป็นร้านสะดวกซื้อแล้วแข่งกับเซเว่น-อีเลเว่นไม่ไหว “ที่ผมไปด้วย”
“นั่นซี…เคยไปแค่หนเดียวตอนยังไม่ปลูกกระท่อม”
“แล้วจะเชื่อได้ไงว่ามันยังอยู่” เก่งกลายเป็นอีกหนึ่งหนุ่มผู้ไม่ไว้วางใจมิจฉาชีพที่บัดนี้กลายเป็นอาชีพอันสุดแสนจะอื้อฉาวก้าวหน้า “ดีไม่ดี มันมารื้อเอาไม้เอาแฝกไปซะละก็”
“ก็ปลูกเอาใหม่” เดินดงได้แต่ตอบดื้อๆ เพราะถือว่าก็แค่กระท่อม
“เอางั้นเหรอพี่”
“มันได้แค่นั้นก็เอาแค่นั้นละกัน” ชายหนุ่มได้แต่ตอบง่ายๆ
ปัจจุบัน…คือวันเวลาที่เขาเองพยายามทำเรื่องยากให้ง่ายอยู่เสมอ แข่งกับเรื่องยากอื่นๆ ใน ‘ตลาด’
ทั้งตลาดการบ้าน ตลาดการเมือง ตลาดบ้านแบบเมืองๆ ตลาดเมืองแบบบ้านๆ
แค่นี้ก็สุดแสนจะเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจยิ่งนัก แล้วยังจะมัวประดักประเดิดอยู่ทำไม…เมืองกาญจน์…ก็ใช่ว่าจะทุรกันดารเมื่อไหร่เล่า
“พี่ดูท้อๆ ไงไม่รู้” เก่งก็เลยดักคอขณะเหลือบดูหน้าคนขับ “ไม่เอาละนะ…พี่นะ…ไงๆ พี่ก็จะต้องไปดู ไหนๆ คุณลุงก็ตั้งใจยกให้พี่แล้ว…เอาน่า…มีผมไปด้วยนี่ พี่จะต้องกลัวอะไร…ไงๆ ผมก็ช่วยพี่ลุยได้อยู่แล้ว”
“ว่าแต่ว่า…จากนี้ไป กี่ชั่วโมงจะถึงฮึแก”
“ผมว่า…ไหนๆ มาแล้ว ค้างในเมืองก่อนไหม ไม่เป็นไรน่า จอดรถในปั๊มใหญ่ เอามุ้งมากางนอน ขี้คร้านจะสบายไปเท่านั้น” หนุ่มวัย 21 ทำเสียงสนุกโดยที่เขาไม่พลอยสนุกด้วย
“เช่าโรงแรมถูกๆ นอนดีกว่า” เขามองดูในแผนที่ตรงหน้าปัดที่รถกำลังแล่นไปข้างหน้า “แกอยากนอนมุ้งเหรอ…ถ้างั้นก็นอนไปนะ เราน่ะไม่เอาด้วยหรอก กำลังนอนๆ มีคนมาจี้จะทำยังไง วายร้ายเต็มเมืองออกยังนี้”
ตกลงจึงเป็นอันว่า ถ้าถึงตัวเมืองกาญจนบุรีเมื่อไร ก็แวะเช่าโรงแรมราคากลางๆ นอนพักให้สบายก่อนดีกว่า
“ถ้าพี่ดงอยากนอนแพก็มีแพให้นอนนี่ฮะ…เอาไหม…ไปเช่าแพนอน”
“เออ…เอาๆ เราชอบแพว่ะ” เดินดงรีบตอบรับทันใด
“งั้น…เดี๋ยวผมจะถามเขาดูว่ามีว่างไหม…น่าจะมีนะ” เก่งพูดเองเออเองเสร็จสรรพ “นี่ไง…ผมมีเบอร์โทรติดต่อกับโรงแรม แพริมฝั่ง แพล่องแม่น้ำ แต่นั่นเขามักจะจองกันเป็นกลุ่มใหญ่ กินนอนบนแพ”
“เอาแพริมฝั่งก็ได้ จะได้นั่งเย็นๆ”
“ตอนนี้อากาศก็ค่อนข้างเย็นแล้ว…ไม่เหมือนเตาอบเดือนก่อน” เก่งหมายถึงนี่ใกล้จะย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มคลายร้อนจากฝนสู่หนาว “ถูกไล่ตานี้ก็โชคดีเหมือนกันไงพี่…ฮิฮิ…”
“ไอ้บ้า” เดินดงก็เลยขำคำว่า ‘ถูกไล่’ “ก็ดีไม่ใช่เหรอ…ไม่งั้นชีวิตนี้มันก็ดูท่าจะสบายเกินไป”
“ไปที่…เอ้อ…เรียกว่า ‘ไร่’ ดีไหมฮะ…สารรูปเป็นยังไงน่ะ ผมจำได้แม่นว่ามันมีตั้งยี่สิบห้าไร่นี่ไม่ใช่น้อยนะ อยู่ตีนเขา…แต่ไม่รู้ว่าชิดเขาแค่ไหน…มีที่ใครอยู่ติดกับพี่สามคนมั่ง”
“ไม่มีความรู้เลย…แค่มีบ้านให้กางมุ้งนอนก็เอาละวะ” เดินดงตอบอย่างไม่พรั่นพรึงใดๆ
ไหนๆ เขาก็ตั้งใจสลัดความหลังอันเสมือนเสื้อผ้าที่คลุกฝุ่นแล้วถูกฉีกออกเป็นชิ้นเป็นริ้วตัวนั้นแล้ว เส้นทางข้างหน้าจะระหกระเหินหรือทุกข์ทนเพียงไร ก็จำเป็นจำใจยอมรับจนถึงที่สุด
คืนนั้น เขากับเก่งก็ได้พักผ่อนนอนสบายบนแพริมน้ำที่โชคดีว่างอยู่หลังหนึ่ง
เป็นแพที่เทียบอยู่กับท่า ซึ่งมีบ้านพักเรียงรายเป็นแถวอยู่บนตลิ่งอันลาดเรียบด้วยทางดินปูอิฐ มีลานจอดรถอยู่ลึกขึ้นไป
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 7 : พืชพรรณไม้มงคล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 6 : ตำราล้ำค่า
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 2 : ผู้พบใหม่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น