
ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 10 : ยามวิกาล
โดย :
“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ “กฤษณา อโศกสิน” ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา
นายไวนั่นเอง…คราวนี้เขามารถสองแถวที่ตนเองขับรับส่งเป็นประจำ จอดแล้วจึงก้าวเข้ามาเกาะชานกระท่อมด้านหน้า ขณะที่เก่งออกไปรับซองเล็กๆ จากมืออีกฝ่าย
“หลวงพ่อท่านวานให้เอามา…ท่านว่าท่านผูกดวงให้เสร็จสรรพด้วย แล้วทายไว้ในนี้แล้ว”
“เหรอพี่” เก่งพึมพำขณะรับซองไว้อย่างดีใจแทนนายจ้างผู้ยังลังเลรีรออยู่ตรงประตูห้อง เนื่องด้วยยังไม่แน่ใจ ไม่ไว้ใจ ทั้งคนและภูมิประเทศสักเท่าไร…แม้ว่าจะตั้งความหวังไว้แน่วแน่แล้วว่า คงต้องค่อยๆ ทำใจให้เป็นเนื้อเดียวกันกับดินแดนแห่งใหม่ที่จะว่าใกล้หรือไกลก็ไม่เชิงนี้ให้จงได้…โดยมีพืชพรรณไม้ศักดิ์สิทธิ์นำทาง “โอ้โฮ…ท่านใจดีจังนะ อุตส่าห์ส่งมาค่ำๆ มืดๆ”
“คงไม่อยากให้ใครถามมั้ง” ไวตอบอย่างคุ้นเคยเป็นอันดีกับท่านเจ้าคณะ “คือท่านเคร่งมากทุกอย่างไง…เอาละนะ…เราไปละ…ให้เจ้านายอ่านซะ…เพี้ยง…ขอให้ท่านทายดีละกัน…จะได้อยู่กันนานๆ มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกมาเลยนะเก่ง”
หนุ่มลูกน้องพยักหน้า
“ขอบคุณพี่มาก ก็แล้วพรุ่งนี้จะมาไหม”
ไวนิ่งคิดพลางบอก
“คงไม่มา พรุ่งนี้มีคนเหมารถสองแถวครึ่งวัน ให้พาไปทั่วๆ อำเภอ…”
“ดีแล้ว พี่จะได้รวยวันรวยคืน” อีกฝ่ายประเหลาะเอาใจไว้วันหน้า
ไวไปแล้ว เสียงแต้กๆ ดังสักครู่ก็เหลือแค่ความเงียบกริบท่ามกลางแสงจากดวงจันทร์ต้นข้างแรมอันสาดไปทั่วที่ดินโล่งเรียบที่แลดูเป็นผืนกว้างว่างลิบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแต่รถคันหนึ่งครรไลลาจากไป โดยพลันก็เหลือแต่ความอ้างว้างน่าใจหาย คล้ายจะรอดหรือไม่รอด ยังบอกมิได้
เก่งขึ้นบันไดกระท่อมแล้วเปิดประตูที่ทำด้วยไม้ไผ่…เออหนอ…ทุกแห่งหนมีแต่ไม้กับไผ่ ใจคอจะไม่มีอย่างอื่นให้ชื่นใจเลยหรือ…
หากก็นั่งลง ส่งซองสีขาวสั้นมีตราธรรมจักรตรงมุมซ้าย ปิดผนึกอย่างแน่นไว้ตลอดแนวปากซองให้นายหนุ่มผู้ยังคงนั่งเหยียดขาอยู่บนฟูก ยังไม่ครอบมุ้งเตรียมนอน
“ท่านพระครูพิชิตฝากมาฮะ พี่ดง คงดูดวงให้อ่านกันจนตาแฉะ”
ชายหนุ่มจึงใช้ก้านไม้ปลายแหลมที่เก่งเหลาเตรียมไว้ให้ใช้งานแทนที่คั่นหนังสือ สอดเข้าไปตรงช่องแคบนิดๆ ที่ผู้ปิดซองเหลือไว้ จนซองเปิดกว้าง ดึงทั้งบัตรสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาวใกล้ๆ นามบัตรทั่วไปกับกระดาษขาวแผ่นใหญ่พับสี่ออกมาคลี่อ่านท่ามกลางแสงตะเกียงลานที่เก่งช่วยหมุนไส้ของมันให้สูงพอที่แสงจะโชนเต็มที่
บนกระดาษเอ 4 นั้น เต็มแน่นด้วยลายมือของท่านพิชิต
ส่วนนามบัตรเล็กๆ มีแค่รูปดวงชะตากับตัวเลขอันเป็น วัน เดือน ปี เวลาตกฟากครบครัน หากก็คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยผ่านตามาก่อนจากหนังสือพิมพ์รายวันกับบนหน้าเฟซที่มีการทำนายทายทักเป็นประจำ แต่เขาไม่เคยแวะอ่าน
“อือ…ท่านเขียนว่า เราเป็นคนราศีมังกรนะ เป็นราศีที่แข็งแรงมากเนื่องจากเป็นราศีทวาร ยิ่งเกิดวันเสาร์แล้ว ก็ยิ่งแกร่งดีทีเดียว มิหนำซ้ำยังมีดาวมฤตกุมลัคน์” เดินดงไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่เขายอมรับว่า ทำอย่างไรเสีย เขาก็ไม่มีวันรู้เรื่องที่ท่านพระครูจดจารมา แต่ก็พยายามรวบรวม ตีความให้ได้มากที่สุด “เจ้าเรือนลัคน์นี้คือ 7 ก็ไปอยู่เรือนกดุมภะ…อ้าว…กดุมภะนี่มันแปลว่าอะไรเก่ง”
เจ้าของดวงชะตาชะงักงัน หันไปถามคู่ใจอย่างไม่กลัวจะโง่กว่า
“กดุมภะ” เก่งก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหราในแสงตะเกียง พร้อมกับพึมพำ “กดุมภะ…กะดุม…คงไม่ใช่ที่ติดเสื้อนะพี่”
“ไอ้บ้า” ชายหนุ่มร้องเบาๆ หากก็ยิ้มพรายพร้อมพึมพำ “รู้ละว่า…มาคราวนี้ แม่ลืมอะไร…ของสำคัญซะด้วย…พจนานุกรมไงล่ะ”
“ก็ใครจะนึกถึงล่ะพี่ว่า…บ้านป่าดงดิบ…เอ้ย…ดงดอยขนาดนี้ จะต้องใช้พจนานุกรม…”
“ใช่” อีกฝ่ายพยักหน้า หากก็ไม่ว่ากระไร ยังคงก้มลงอ่านตัวอักษรที่คล้ายลายมือคนสมัยเก่า นั่นก็คือ กอปรด้วยเส้นสายลายสวยเป็นระเบียบงดงาม เพื่อสื่อความหมายที่คนไม่รู้โหราศาสตร์ก็สามารถเข้าใจได้
แต่นั่นคงเป็นเพียงความคาดเดาของท่านเท่านั้น
“ถ้างั้น พรุ่งนี้ผมซื้อให้…จะได้รู้ว่า กดุมภะ นี่มันกะดุมติดเสื้ออ๊ะป่าว”
“ดี” อีกฝ่ายพยักหน้า หากแต่อ่านต่อเสียงดังพอได้ยินกันสองคนท่ามกลางความเงียบที่มีหมู่แมลงร้องระงมขึ้นมา ชวนว้าเหว่ในหัวใจ “แต่…อ้าว…แต่นี่ท่านเริ่มบรรยายแล้วไง…ท่านอธิบายว่า กดุมภะ หมายถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของเรา ที่เราหามาเองหรือมีคนมอบให้…ทั้งสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้เช่นเตารีด กับอสังหาริมทรัพย์คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่นที่ดิน…อ้าว…เริ่มเข้าล็อกเราแล้วละซีเนี่ย…ซึ่งราศีกุมภ์ที่เสาร์จากราศีมังกรไปอาศัยอยู่เป็นบ้านของราหูที่เป็นมิตรกัน…จึงนับว่าเจ้าของดวงนี้โชคดีมาก…ได้อะไรมากี่อย่าง…ก็ล้วนแต่ฟลุคทั้งสิ้น”
“ภาษาท่านพระครูก็เฟี้ยวไม่หยอกเลยนา” เก่งรับเสียงอย่างพยายามให้ครึกครื้น เพื่อกลบความวังเวงใจยามค่ำ
“ท่านคงอยากให้เราอ่านแบบสนุกมากกว่า” เดินดงพึมพำขณะนึกถึงหน้าตาใจดีของผู้ทำนาย
อากาศค่อยๆ ทวีความเยียบเย็นขึ้นเป็นลำดับ จนเดินดงต้องฉวยผ้าห่มขนสัตว์ผืนใหญ่ที่แม่อีกนั่นแหละเตรียมมาให้มาคลุมทั้งตัวแล้วหุ้มคอไว้ หากก็ยังคงก้มหน้าอ่านคำทำนายบนกระดาษแผ่นยาวต่อไป
“สงสัยดวงพี่ดงคงดีพิลึก” เก่งคาดเดาขณะที่ตัวเขาเองก็มีผ้าห่มเก่าๆ ผืนบางซ้อนกันสองผืนมาห่มคลุม แต่ก็ยังไม่เอนกายลงนอน เพราะนี่ก็ถือว่าหัวค่ำถ้าเทียบกับกลางคืนที่กรุงเทพฯ บางคืนก็อาจจะใกล้สี่ห้าทุ่ม
“ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะท่านก็เขียนว่า เสาร์…เอ…อ้อ…คงเลข 7 นี่แหละ มีอังคารเล็ง…อังคารนี่เลข 3 ใช่ไหม”
“ใช่นะ…ผมว่าใช่…”
“ดูแกไม่ค่อยจะแน่ใจซะเลยนะ ไอ้บ้า”
“แน่ใจได้ไงล่ะพี่ก็…ยังไม่เห็นอะไรเลย” อีกฝ่ายทำเสียง
“เออ…จริง” พลางก็ยื่นบัตรสี่เหลี่ยมให้ดู
เก่งเพ่งพิศพร้อมส่ายหน้า
“ใคร้จะไปรู้ได้…เลขยังกะรหัส ผมเองก็ไม่เคยดูหมอ เคยแค่เลื่อนๆ ดูในเฟซก็ไม่ค่อยตรง เลยไม่ดูดีกว่า” เก่งว่าพลางเพ่งพิศตัวเลขตามช่องต่างๆ “แล้วตัวเลขพวกนี้ก็ยังมีความหมาย ตีความไปได้ต่างๆ ที่คนไม่เคยเรียน จะไม่มีวันเข้าใจ”
“แต่ท่านก็ทายไว้เยอะนะ”
“ฮะ…เยอะดี…แล้วส่วนใหญ่ท่านก็ว่าดีนี่พี่ แต่คนเราก็ต้องมีอุปสรรคมั่งเป็นธรรมดา ฮิฮิ…เพียงแต่อ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องแค่นั้น” พลางเขาก็ส่งคืน “เอาไว้ก่อนแล้วผมจะค่อยๆ อ่าน ตอนนี้ตาลายแล้ว…”
“เหมือนกัน” ชายหนุ่มส่ายหน้าขณะพับกระดาษตามรอยเดิม แล้วเสียบบัตรดวงแนบไว้ เสียบซองเข้ากับใต้หมอน เตรียมดึงโครงมุ้งให้เลื่อนลงมาครอบ
แต่เก่งลุกขึ้น ตรวจตราประตูไม้ไผ่ทั้งด้านหน้าด้านหลัง รวมทั้งไม้ค้ำยันหน้าต่างที่ค้ำให้เผยอไว้ไม่มาก
หากก็ต้องสะดุ้ง เมื่อแลเห็นแสงไฟฉายจากใครคนใดคนหนึ่งฉายกราดไปมาอยู่ตรงโน้น
“พี่ฮะ” เสียงของเขาก็เลยเริ่มสั่น
“ว่าไง”
“มีใครก็ไม่ทราบ” หนุ่มคู่ใจเริ่มอึกอัก “ฉายไฟอยู่โน่น”
“ใครวะ” เดินดงขยับตัวลุกขึ้น ปัดผ้าห่มออกจากตัว ดึงโครงมุ้งให้เลื่อนลงกองอยู่กับขอบฟูก พลางเกาะขอบหน้าต่าง ก้มลงมองออกไป
จริงของเก่ง
มีใครคนหนึ่งหรือสองคน กำลังฉายไฟไปมาในทีท่ากวัดแกว่ง
“เอ…” เขาก็เลยลากเสียงงึมงำในลำคอ “กูชักจะไม่ชอบใจไอ้บ้านป่าเมืองเถื่อนนี่ซะแล้วซีโว้ย”
“อย่าเอะอะไปพี่…อาจเป็นคนแถวนี้ที่เขาไม่กล้าแสดงตัวก็ได้มั้ง” หนุ่มข้างกายพึมพำ “พี่ก็จำไม่ได้เหรอ ลุงนวมแกก็ทำท่าเหมือนไม่ได้มีนายจังเจ้าเดียว ยังมีนายอะไรอีกนะ เพียงแต่ไม่ได้บอกออกมาแค่นั้นว่านายอะไร…”
“เป็นอันว่า เรามาอยู่กับเสือสิงห์กระทิงแรดหรือเปล่าวะเนี่ย”
แต่เก่งไม่ตอบ…เขาเองก็จำเป็นต้องคิดเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบแทนนายเหมือนกัน เพราะนางอัมพวากำชับนักหนาว่า ‘ไงๆ แกก็ต้องตามพี่เขาไปทุกที่เลยนะ อย่าทิ้งเขาเป็นอันขาด’
หนุ่มวัยต้นก็รับปากเป็นอย่างดี จึงในลมหายใจของเขาทุกนาทีย่อมมีแต่ พี่ดง
“เงียบก่อนพี่” เขาก็เลยแตะริมฝีปากมาให้อีกฝ่ายบ่นดัง
ท่ามกลางความเงียบกริบนอกจากเสียงแมลงและนกกลางคืน สองตาของหนุ่มทั้งคู่จึงมีแต่ตื่นตัวกับการไปการมาของเจ้าของถิ่นซึ่งไม่รู้ว่ามีทั้งหมดกี่ราย
แต่เดินดงก็นิ่งสนิทตามคำของอีกฝ่าย
เก่งเอื้อมมือไปหรี่ตะเกียงลาน
หากทันใดนั้น ไฟฉายก็ฉายกราดๆ ใกล้เข้ามา เก่งก็เลยเคลื่อนกายเงียบเชียบ คว้าข้อมือเดินดงไว้บีบเบาๆ เพื่อให้เขาไม่ส่งเสียงถาม
สักอึดใจเต็ม…แสงไฟฉายก็ฉายเลยไปยังหลังกระท่อม…เหมือนสำรวจตุ่มน้ำและเครื่องใช้ที่วางอยู่รายรอบ รวมทั้งรถกระบะที่จอดไว้ชิดด้านข้าง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 10 : ยามวิกาล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 9 : วิถีเพิ่งเริ่มต้น
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 7 : พืชพรรณไม้มงคล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 6 : ตำราล้ำค่า
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 2 : ผู้พบใหม่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น