ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 27 : ชายไม่เอาถ่านกับบริวารคู่ใจ

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 27 : ชายไม่เอาถ่านกับบริวารคู่ใจ

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

ชายไม่เอาถ่านกับบริวารคู่ใจของเขาจึงขอตัวกลับไปยังแพข้างเคียงในนาทีต่อมา ชวนให้ทุกคนบนชานใหญ่ผู้กําลังเฮฮาใกล้จะได้ที่…ต่างก็ร้องเสียงลั่นสวนขึ้นมาทันทีที่เดินดงบอกลา

“ผมคงต้องขอตัวไปอาบน้ำนอนแล้วละฮะ…” ชายหนุ่มก็เลยค่อนข้างกระทบกระแทกใส่หน้าเลยไปถึงใครบางคน “คือผมมันก็…ค่อนข้างจะขี้อ้อนอยู่สักหน่อยเหมือนกัน…เมื่อกี้…ได้นั่งคายัคกับน้องเอื้อง…ก็เลยเกิดอาการเหมือนจับไข้…”

“อะโห” นายโอกาสร้องคล้ายอยากโห่เสียงใส…เพราะตนเองก็ใคร่ให้ไอ้หนุ่มนี่แยกตัวไปเร็วๆ เช่นกัน ลูกชายเขาจะได้มีเวลานาทีก่อนดึก…คุยคึกคึกสักครู่กับผู้หญิงที่อุกกาคลั่งไคล้ “อา-ร้าย-ไข้ถึงจะจับเร็วขนาดนี้…คุณดง”

แต่เจ้าตัวกับคู่หูไม่อยู่ฟัง ชวนกันเดินข้ามสะพานแพเลี้ยวไปยังอีกแพที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ทิ้งให้กลุ่มเจ้าของไร่ใหญ่เอะอะกันต่อไป

ขณะที่สามสาวต่างก็นิ่งงัน โดยเฉพาะเอื้องอินทร์ผู้เมื่อครู่ยังทําท่าเหมือนอิ่มเอมกลางแสงจันทร์หากก็เพียงประเดี๋ยวหนึ่ง ท่าทางซึ้งซาบของอีกฝ่ายก็หายวับไปกับตา ปล่อยหล่อนนั่งลงข้างๆ เชียงคํา

“เกิดอะไรขึ้นอ๊ะป่าว” เชียงคําก็เลยลากเสียงเหมือนล้อเล่น เพราะแลเห็นสีหน้าเอื้องอินทร์ยังงงๆ

ไม่รู้เลยว่าหนุ่มนั้นนึกอย่างไร

พร้อมกับสีหน้าใบจันเฉยเมย

ก็พอจะรู้ละว่า…เพื่อน…ผู้เป็นเจ้าของไร่ในท้องถิ่นแห่งนี้คงจะ ’เขม่น’ หมั่นไส้ชายชาวกรุงค่อนข้างมาก หากก็ไม่รู้ว่าเรื่องอันใด

แต่พ่อกับพี่ชายเพื่อนก็ยังดูดีเพราะนายจังยังพยักพเยิดตามหลัง

“แกยังไม่ค่อยชินกะดินฟ้าอากาศ…คงต้องอีกซักพักมั้ง…”

“อาจจะกําลังเลือกต้นไม้มงคลที่คิดจะลงดินก็ได้…เลยสับสนอลเวงตามประสาคนไม่เคยทํางานใหญ่” นายโอกาสลดเสียงเบาลง พร้อมยิ้มในหน้า “ก็น่าเห็นใจหรอกนะ…คนเคยแต่สบาย…ไม่เคยมาขุดดินถางหญ้า…”

“ใครถาง” นายจังหัวเราะ “ตั้งแต่มาถึงยังไม่เคยให้แกลงมือเองเลยแม้แต่ขนของ”

ใบจันฟังแล้วเลยทําปากเบ้นิดๆ มีแก่ใจสะกิดสะเกาเอื้องอินทร์

“เอื้องคงได้กลิ่น ‘คุณหนู’ แล้วซีนะ”

หญิงสาวผู้เพื่อน…ผู้ได้เยือนน้ำ ฟ้า ดวงจันทร์และดวงดาวกลางหาวเมื่อสักครู่ก็ได้แต่เห็นใจเขา จึงไม่พลอยเย้าแหย่แกมหยามหมิ่นไปด้วย

หากแต่บอกว่า

“แกก็รื่นเริงดีนะ พายเรือคายัคเก่งมาก”

“อ้าว…เห็นไหม” เชียงคําว่า “เอื้องปลื้มแล้วไง…นั่งเรือแป๊บเดียว กลับมาปลื้มแล้ว”

“ไม่ได้ปลื้ม เก่งจริงๆ พายคายัคงี้คล่องปรี้ดเลย”

“สมกับชนะพายเรือ ว่ายน้ำ” นายโอกาสยังคงหยอกเอินอย่างสบายใจที่ได้รู้สึกว่า ‘นายนั่น’ มีจุดหมายคือเอื้องอินทร์รออยู่ จึงลองหันไปถามใบจัน “หนูว่าคนกรุงเทพเป็นยังไง”

หญิงสาวผู้นั่งหน้าเฉยจึงบอกเรียบๆ

“ไม่เคยรู้สึกว่าจะปลูกต้นไม้สําเร็จเลยซักต้นค่ะ…ถ้าไม่มีพ่อคอยช่วย”

นายอุกกาฟังแล้วพยักหน้าเร็วๆ

”พี่ก็ว่างั้นเหมือนกัน”

ครั้นถึงที่พักถัดออกไป เดินดงก็ได้แต่ร้องดัง ขณะทิ้งตัวลงบนม้ายาวปลายเตียง

“แกว่ายายเอื้องเป็นไง”

เก่งได้แต่หัวเราะ

“ก็ดีนี่พี่…สวยดีเรียบร้อยดี…เฉยดี…ว่าแต่ว่า…พี่จะชอบจริงหรา”

“ไอ้บ้า…ใครบอกว่าจะชอบไม่ชอบ…” ความหงุดหงิดใจจากสายตาใครสักคนยังคงตามมา “แต่ถึงยังไงเขาก็ยังดีกว่าใครบางคนละวะ”

“คนนั้นน่ะตัดออกไปได้…เขามีเจ้าของแล้ว…มันนั่งแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ข้างๆ ไม่เห็นเหรอ” เก่งเลยได้แต่สนุกไปกับนายอุกกา “ดีไม่ดี…คืนนี้ไอ้หมอนั่นเกิดบ้าระห่ำขึ้นมาแล้วนางถีบมันออกมาละก็…ได้เกิดเรื่องใหญ่กันแน่ๆ”

คราวนี้นายจ้างของเขานิ่งนึก พร้อมกับครางออกมา

“จริงว่ะ…จริงด้วย…เออแฮะ…ขืนเข้าหานางยักษ์นั่นละก็…เสร็จละ…”

“พี่เชื่อเหรอว่ามันจะกล้า…”

เดินดงก็เลยคํานึงถึงหน้าตาท่าทางของนายอุกกาผู้ที่คืนนี้ถูกอํานาจเบียร์แกมวิสกี้ปลุกปั่นให้หัวเราะหัวใคร่มากขึ้นกว่าทุกวันสักสองเท่าตัว

ท่าทางเขาครึกครื้นแกมคะนองลองดีแปลกไปกว่าทุกครั้ง

ดีแต่พ่อเขานั่งกำกับข้าง

เฮ้อ…ไอ้สองเจ้าพ่อนี่มันยังไงกัน

ทําท่าเหมือนจะเป็นทองแผ่นเดียว แต่ก็คล้ายจะเป็นทองสองแผ่น สามแผ่นบางเวลา

หากเมื่อนึกขึ้นได้ว่า…บนโลกใบนี้…ที่ค่อยๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป เปลี่ยนสีเปลี่ยนแสง เปลี่ยนแรงดึงแรงผลัก บางครา กลับหน้าเป็นหลัง กลับหลังเป็นหน้า…ผู้คนที่ต้องอยู่กับอาการเปลี่ยน ก็จําต้องเรียนต้องรู้…ท้ายที่สุด ก็ต้องรับให้ได้

“ใช่…เป็นไปไม่ได้ พ่อยายผู้หญิงก็อยู่อีกห้อง มันคงไม่โง่เง่าบ้าระห่ำบุกเข้าไปหรอกน่า…มีเพื่อนคาเตียงอยู่อีกตั้งสองคน” เดินดงบอกอย่างแน่ใจ “ว่าแต่ว่าเราอาบน้ำก่อนละนะ”

“คืนนี้ผมเลยต้องนอนเตียงเดียวกะพี่” เก่งตอบอ่อยๆ อย่างเกรงใจ

“นอนไปเลย เตียงกว้างนี่หว่า สี่คนก็ยังไหว”

นายจ้างของเขาไม่เคยรังเกียจลูกน้องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะถือเสมือนเก่งดีเสมอญาติหรือยิ่งกว่าญาติ

“พี่นอนหลับแน่นะ” อีกฝ่ายก็เลยหยอกเย้า

“ไอ้บ้า…” อีกฝ่ายร้องเบาๆ แกมหัวเราะ

“พี่คงไม่หิ้วนางในฝันหนึ่งในสามนางกลับกระท่อมปลายนาหรอกนะ”

“อะไรมันจะง่ายขนาดนั้นวะ” เจ้าตัวย้อนถามแกมเก้อเขินหน่อยหนึ่ง

ก็พอดีเสียงมือถือดัง เขาก็เลยดึงมันขึ้นมาฮัลโหล

“แม่เหรอฮะ”

“เออ…แม่เอง…แล้วดงเป็นไงมั่ง” เสียงมารดาดังผ่านมา

“ทําไมยังไม่หลับไม่นอน”

“ก็นี่มันยังไม่สองทุ่มเลยนะ” นางอัมพวาทอดเสียง “เมื่อกี้ก็โทรไปคุยกับคุณจัง…แกชมดงใหญ่เลยว่าดีมาก ตั้งอก ตั้งใจ ตั้งตัวดี…แม่ก็เลยหายห่วงไปเยอะ”

“แม่ไม่ต้องห่วงแล้ว…” ลูกชายอดรําคาญใจนิดๆ มิได้ “เดี๋ยวใครต่อใครเขาจะเห็นดงเป็นลูกแหง่…มีแม่คอยถามคอยซัก…ทําไมถึงไม่รู้จักโตเองซักที…ดงอายนะแม่นะ”

เสียงแม่ของเขาหัวเราะคิกคักครึกครื้นผ่านมา

“เหรอ…นี่เรียกว่าโตแล้วเหรอ…มาแค่อาทิตย์เดียวโตแล้ว”

“หนูโตเร็วนาแม่นา อย่าดูถูก…ตอนนี้ก็เพิ่งเสร็จจากพานางนั่งคายัค…เลยมานั่งพักนั่งเถียงอยู่กะไอ้เก่งเนี่ยแหละ”

นางอัมพวาก็เลยได้แต่ขําขันคําหยอกเอินของลูกชาย

แท้จริงแล้ว นางคิดถึงเขาค่อนข้างมาก หากก็ไม่กล้าโทรศัพท์ไปกวนใจถามไถ่นายจัง เกรงว่าข้างนั้นจะรําคาญ…คนอะไร…เลี้ยงลูกยังไงไม่รู้จักโต

แต่คืนนี้อิงดาวนัดเพื่อนไปฟังดนตรี องค์อรไปต่างจังหวัด นายเดชมีนัดกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไปกินเลี้ยงวันเกิดคนหนึ่งในจํานวนนั้น นางอยู่เฝ้าบ้าน ก็เลยถือเป็นโอกาสอันงามที่จะส่งเสียงถามทุกข์สุขลูกชาย

เขาก็เลยเล่าให้แม่ฟังว่าเพิ่งกลับจากพายเรือให้สาวนั่ง

เป็นเชิงอวดอีกตามเคยว่ามีนะ…ผู้หญิงน่ะ

แกล้งแม่ซะยังงั้น เนื่องด้วยรู้ว่านางอัมพวา สุดแสนจะระอาเอือมเรื่องนางนอกฝันของเขา

“เฮ้อ…ลูกนะ…ก็อย่ามาเผยแพร่ชื่อเสียงเน่าๆ ที่นี่อีกเลยนะ ขอทีดง…”

“ไม่หรอกน่าแม่น่า ยั่วเล่นแค่นั้นเอง …บอกไว้ก็ได้เอ้า…ว่า…ถ้ายังปลูกไม้มงคลออกเผยแพร่ไม่สําเร็จ ก็จะอยู่ไปแบบนี้แหละ…คือไม่มีใคร มีแต่ไอ้เก่งคู่ใจคนเดียว”

พลางก็สบตายักคิ้วกับลูกน้องผู้นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า

ขณะที่มีเสียงเคาะประตูชานด้านหลัง

 



Don`t copy text!