ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 21 : เสนอตัว

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 21 : เสนอตัว

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

แม้จะผ่านอาหารกลางวันไปแล้ว แต่ทั้งนายจังกับนายโอกาสก็ยังไม่ยอมกลับ เนื่องด้วยยังมีเรื่อง ‘ตั้งศาลพระภูมิ’ รออยู่

“ถ้างั้น…ผมไปคุยให้ก็ได้ ลุงเดี่ยวสนิทกัน” นายโอกาสเสนอตัว…กะแซงหน้านายจังอย่างเปิดเผย

“ทุกคนในเมืองนี้สนิทกับลุงเดี่ยว” นายจังก็เลยสวนขึ้นมา หากก็แกมยิ้มพรายขำขัน “แต่เราไปด้วยกันทั้งหมดนี่ก็ได้…จันไปไหมลูก…”

ประโยคท้ายหันไปถามหญิงสาว

“ไปซีหนู” นายโอกาสคะยั้นคะยอ “ไงๆ ลุงก็ยังอยากให้ตั้งศาลเร็วๆ อย่างน้อยเราก็ยังได้มีเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองดูแล”

อือ…ชายหนุ่มครึมครางอยู่ในใจเมื่อมาได้พานพบชายวัยกลางคนผู้แม้จะทำธุรกิจสมัยใหม่ หากก็ยังติดข้องอยู่กับขนบประเพณีสมัยเก่า ดูเหมือนจะทั้งสองนายเลยทีเดียว

ไม่เหมือนเขาผู้ไม่เคยเหลียวแลไยดีเรื่องราวเหล่านี้ที่คิดเพียงว่า คือเรื่องเหลวไหลตลอดมา

แต่บรรดาคีมที่คอยบีบอยู่ทั้งสองข้างก็บังคับให้เขาต้องซ้อนท้ายจักรยานยนต์นายจังตามกันไปยังร้านขายศาลพระภูมิซึ่งลุงเดี่ยวนั่งอยู่แล้วเหมือนทุกวัน

ต่างก็เข้าไปทำความเคารพอย่างจริงใจ

“หาฤกษ์ตั้งศาลได้แล้วละคุณ” ชายสูงวัยบอกกล่าวหนุ่มจากกรุงเทพฯ อย่างอารมณ์ดี “ได้วันเสาร์ ตรงกับวันเกิดคุณ ปีนี้เป็นวันธงชัย ก็เอาวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกานี่ละ ขึ้น 14 ค่ำเดือน 12 พอใช้ได้ดี ถึงจะไม่ตรงตามตำราที่ว่าควรเป็น 11 ค่ำก็ไม่เป็นไร เดือน 12 วันเสาร์ วันนี้เป็นวันบริวารของคุณ ก็ถือว่าดีพอใช้ ไม่เป็นเดช ศรี มนตรี ก็ไม่เป็นไร”

เดินดงก็เลยพนมมือ กราบลงตรงหน้าลุงเดี่ยวพร้อมส่งซองขาวให้หนึ่งซองเป็นค่ายกครู

“ขอบพระคุณครับคุณลุง”

“ทางร้านจะขนไปไว้ที่ไร่คุณก่อนหนึ่งวันนะคะ” หญิงเจ้าของสถานที่บอกกล่าว

“นอกจากนั้น คุณจะต้องซื้อเครื่องประดับศาลไปด้วย” ลุงเอ่ยต่อ “มีเจว็ด กระถางธูป เชิงเทียน แจกัน ตุ๊กตาชายหญิง ช้างม้า…วันทำพิธี ต้องเตรียมเครื่องสังเวยต่างๆ แล้วจะจดให้คุณดู…”

“พร้อมราคาด้วยนะฮะ คุณลุง”

ตกลงกันด้วยดีเรียบร้อยแล้ว เดินดงจึงส่งเสียงไปยังมารดา ให้เจรจาเรื่องโอนเงินกับเจ้าของร้าน

แม่คงลอบถอนหายใจหลายเฮือกเลยละ…เขาได้แต่นึกในใจ

ดีแล้วไงแม่…ดีแล้ว…สุดยอดลูกชายคนเดียวนึกในใจ

สงสารก็สงสาร…เบื่อหน่ายก็ไม่น้อย

แม่ก็…นะ…ไม่น่าจะมาเคี่ยวเข็ญให้ชีวิตใครเป็นไปดังใจแม่เลยจนนิดเดียว

พ่ออีกคน…ว่าอะไรว่าตามกันซะเรื่อย

นี่ไง…ก็เลยต้องจ่าย…จ่าย…แล้วก็จ่าย

ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อไหร่จะหยุดได้

ชำระเงินแล้วจึงชวนกันกลับกระท่อมอีกครั้ง เพราะดูเหมือนทั้งสองครอบครัวจะแข่งกันเรื่องจะทำให้เดินดงเกิดศรัทธากับใครมากกว่ากัน

ท่าทางใคร่ผูกสัมพันธ์ไว้เป็นพวกพ้องอย่างออกนอกหน้า

“ว่าแต่ว่า…วันนี้คุณดงพอจะว่างแล้วละมัง ไปเยี่ยมไร่ผมสักหน่อยดีกว่าไหม”

“มาไม่ทันไรก็มาดึงคุณดงแล้วเหรอพี่” นายจังถามหัวเราะๆ

ยามนี้ บ่ายสามโมงกำลังจะผ่านไป

ชายหนุ่มยังไม่อยากจากกระท่อมที่ใกล้จะล้อมรั้วเสร็จ แต่ยังไม่เสร็จทีเดียวออกไปทำกิจอื่น จึงบอกให้ทั้งคู่รู้พร้อมกันว่า

“ระหว่างเดือนหน้านี่ ผมคงยังต้องขอตัวดูแลความเรียบร้อยสักหน่อยก่อนน่ะฮะ”

“อ้าว…จริงด้วย…โต๊ะเก้าอี้ก็ยังไม่มี” นายจังร้อง “ใช่…ถ้างั้น…พรุ่งนี้ผมจะให้คนขนมาเลยดีกว่า…โต๊ะเก้าอี้ที่บ้านมีเยอะ…เตรียมไว้รับแขกเวลามีงาน…คุณดงเอามาใช้ได้เลย…”

“ขอยืมมาวางน่ะฮะ” เขาตอบ ก็พอดีที่ได้สบตากับใบจันผู้นิ่งฟังมากกว่าพูดตลอดสามสี่ชั่วโมงที่นั่งอยู่ด้วยกัน…รวมทั้งไปยังร้านขายศาลพระภูมิจนกระทั่งกลับมาด้วยกัน

โดยยังไม่มีทีท่าว่าหล่อนจะเบื่อหน่าย

ที่จริง…ในยามนี้ ก็ดูเหมือนว่าชายคนใดในพื้นที่กว้างขวางด้วยไร่พืชโล่งลิบ ก็ไม่มีสักคนที่จะดูแล้วเหมาะสมทั้งตำแหน่ง ฐานะและบุคลิกภาพ ส่วนใหญ่มักมีคู่ครองแล้ว หรือมิฉะนั้นก็ผู้จับจองจนรู้กันทั่วไป…

ที่เหลือเลือกก็คือ นายอุกกาเพียงผู้เดียว

ชวนให้ใคร่หัวเราะขำขันแกมสงสารลับหลังยิ่งนัก

“ขนมาวันนี้เลยก็ได้นี่พ่อ” เสียงเบาแต่มีน้ำหนักจริงจังดังขึ้น

“งั้นเหรอ” นายจังฟังแล้วกุลีกุจอ ยกมือถือขึ้นสั่งคนทางโน้น เร็วราวกดปุ่มอัตโนมัติ

“เอาเก้าอี้มาสิบตัว โต๊ะใหญ่มาตัวนึง” เสียงเขาดังกังวาน

ขณะที่นายโอกาสยิ้มในหน้า หันมาพยักพเยิดกับเดินดง คล้ายบอกกล่าวว่า ‘นี่คือเขาละ กลัวแต่ลูกสาว’

 

เพียงครู่เดียว รถกระบะคันเล็กก็แล่นมาถึงพร้อมคนงานขนโต๊ะเก้าอี้ลงมาวางเรียงราวกับเสกเป่าด้วยมนตรา

อะไรจะรวดเร็วราวประกาศิตถึงเช่นนี้

ทั้งชายหนุ่มนายจ้างและลูกจ้างผู้มาจากเมืองกรุงก็ได้แต่เหลือบสบตากัน

“วันนี้นับเป็นวันดีมากเลยนะฮะ” เดินดงจึงหาทางปะเหลาะไว้ทั้งสองข้าง คือทั้งนายจังและนายโอกาสผู้เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า

“พรุ่งนี้ ผมจะส่งรถไถดินมาสองคันอย่างที่บอกไว้นะฮะ…แล้วถ้าผมว่าง ก็จะมาด้วย แต่ถ้าไม่ว่างก็จะให้อุกมา…จัง จัด หนูใบจันมาด้วยไหม จะได้มาดูเขาบุกเบิกไร่พอเพลินๆ”

ใบจันไม่รับปาก แต่นายจัดพยักหน้า

“ก็ว่าจะมานะลุง มาช่วยกัน คุณดงจะได้สบายใจ ขืนไม่มา ท่านพระครูรู้เข้าจะต่อว่าเอาได้”

นายโอกาสยิ้มอยู่ในหน้า หากก็ไม่ว่ากระไร

แต่ในใจนึกว่า

มีแต่มึงเท่านั้นเหรอที่ท่านไว้ใจ’

ฝ่ายนายอุกกามองหน้าหญิงสาวอย่างวิงวอน เดินดงแลเห็นผิวหน้าเขาซีดลงทันใดที่ใบจันนิ่งเฉยเลยออกอาการทุรนทุรายทางสายตาฉับพลันทันที

ชวนเวทนาเป็นยิ่งนัก

ครั้นแล้ว จึงได้เวลาชวนกันลากลับตอนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ พร้อมสัญญาจากนายโอกาสและนายจัด

“พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่นะคุณดง เตรียมเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยอินทรีย์ที่คุณว่าไว้ให้ผมได้เลย” นายโอกาสบอกกล่าว “รับรองว่า อีกไม่นาน แถวนี้จะมีแต่กลุ่มพันธุ์ไม้ที่พามาแต่เรื่องดีงามตามที่คุณหมายตาไว้ เผื่อปลูกแล้วดี ผมจะได้ขอมาปลูกที่ที่ผมมั่ง จะได้มีแต่สิริมงคล ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ขายพืชไร่ส่งออกโกยเงินทะลุโลก”

ปลายเสียงดูคล้ายกับยั่วเย้าอีกฝ่ายให้เดือดปุดขึ้นมาเหมือนกัน

แต่นายจังคล้ายจะรู้ทาง จึงพยักหน้า

“เออ…ก็ขอให้พี่รวยพันล้านละกันนะ”

“อะไร้…อวยพรทั้งทีให้รวยแค่พันล้าน…” นายโอกาสทำเสียงหัวเราะหัวใคร่ “แสนล้านซีวะจัง รวยทั้งทีขอแสนล้าน”

แต่นายจังกำลังคันขายิบๆ เลยตัดบท

“ไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

ครั้นแล้ว เพียงไม่กี่นาที นักเลงหรือไม่ก็เจ้าพ่อทั้งคู่ต่างก็ขับรถคู่ใจหายไปพร้อมกับหญิงสาวในกางเกงขาพองสีครามเสื้อป่านสีนวลติดระบายเกล้าผมสูงเปิดให้เห็นดวงหน้าหมดจดงดงาม

ทิ้งความรู้สึกคึกคักระคนเสียดายครามครันไว้กับชายผู้บัดนี้เริ่มสัญญากับตนเองว่า

จะเพียรสร้างทำชีวิตใหม่ครั้งนี้ เพื่อมิให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง

เพื่อมิให้เงินทอง พันธุ์ไม้ที่เตรียมมาต้องสูญเปล่า

ที่ดินยี่สิบห้าไร่ตรงหน้าจะต้องถูกบุกเบิกใหม่ ให้มีคุณค่า สมควรแก่ฐานะ ‘พรรณไม้มงคล’ ทุกต้น

หากสมใจที่ใฝ่ฝัน ก็จะช่วยสร้างทำที่ดินของพี่สาวและน้องสาวให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูตามกันไป จนกระทั่งครบ 52 ไร่ที่ปรากฏ

“เก่ง…แกว่า…คนสองข้างเรานี่เป็นยังไง” ชายหนุ่มลดเสียงลงขณะเหลือบมองคนงานที่กำลังขะมักเขม้นปักรั้ว…ใกล้แล้ว…ใกล้จะเสร็จ

“เค็มพอกัน”

“ไอ้บ้า” นายจ้างอดยิ้มมิได้

“อ้าว…หรือไม่จริงล่ะพี่” เก่งว่า “เขายอมกันที่ไหน…ต่างคนต่างก็ไม่ยอม…กะจะเรียกค่าคุ้มครองพี่ทั้งคู่เลย ไม่รู้เหรอ”

คราวนี้ เดินดงก็เลยต้องนิ่งคิด พลางถาม

“แล้วแกว่าหนูใบจันล่ะ เค็มไหม”

 

 

 

 



Don`t copy text!