
ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 11 : ผู้มาเยือน
โดย :
“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา
หากท้ายที่สุด แสงไฟฉายที่มีทีท่าว่าจะแข่งแสงกับดวงจันทร์เบื้องบนก็ค่อยตวัดปลายห่างออกไป…แต่ก็คล้ายกับคนคนนั้นมาจักรยานสองล้อ เพราะได้ยินเสียงบดเบาๆ กับพื้นดิน คงมาด้วยกันแค่สองคน ด้วยว่ามีเสียงงึมงำที่จับใจความไม่ได้ลอดเข้ามา…ขณะที่ทั้งเดินดงและเก่งหมอบตัวแข็ง…เพียรมองลอดไม้ค้ำหน้าต่างออกไป หากก็เห็นแค่เงาถนนรางๆ กลางแสงเดือน…คนที่แอบย่องมาดูลาดเลาพาพาหนะของเขาจากไปแล้ว ทั้งคู่จึงรอจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครหวนกลับมาทำลายความสงบยามดวงจันทราส่องสว่าง
ก็ดูเอาเถอะ…นี่ถ้าเป็นบ้านในกรุงเทพฯ เขากับเก่งหรือจะมาหมอบคุดคู้กลัวผู้บุกรุกในทีท่าน่าขัน นั่นก็คือเกรงเจ้าถิ่นที่มิรู้ว่าคนไหนจนลนลาน แทนอาการของผู้อุดมด้วยอิสระยามเมื่อแหงนมองฟากฟ้าคราเดือนเด่นดวง
“มัน…ไป…แล้วพี่” เสียงแผ่วของเก่งดังขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มยกคอขึ้นตั้ง
“กูชักจะเริ่มรำคาญแล้วนะ” เขาก็เลยบอกตรงตามนิสัย “อยู่ดีไม่ว่าดี ดันขนของมาเจอใครก็ไม่รู้…รู้เหมือนกัน…แต่รู้หน้าไม่รู้ใจ…แล้วนี่ก็จะต้องรอ…ไวน่ะไม่มาเอี้ยงจะมาไหมยังไม่ได้บอก แต่ลุงนวม…น่าจะมา…จัง จัด มาแน่ นางยักษ์มาไม่มายังเอาแน่ไม่ได้…”
เก่งก็เลยแทบจะหัวเราะก๊ากออกมา
“เอ้อเฮอะ…นางสวยออกจะตาย พี่ก็ว่าซะน่ากลัว”
“ก็จริงนี่หว่า…” เจ้าตัวได้แต่หัวเราะขำ “ทำท่าถือไม้…ยังกะใครมันจะมาฉุดงั้นละ”
“อ้าว…มันก็แน่ซะเมื่อไหร่ว่าจะไม่มีใครฉุด” อีกฝ่ายยังคงงึมงำ ด้วยเกรงยามค่ำจะเดินทางมาพร้อมกองกำลังลึกลับ
ทันใดนั้น ลูกน้องก็นึกขึ้นมาได้ว่า นอกจากปลูกไผ่ มะพร้าว กุ่มไว้หน้าบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ก็น่าจะล้อมรั้วไว้ให้เป็นสัดส่วนอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อชายหนุ่มฟังแล้ว ก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน จึงตอบสนอง
“จริงของแก…เราก็นึกอยู่เหมือนกันว่า อยากจะทำอะไรซักอย่างน้า…แต่ก็นึกไม่ออก…ตามประสาคนไม่เคยมีบ้าน” พลางเจ้าตัวก็หัวเราะเบาๆ เบาแสนเบา…ด้วยว่า เกรงใครสักคนหรือหลายคนผู้อยู่ในความมืด จะยังซุ่มดูอยู่หรือไม่
“ไม่เคยอยู่บ้านมากกว่า” เก่งเลยเอนตัวลงนอน แม้จะยังไม่ง่วง เพียงแต่ยังไม่ดึงมุ้งลงมาครอบ เนื่องด้วยนายจ้างยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะนิทราแต่อย่างใด
“จริงของแก” เดินดงพยักหน้า “เป็นพวกที่ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘บ้าน’ ไม่สนคำว่า ‘ครอบครัว’
อีกฝ่ายก็เลยนิ่งไปเหมือนนึกถึงชะตาชีวิตของตนเอง
ที่จริง…เขากับนายจ้างก็ขาดวิ่นพอๆ กัน แม้เขาจะขาดแท้ นายของเขาเพียงแต่ขาดปลอม แต่ท้ายที่สุดก็นับว่า ‘ขาด’ เช่นกัน
“ขาดก็ขาดไปพี่” เก่งตอบยังไม่มีกังวล “ขาดก็หาเอาใหม่…ผมว่า…ชีวิตก็เหมือนผ้านั่นล่ะนะ มันมีขาดฉีกผุ…ตามอายุขัย…ไม่ใช่เหรอฮะ”
“เออ…ก็ใช่….” ฝ่ายนายจ้างพยักหน้าเพราะไม่เคยหยุดคิดว่าเกี่ยวกับอนิจจังหรือสังขาร เนื่องด้วยพ่อแม่พี่น้องยังแวดล้อมอยู่พร้อมหน้า…ทุกข์ที่มีบางเวลาเป็นเพียงทุกข์จากรักที่ตนเองหามาเอง…มาใส่ตัวใส่ใจใส่อารมณ์ให้ต้องดมดอมกลิ่นหอมหวานที่เปลี่ยนเป็นสาบสางในวันใดวันหนึ่ง “แกนี่ไม่เลวนะเว้ย เก่ง คิดตกดีจัง เรายังคิดไม่ได้อย่างแกเลย”
“ก็ผมผจญมาทุกอย่างแล้วนี่พี่ แม่เป็นมะเร็งอยู่หลายปี พอแม่ตาย พ่อมีเมียใหม่…มันก็จะอะไรซะนักหนา…ถ้าไม่ได้คุณพ่อคุณแม่คุณ ผมก็คงกลายเป็นเด็กเกเรประจำซอยไปนานแล้ว”
ความตื้นตันก็เลยแล่นขึ้นจับใจเดินดงเมื่อได้ฟัง
คนอย่างเก่งคงหาได้ยากแล้วสมัยนี้
“กูรับรอง” เขาก็เลยปล่อยความในใจ “กูจะไม่มีวันทิ้งมึงเลยชาตินี้”
หนุ่มวัยต้นก็เลยคลานลงจากฟูกเข้ามาพนมมือไหว้ พลางก้มศีรษะลงกับตักของเดินดง
น้ำตาซึมเต็มหน่วยตาเขา
แต่โดยพลัน ก็ได้ยินเสียงล้อรถบดมาเบาๆ บนถนนซ้ายมือ
เก่งก็เลยยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก
ตะเกียงลานยังคงส่องแสง…หากก็เพียงรางๆ
แสงจากไฟฉายฉวัดเฉวียนเวียนไปมาเชิงสำรวจตรวจตราทรัพย์สินของผู้มาใหม่
แต่รถจักรยานยังคงนอนสบายตะแคงข้างอยู่บนรถกระบะ เพราะกลัวขนลงมาแล้วจะมีคนฉวยเอาไป
การล้อมรั้วให้เป็นส่วนสัด แม้จะใช้การอะไรมิได้มาก เช่นป้องกันผู้บุกรุกก็ไม่น่าจะกันได้ หากก็ขอให้รู้ว่าเขตบ้านควรอยู่ตรงไหน อย่างน้อยก็ช่วยให้อุ่นใจ
“ใครวะ…นึกออกไหม…ทำไมมันยั่วกิเลสขนาดนี้วะ”
เก่งก็เลยคลานลงจากฟูกไปทางหลังกระท่อม ค่อยๆ ดึงไม้ไผ่ที่ขัดประตูไว้ต่างกลอนออกอย่างเพียรให้แผ่วเบา จนกระทั่งปลายไม้หลุดออก
ต่อจากนั้นจึงค่อยๆ แง้มประตูไม้ไผ่ที่ตีชิดเป็นแผง มองออกไป
เงาคนตะคุ่มๆ ที่แลเห็นในแสงนวลของจันทร์เจ้ากับแสงไฟแวววาบ คือชายร่างสูงใหญ่กับชายร่างผอมบาง ต่างก็มีไฟฉายฉายกราดไปมา ราวกับนี่คือที่ทางของตนเอง ชวนให้ทั้งเดินดงและเก่งเพียรนึกถึงถ้อยคำของนายนวม เอี้ยงกับไว ที่มักใช้คำว่า ‘บางคน’ หากก็ขยักไว้ราวกับไม่อยากบรรยายรายละเอียดสักเท่าไหร่ ทีท่าที่ไม่คิดจะเล่าจึงคล้ายกับเกรงใครบางคนที่เขาเอ่ยถึง
เป็นใครบางคนที่อาจมีหลายคนในท้องถิ่น
เมื่อวานและวันนี้ เขาเผชิญหน้ากับนายจังผู้เป็นเจ้าของไร่เชิงเขา
คืนนี้ ก็น่าจะมีรายใหม่มาเพิ่ม
“กลางวันก็ไม่ยักมา มาทำไมกลางค่ำกลางคืน ดีไม่ดี ถูกยิงตาย” เก่งหันมางึมงำกับนายจ้าง
“อย่านะแก…” ชายหนุ่มชูฝ่ามือเชิงปรามอย่างจริงจัง
เก่งมีปืนติดมา เป็นปืนมีทะเบียนเนื่องจากเขาเคยไปฝึกยิงปืนที่สนามฝึก เดชเห็นว่าลูกจ้างเป็นชายรวมทั้งเฉลียวฉลาด จึงอนุญาตให้ขอมีปืนไว้ป้องกันตัว ‘เหตุร้ายจะเกิดหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะเราไม่คิดจะรังแกใคร…เก่งนี่น่ะ…ไม่ใช่ลูกก็เกือบเหมือนลูกเข้าไปแล้ว’
พ่อกระทบกระเทียบมาถึงเขาทุกคราวที่โอกาสอำนวย
แม่ก็เลยไม่ยอมเข้าเนื้อ เพราะรู้ตัวว่าลูกชายคนเดียวที่ตนมี ไม่อาจลุกขึ้นมาเป็นชายเต็มชายเหมือนใครอื่น
‘ขืนให้กูพกปืน คงกลัวตายชัก’ เดินดงได้แต่พึมพำกับหนุ่มคู่ใจ
ครั้นแล้ว ณ บัดนี้ เก่งก็เลยกลายเป็น ‘บอดี้การ์ด’ ของเขาเต็มร้อย
“อยากรู้จังว่า มันใคร” เขาลดเสียงเบาลงจนกลายเป็นกระซิบ
คนร่างใหญ่ยังคงฉายไฟกราดไปมา ไกลจากหน้ากระท่อมไม่มาก หากก็ไม่ถึงกับก้าวเข้าใกล้จนเกินควร คนตัวผอม เตี้ยกว่าฉายไฟเข้าใต้ถุน ส่วนคนตัวโตฉายไฟไปที่รถกระบะซึ่งจอดอยู่เกือบชิดข้างเรือน
“มันจะเอาอะไรของมันวะ” ชายหนุ่มจากกรุงเทพฯ เริ่มรำคาญใจ
มีเรื่องที่จะต้องทำรออยู่อีกมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพาบารมีจากท่านพระครู ซึ่งท่านก็เมตตาด้วยดีนับตั้งแต่ดูดวงให้ ส่งคนมาช่วยเหลือจนคิดว่าน่าจะลุล่วงไปในไม่ช้า
แล้วนี่…เกิดอะไรขึ้น…จึงได้มีคนแปลกปลอมมายืนส่องไฟตอนใกล้สามทุ่ม
“ไลน์ไปบอกลุงนวมดีไหมพี่”
“อย่า” ชายหนุ่มยกฝ่ามือ “มันดึกแล้ว เกรงใจเขา…เอายังงี้ก็ได้…แกลองตัดสินใจดู…ว่า…ลงไปถามมันดีไหม…ถ้าไม่ดี…ก็เงียบไว้ก่อน…”
“เงียบดีกว่าพี่…เราคนมาใหม่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร…รู้แต่ว่า…มีนักเลงประจำถิ่นเต็มไปทุกจังหวัดใช่ไหม…ก็ถ้ายังงั้น…เงียบไว้…รอดูลาดเลาพรุ่งนี้…หรือถามคุณจังก่อน…จะดีกว่าไหม”
“ดี” เดินดงก็เลยเห็นด้วยว่าไม่สมควรผลีผลามในยามที่ตนเองเป็นคนหน้าใหม่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ทั้งหน้าทั้งใจคนที่นี่นอกจากท่านพระครูกับชายสามคน
“ถ้างั้นพี่ก็นอนเลย ทำไม่รู้ไม่ชี้…ผมก็จะนอนละ…มันอยากฉายไฟก็ฉายไป” เก่งพึมพำอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
เดินดงก็เลยดึงขอบมุ้งให้เลื่อนลงมาครอบพลางเอนกายลงบนฟูก กอดหมอนข้างไว้แน่น
“ถ้ามันขึ้นเรือนมาดึงเราออกจากมุ้ง…ผมจะเอาปืนออกมาขู่มันนะพี่” เสียงแผ่วลอดออกมาจากที่นอนตรงกันข้าม
“ไอ้บ้า กูช็อกแน่ละมึง” เขาก็เลยตอบออกไป
อีกฝ่ายก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ
ขณะที่เสียงล้อรถจักรยานค่อยๆ ห่างจนเงียบหาย เหลือไว้แต่เสียงแมลงกับแสงจากนวลจันทรา
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 17 : ท่ามาก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 16 : ทุกหนแห่งล้วนมีราคา
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 15 : ติดพัน ‘แม่เสือ’
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 14 : ไอ้หน้าโง่อหังการ
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 13 : คนดวงแข็ง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 12 : ไหว้เจ้าที่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 11 : ผู้มาเยือน
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 10 : ยามวิกาล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 9 : วิถีเพิ่งเริ่มต้น
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 7 : พืชพรรณไม้มงคล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 6 : ตำราล้ำค่า
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 2 : ผู้พบใหม่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น