ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

ครั้นแล้ว นายนวม…ชายผู้แนะนำตนเองว่าคือมัคนายกของท่านเจ้าคณะผู้ปกครองวัดใหญ่ที่อยู่ถัดออกไปบนถนนสายกลางหมู่บ้านซึ่งเมื่อสักครู่รถของเขาก็ผ่านมา…ก็มาช่วยเปิดผ้าใบสีน้ำเงินผืนใหญ่ที่ใช้คลุมข้าวของทั้งหมดรวมจักรยานอีกหนึ่งคันไว้ด้วยนั้น พลันก็ร้องโอ้โฮดังลั่นพร้อมแย้มยิ้มขำขัน

“ขนมาทำไมเป็นก่ายเป็นกอง…มาหาเอาแถวนี้ก็ได้…มีทุกอย่างเว้นแต่ไฟฟ้า…ติดๆ ดับๆ…”

“ก็คิดว่าจะไม่พึ่งฟืนไฟอะไรทั้งนั้นไงลุงครับ” เดินดงอารมณ์ดีขึ้นมากในสายวันนี้…ที่รถกระบะส่วนตัวพาเขามาถึงภูมิประเทศแปลกใหม่ เมฆใสเบาบางเสมือนภาพโปร่งเสมือนผืนผ้าโปร่งขาวสะอาดลอยเลื่อนอยู่เหนือหุบเขาตรงโน้น…ไกลออกไปในบรรยากาศต้นฤดูหนาวที่ไอเย็นกำลังมาเยือน ชวนให้วันเดือนปีแห่งความล้มเหลวค่อยๆ จางลง

“เรามีครบฮะลุง…ถ่าน…เตาถ่าน…หม้ออะลูมิเนียม กระทะ จานชาม ครกสาก” เก่งบอกกล่าวพลางดึงออกมาวาง พลางคลี่กระดาษห่อวัตถุที่เขาจาระไนออกทีละชิ้น ครั้นแล้วจึงรีดกระดาษยู่ยี่จนเรียบราบเป็นแผ่นๆ ซ้อนกัน เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นวันหน้า…แม่ของเดินดงสอนเขาไว้ “น้ำมันหมู ไม้ขีดไฟห่อใหญ่ หม้อนึ่ง”

“พอได้แล้ว” ชายหนุ่มยกมือพร้อมยิ้มขำ

ไม่มีเลย…อารมณ์เสียดังที่เคยเกิดขึ้นเนืองๆ ตอนอยู่เมืองกรุง

แม้แต่ตัวเขาเองก็แปลกใจ

นายนวมดูเหมือนจะยินดีจนออกนอกหน้า…เนื่องด้วยแกบอก

“เห็นคุณมาแบบนี้ ดีใจนะ…อย่างนึงก็เพราะท่านพระครูสุนทรฝากมาทางท่านเจ้าคณะ…ท่านรับรองเลยว่าคุณพ่อคุณแม่คุ้นเคยกับท่านมาก เคยนิมนต์ท่านกับพระลูกวัดไปสวดมนต์เลี้ยงพระเพลบ่อยๆ สมัยที่โควิดยังไม่ระบาด พอโควิดระบาด ก็เลยหยุดหมด…คือคงกลัวคนหมู่มาก ตอนติดใหม่ๆ นี่ตายไปหลายพันใช่ไหมล่ะ” เจ้าของที่ดินที่เดินดงยังไม่รู้ว่าผู้พูดมีที่ดินมากเท่าไรเล่าเรื่อยๆ ขณะที่ช่วยขนภาชนะในรถลงวางกองไว้บนชานหน้าเรือน เตรียมให้เก่งขนเข้าไปเก็บที่ชานด้านหลังซึ่งผู้สร้างเรือนหลังนี้คือแม่ของชายหนุ่มก็สุดแสนจะถี่ถ้วนชวนให้ขอบคุณ

นั่นก็คือ เตรียมมาครบแม้แต่ชั้นตากภาชนะหลังจากล้างเสร็จสรรพ ตู้กับข้าวเล็กๆ แบบเก่าที่มีประตูลวดปิดเปิด ข้างใต้คือที่คว่ำจานชาม…ดูเอาเถิด…คนเป็นแม่บ้านการเรือนต่างกับคน ‘มือห่างตีนห่าง’ ที่เขาเคยได้ยินบุพการีบ่นพึมจนชินหู…คือเช่นนี้

ครู่เดียวจริงๆ ทั้งเก่งและนายนวมก็ช่วยกันขนของทุกอย่างเข้าที่ เว้นถุงเมล็ดพันธุ์และขวดปุ๋ยที่ยังอยู่ในลังกระดาษในรถ

ส่วนที่หลับที่นอนนั้นก็ชวนสบายด้วยมุ้งสมัยใหม่ คือเพียงแต่ครอบลงเหนือฟูกก็กางออกอย่างสวยงาม มีผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ผ้านวม เสื้อหนาว ถุงเท้าถุงมือครบครัน

จึงเป็นอันว่า…บัดนี้ เขากับเก่งได้ย้ายชีวิตมาสถิตอยู่เหนือทุ่งโล่งอันว่างเปล่า ด้วยว่าที่ดิน 12, 15, 25 ไร่ ที่แบ่งสันปันกันแล้ว แต่อยู่ติดกันรวม 52 ไร่ ยังไม่มีผู้ใดมาเริ่มต้นแปรผัน ให้มันกลายเป็นไร่พืชพันธุ์อันมีค่า

ราวกับรอเขามาเสกเป่ามรรคาที่แลเห็นขุนคีรีป่าดงอยู่ลิบๆ ที่ตรงโน้นกระนั้นแหละ

“ว่าแต่ว่า หิวละยัง” นายนวมถามหลังจากช่วยจัดของเสร็จ

“นี่ก็มีก๋วยเตี๋ยวผัดไทยกับราดหน้าติดมาแล้วฮะลุง…ข้าวผัดด้วย…เอาลงอุ่นแป๊บเดียวหรือไม่ต้องอุ่นยังได้” บอกกล่าวพลางแก้หูถุงพลาสติกที่กันไว้ต่างหากให้ดู “ลุงกินด้วยก็ได้นะ…มีพอ…”

“ไม่ต้อง” อีกฝ่ายสั่นหน้า “เดี๋ยวหากินเอง”

เพราะเจ้าตัวมีจักรยานยนต์เก่าๆ คู่ใจขับขี่ไปไหนมาไหนได้คล่องอยู่แล้ว

เดินดงเลยต้องคะยั้นคะยอ

ดังนั้น ทั้งสามจึงมีอาหารที่ค่อนไปทางบ่ายต้นๆ ให้ได้ใส่ท้องจนอิ่มไปด้วยกัน ครั้นแล้วจึงดื่มน้ำขวดที่ยกลังมาหลายลังตามลงไปคนละแก้วเต็มๆ

“สะ…บาย…สะบาย” เก่งส่งเสียงงึมงำในลำคอ นัยน์ตาเริ่มหรี่ลงทั้งเขาทั้งลูกชายนายจ้าง

แต่นายนวมกระปรี้กระเปร่า

“พรุ่งนี้ค่อยไปกราบท่านเจ้าคณะ…ให้ท่านดูดวงให้ยังได้เลยนะ”

“หรือฮะ” ชายหนุ่มเบิกตากว้างขึ้นอย่างสนใจ…แม้ไม่มากมายกระไรนักเพราะไม่เคยติดข้องกับคำทำนายสักเท่าไร แม่นบ้างไม่แม่นบ้างคละกันไป “ท่านเป็นหมอดูด้วยหรือฮะ”

“ก็ไม่เชิง…แต่ท่านมีความรู้ด้านนี้ ใครๆ ก็มาให้ท่านดู”

“แม่นไหมฮะ”

“ก็ไม่เห็นเคยพลาดนี่…แม้แต่…” คราวนี้มัคนายกสูงวัยก็ทำท่าอึกอักแปลกๆ พลางมองข้ามบ่าชายหนุ่มผ่านแสงแดดที่ไม่จ้าของปลายเดือนตุลาคม 2566 ไปสู่หลังคาบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งแลเห็นรำไรไกลออกไปเกือบสุดนัยน์ตา “แม้แต่บางคน…ท่านเคยทายให้ยังตรงเป๊ะเลยนี่นา”

“ใครครับ…บางคน” เดินดงถามเรื่อยๆ  อย่างไม่ถึงกับอยากรู้

แต่นายนวมไม่ตอบคำ เลยไปเอ่ยเรื่องอื่นๆ สักครู่ ก็ขอตัวจากไป หากก็กลับมาอีก พร้อมด้วยชายฉกรรจ์สองคนรูปร่างล่ำสัน พลางบอก

“ผมเลยเอาไอ้เอี้ยงกะไอ้ไวมาช่วยเป็นยามรักษาความปลอดภัย เผื่อกลางค่ำกลางคืนมีอะไรขึ้นมา ก็เรียกมันได้นะคุณ”

 

นายเอี้ยงและนายไวหอบเสื่อกกมาคนละผืน…ทั้งเดินดงและเก่งก็เลยขอบคุณนายนวมผู้บัดนี้ขอตัวจากไป หากก็ช่วยให้คนที่เพิ่งมาอยู่ได้รู้สึกว่า บรรยากาศบ้านนา ณ บัดนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยสัมผัสมาก่อน…อาจจะจากหนังสือหรือภาพยนตร์สมัย ‘ไม้เมืองเดิม’ หรือสมัย พ.ต.ต. นักสู้คนใดคนหนึ่งซึ่งเดินดงเคยอ่านเคยดู แต่ก็หลงลืมไปมาก

แม้กระทั่งก็ดีเหมือนกันที่ช่วยให้มีภาพวันก่อนคืนเก่า

ครั้นเย็นย่ำใกล้เข้ามา เก่งติดเตาไฟอุ่นก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ที่ซื้อมาสำหรับอาหารเย็นง่ายๆ เดินดงมีหน้าที่เพียงแต่ส่งเข้าปากเฉยเช่นเคย กินเสร็จจึงเดินไปเดินมาให้อาหารในกระเพาะได้ย่อย อีกสักพักก็จะอาบน้ำ รอให้ชายสองคนอาบก่อน อย่างน้อยก็จะได้ล่วงรู้ขั้นตอนที่เขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

หลังจากนั้น เก่งจะได้ทำตามเพื่อรับใช้นายหนุ่มผู้มีกระเป๋าเดินทางเปิดกางวางอยู่บนกระท่อม

มีมุ้งสำเร็จรูปตั้งไว้เป็นสัดส่วน ตะเกียงลานวางปลายเท้าเกือบชิดผนังที่สร้างทำด้วยไม้ไผ่ก็จริง แต่ยวดยิ่งด้วยความประณีต แลดูน่านั่งนอนยืนเดินโดยไม่กลัวจะพังลงไป

อือ…เขาเองก็เพิ่งรู้ว่า ชนบทนี่ก็มีสิ่งดีๆ อยู่รายรอบ…โดยเฉพาะในยุคใหม่ ผู้คนอยากเนรมิตหรือที่เรียกให้ทันโลกว่า ‘ออกแบบ’ ก็ออกได้ออกเอา แม้ว่าบางแบบจะไม่กลมกลืนกับการใช้งานสักเท่าใด แต่มี ‘แบบ’ มาให้ดู ก็ย่อมช่วยให้สมองที่เคยเก่าได้รับการบรรเทาความล้าหลังลงได้

ช่วยให้ดีไปร้อยสี่พันอย่างดังคำที่ติดปากแม่เขา

“อ้าว…แล้วนั่นทำไมพี่ไปปูเสื่อกางมุ้งใต้ถุนเรือน” เดินดงร้องดัง

ฟ้ายามเย็นที่แลเห็นเป็นเส้นชมพูหลายสายด้วยแสงอาทิตย์ยามใกล้จะลับภูผา พาเอาความมัวหม่นแผ่เข้ามาคลุม

ใต้ถุนเรือนอันว่างเปล่า ไม่มีทั้งม้านั่งและเก้าอี้ เพราะแม่เกรงจะถูกขโมย…เลยปล่อยทิ้งไว้ว่างๆ ไว้เช่นนั้น รอวันใดวันหนึ่งซึ่งถึงคราวลูกคนกลางสุดที่รักถูก ‘เนรเทศ’ ค่อยหามาเติม

“กางได้” เอี้ยงบอก “กางกงก็ได้ มีมุ้งแล้วก็แล้วกัน”

มุ้งหลังนั้น เขาทั้งคู่ต่างก็ล้วงออกมาจากย่ามที่สะพายบ่า

ภายในย่าม มีทั้งเสื้อผ้าของใช้ ทั้งขัน สบู่ แปรงสีฟัน ไฟฉาย เอาออกมาวางเรียง

ครั้นแล้วต่างคนต่างก็รีบไปอาบน้ำที่บ่อซึ่งอยู่ถัดกระท่อมออกไปเล็กน้อย โดยใช้กระป๋องสังกะสีที่เจ้าของรถกระบะติดมาด้วย จ้วงลงไป

ความละเอียดถี่ถ้วนของแม่เขาเป็นที่รู้กันทั่วในหมู่คนที่นางคบหา

ย้ายบ้านมาคราวนี้จึงไม่มีของขาดหายแม้แต่ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง

แม่เตรียมมาพร้อมพรัก

จนกระทั่งมืดสนิท สี่ชีวิตจึงลงนั่งบนนอกชานด้านหน้ารอบตะเกียงลานคุยกัน

“ผมอยู่กะน้านวมมาตั้งแต่แปดขวบ…แกทำนาทำไร่มาตั้งนาน…” นายเอี้ยงบอกกล่าว “เลยมารับใช้ท่านเจ้าคณะตั้งแต่ท่านยังบวชใหม่ๆ เคร่งครัดพระธรรมวินัยจนลือ…กระบวนดูหมองี้ต้องยกนิ้วเลยนะคุณ แต่ท่านก็ไม่เคยอยากดูให้ใครนะ…”

นายไวก็เลยเสริมขึ้น

“แล้วเรื่องทำเสน่ห์เล่ห์กล เสกเป่าอย่างที่เขาเรียกกันว่า ‘มูเตลู’ นี่ ท่านก็ไม่เล่นด้วยเลยนะ…เอาแต่วิชาการแท้ๆ แค่นั้น แต่แค่วิชาการยังไม่อยากดูให้ใคร…นอกจาก…อือ…ก็พอมี…บางรายที่เขาดีกว่าท่าน…”

อีกคนทิ้งท้ายไว้เพียงนั้น

ขณะที่เดินดงมองข้ามทุ่งหญ้าไปยังฟากฟ้าตรงข้าม แลเห็นพระอาทิตย์ยามอัสดงเต็มตา มีความมืดจากขุนเขาแมกไม้ด้านล่างห่มคลุม

 



Don`t copy text!