ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

แต่ยังมิทันจะสรวลเสเฮฮากันไปได้นานผ่านชั่วโมง นายเอี้ยงก็แลเห็นแสงจากไฟฉายส่องกราดไปทางซ้ายมืออันมีทางสาธารณะเป็นถนนลาดอย่างแคบๆ ผ่านที่โล่งอันเป็นที่ดินมีเจ้าของจับจองเป็นรายๆ ไป ต่างก็ล่วงรู้ว่าที่ตรงนั้นตรงนี้เป็นที่ของใคร จำนวนกี่ไร่ กินเนื้อที่ป่าสงวนบ้างหรือไม่ ถ้ากินเข้าไป ก็เอาละ…คอยตั้งรับคดีความให้จงดี เพราะในที่สุดก็…คนเป็นศัตรูกันนั่นเอง ส่งจดหมายไปฟ้องร้องถึงเอาคนรุกป่าออกมาประจาน

“ใครน่ะ” นายไวเลิ่กลั่กเมื่อแสงนั้นใกล้เข้ามา “ไอ้จัดมั้ง”

เขาคงหมายถึงใครสักคนที่อยู่ตรงโน้น…ตรงหลังคาบ้านที่แลเห็นลิบๆ โน่น

“คงไอ้จัด” นายเอี้ยงพยักหน้า

“พี่หมายถึงใคร”

“ลูกนายจัง”

เดินดงฟังแล้วได้แค่ยิ้ม

“ก็ใครล่ะพี่”

“มันก็นักเลงใหญ่ที่นี่ไง…ที่มันนับเป็นร้อยๆ ไร่ละนะ เคยทำหลายอย่าง…ตั้งแต่เหมืองดีบุกที่สังขละ…นี่พูดถึงนายจังนะ…แต่ไอ้จัดนี่ไม่เหมือนพ่อ ไม่เอาอ่าวเอาทะเลอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่เข้าท่า…อ้าว…นั่น…มันมาละ…ก็…” ผู้พูดหยุดนินทาเพียงแค่นั้นเมื่อคนถือไฟฉายขี่จักรยานยนต์มาถึงพร้อมหัวเราะนำหน้า

“ได้ข่าวว่ากระท่อมน่าเอ็นดูมีคนมาอยู่แล้ว” ผู้เพิ่งพบหน้ากันสวมกางเกงยีนส์เก่าๆ ขายาว เสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวตัวหนา…ก้าวมายืนเกาะลูกกรงชานไม้ไผ่ที่ทั้งสี่กำลังนั่งคุยกันอย่างเริ่มเป็นกันเองมากขึ้นตามชั่วโมงนาทีที่ผ่านไป

“อ้อ…คุณจัด…นึกว่าใคร” นายเอี้ยงทักทายพลางลุกขึ้นด้วยกิริยาท่าทีแปลงเปลี่ยน ไม่คล้ายกับเมื่อสักไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา “ขึ้นมานั่งคุยกันไหมฮะ…นี่ท่านชื่อคุณเดินดงฮะ เป็นลูกชาย…”

“มึงไม่ต้องขยายมาก” คนชื่อจัดยกมือพร้อมหันมายิ้มแย้มกับชายหนุ่มด้วยมิตรไมตรี “ไอ้สองตัวนี่ต้องระวังให้ดีนะฮะคุณพี่…โทรโข่งประจำท้องทุ่งที่นี่เลยละนะ…บริวารน้านวมตัวแสบ”

จัดพูดจาโผงผางไม่เกรงใจใครจนเดินดงใจหายใจคว่ำ…หากก็นึกขึ้นมาอีกที…ชาวบ้านที่นี่อาจจะชอบคารมคมแหลมเปิดเผยไม่อ้ำอึ้งชวนอึดอัดก็เป็นได้

เขาก็เลยหัวเราะด้วย พลางบอกนุ่มๆ

“ลุงนวม พี่เอี้ยง พี่ไวใจดีครับ…มาดูแลผมตั้งแต่ก่อนเที่ยง”

“ผมรู้จักพ่อแม่คุณมานาน” นายจัดวัยสามสิบกว่าบอกกล่าว “แต่ก็รู้จักแค่ชื่อ…เออ…จริง…ก็ดูเหมือนเราจะรู้จักกันแค่ชื่อแค่นั้นละมั้งนะ…แล้วตอนที่ส่งช่างมาปลูกกระท่อมนั่น…ผมก็มา…มาช่วยสรรหาไม้ไผ่อบกรอบ…เอ้ย…ไม้ไผ่คุณภาพดีเคลือบน้ำยากันปลวกให้ด้วยนาคับ…รู้ป่าว…”

คราวนี้…ปลายเสียงเขาเปลี่ยนเป็นล้อหน่อยๆ

เดินดงก็เลยกล้าปริปากกับเขามากกว่านาทีที่ผ่านไป…ที่รู้สึกว่าเขาเป็นลูกชายนักเลงใหญ่

ขึ้นชื่อว่า ‘นักเลง’ ชายหนุ่มนึกในใจ

มิว่านักเลงยาเสพติด นักเลงคอร์รัปชัน นักเลงการบ้านหรือนักเลงการเมือง เขาไม่เคยคิดใคร่จะประเทืองปัญญาด้วยการติดต่อคบหาด้วยเอาเสียเลย

พ่อจึงเคยชมเขาอยู่บ้างว่า

‘ดง…ทั้งเนื้อทั้งตัวแกมีดีอะไรรู้ไหม…มีดีตรงที่แกไม่คบคนชั่ว’

‘กราบพ่อสามร้อยที’ เขาก็เลยแกล้งหยอกเอินบิดาพร้อมทำหน้าทะเล้น ‘จริงๆ พ่อ แค่มันกลับกลอกตลบตะแลงก็ถีบกระเด็นแล้วละ’

ครั้นมาถึงนาทีนี้ นาทีที่เขากำลังเผชิญกับชายแปลกหน้าสี่คน…คือนายนวม นายเอี้ยง นายไว จนมาถึงนายจัด ก็ยังไม่รู้เลยว่า ชายทั้งสี่นี้ มีคนดีมากดีน้อยและไม่ดีบ้างหรือไม่

ถ้ามี เขากับเก่งจะช่วยตนเองวิธีไหน จึงจะสามารถย้ายมาตั้งหลักปักฐานเป็นลูกบ้านของที่นี่ได้โดยในที่สุดก็คือหาเอาสำมะโนครัวมาด้วย

 

จึงตกลงใจด้วยใจตนเองล้วนๆ ว่า แม้จะควรกลัวขนาดไหน ก็ไม่ควรกลัวจนความเป็นลูกผู้ชายสิ้นไป

การงานอื่นใดก็ไม่เคยทำยืนยาว เดี๋ยวสมัครเดี๋ยวลาออกอยู่ไม่ไหว มิหนำซ้ำระหว่างงาน ก็ยังไปทำตัวเป็นชายเจ้าเสน่ห์ให้เกิดเรื่องรักใคร่แย่งชิงกันเป็นเจ้าหัวใจระหว่างหญิงนี้กับหญิงนั้นจนวุ่นวายอีกต่างหาก

‘นี่แกก็ใกล้จะสามสิบแล้วนะดง’ พ่อคนเดียวที่มักจะย้ำซ้ำในความผิดเก่าๆ ของเขาคราวแล้วคราวเล่า ‘ถ้าส่งไปคราวนี้ไปมีเรื่องกะพวกนักเลงจนมีจนมันผ่ากบาลเอาละก็ อย่าหาว่าพ่อใจร้าย’

พ่อก็ว่าเข้านั่น

ใคร้…จะกล้ามาผ่ากบาล…ก่อนมันผ่า…ผมผ่ามันก่อน ผ่าไปนานแล้วละพ่อครับ

ดูนี่ก็ได้ กล้ามก็มี หนวดก็รำไร จะไว้เมื่อไหร่ให้น่าเกรงขาม แข่งกับนายหนวดอื่นๆ ก็ได้ทุกเมื่อ

เดินดงนึกพลางยิ้มพลาง

นายจัดก็ดูจะอารมณ์ดีทีเดียวในค่ำคืนนี้ที่พระจันทร์ข้างแรมต้นๆ ค่อยๆ ส่องผ่านม่านฟ้าอันมีเพียงเมฆาบอบบางลอยขวางอยู่เบื้องบน

ช่วยให้ทุกคน ณ ที่นี้…ซึ่งอาจจะมีนิสัยต่างๆ เช่นค่อนข้างดี ค่อนข้างเสีย หากก็คงไม่ถึงชั่วเต็มร้อย ค่อยๆ ถูกแสงจันทร์อันพิลาสพิไลไล้โลม

“เอ…คืนนี้มันขาดอะไรไปอย่างนะ” จัดพึมพำอย่างนึกขึ้นได้ “ไอ้เราก็รีบมา…เลยลืมหนีบมาด้วย”

ทันใดนั้น เดินดงก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ทั้งเขาและเก่งไม่เคยเห็นน้ำเมาทุกชนิดเป็นเพื่อนตาย

นายเดช…พ่อเขาไม่กินเหล้า…อาจกินบ้างเช่นเบียร์เย็นๆ สักแก้วสองแก้วยามมีเลี้ยงกันระหว่างเพื่อนสนิทและคนทำมาค้าขายด้วยกัน แต่เรื่องกินจนเมาคว่ำไม่เป็นท่า พูดจาไม่รู้เรื่องนี่ พ่อไม่เคยทำ เขาจึงไม่เคยเป็น

สิ่งที่น่าจะลองเล่น นั่นก็คือเพศสตรี

“ไม่มีก็ดีเหมือนกันคุณ” นายเอี้ยงทำท่ากล้ากว่านายไว ไม่แสดงอาการเกรงใจหรืออยู่ใต้อำนาจลูกชายนักเลงที่ว่า ‘ใหญ่’ “ขืนคืนนี้มาเมาเละที่นี่ ก็คิดดูละกัน คุณเขาเพิ่งมาเหนื่อยๆ ยังไม่ได้พักเลยแม้แต่งีบ…”

“นั่นทำไมมึงต้องพูดมากขนาดนี้วะ…คุณนี่เขาไม่ได้แอะแม้แต่คำเดียว”

นั่นเอง นายเอี้ยงก็เลยต้องเงียบ

ก็พอดีเสียงมือถือนายจัดดังขึ้น เจ้าตัวยกหูตอบคนส่งเสียงมา

“เดี๋ยวก็กลับละน่า…” อีกฝ่ายตอบอย่างรำคาญ หากก็นิ่งฟังเสียงจากอีกข้าง ในที่สุดก็เอ็ดดังๆ “เออ…ก็ไม่นานหรอกวะ…เดี๋ยวกลับแล้ว…”

เพียงแต่ปิดมือถือหย่อนลงกระเป๋าเสื้อ ลูกชายนายจังก็บอกกล่าว

“คือผมนี่ก็เวรกรรม…มีน้องสาวกะเขาอยู่คน…แม่ง…ก็เข้มงวดฉิบหาย…มันตามล้างตามเช็กผมตั้งกะเช้าจนมืด…” แต่แล้ว เขานั่นเองพูดเองเออเองก็นึกขัน พลันจึงเผยอยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ค่อนข้างเผยให้เห็นความในใจว่า เขาเองก็เอ็นดูคนที่ตามปราบเขามิใช่น้อย “เสียงมันนะ…แว้ดแว้ดตั้งแต่หัวไก่โห่…คงเคยตัว…คือทั้งพ่อแม่ยกให้มันเป็นหนึ่ง ใครว่าพ่อเป็นนักเลงใหญ่…ม่าย…ช่าย…เลย…นักเลงตัวจริงก็คือลูกสาวหนึ่งเดียวของคุณจัง”

เดินดงฟังพลางก็วาดภาพนางยักษ์ร่างสูงใหญ่ เบ้อเริ่มเทิ่มส่งเสียงแหวแว้ดทั้งวันทั้งคืน…คือลูกคนเล็ก น้องสาวของผู้พูด โดยวัดเอาจากหน้าตาชายผู้นั่งถือแก้วน้ำอยู่ตรงหน้า ผิวคล้ำ นัยน์ตาพองโต ปากหนา ไว้หนวดเรียงเส้นรำไรเหนือริมฝีปาก หากก็โกนเกลี้ยงรอบคาง

ทั้งนายเอี้ยงและนายไวชวนกันหัวเราะกั๊กๆ ด้วยรู้สึกพลอยสนุกไปด้วยที่นายจัดปู้ยี่ปู้ยำแม้กระทั่งน้องที่ตนเองเกรงใจ จนใครต่อใครก็รู้กันทั่วว่า ทั้งนายจัง นายจัด นางบุญมี ไม่เคยกลัวใครในแผ่นดินอันแวดล้อมด้วยภูผาป่าไม้นี้…เท่าหญิงสาวหนึ่งเดียวในบ้าน

“แต่ผมว่า…ก็ดีนะฮะ…บ้านหลังหนึ่งมีใครสักคนคุมอยู่ก็น่าจะดี” เดินดงตอบสนองไปอย่างอย่างนั้น โดยไม่มีความรู้สึกใดๆ กับผู้หญิงที่ออกอาการเป็นนางยักษ์ แม้จะคุมพ่อแม่พี่ชายไว้อยู่ คุมบ้านช่องห้องหับไว้ได้ ก็ไม่ใช่หญิงที่น่าทักทายไต่ถามสำหรับเขา

“มันเกินคุมน่ะซีคุณ” นายจัดทำท่าพอใจที่อีกฝ่ายต่อคำ

ฝ่ายนายเอี้ยงกับนายไวยังคงยิ้มในหน้า

“อีกหน่อย…นายก็คงสบายขึ้นถ้าคุณจันไปคุมบ้านอื่นคุมคนอื่น”

“โอ๊ย..อะไรอีจะไปง่ายๆ…ไม่มีวัน” พี่ชายของหญิงที่ดูราวนางยักษ์ร้องลั่น

ชวนให้ชายหนุ่มเริ่มรำคาญ เพราะงงไปหมด

เก่งก็เช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงถามดื้อๆ

“แล้วนี่แกโทรมาตามพี่ใช่ไหมฮะ”

เอาละซี ทีนี้…นายจัดทำตาลุกขึ้นวูบหนึ่งเพราะฟังคล้ายๆ อีกฝ่ายไล่เขากลับบ้าน

“ตามก็ตามไป ตกลงกูจะขยับตัวไปไหนก็ไม่ได้งั้นใช่ไหม”

ทันใดนั้น เสียงมือถือของนายเอี้ยงก็ดังขึ้น เจ้าตัวจึงค่อยๆ คลานลงบันไดกระท่อม ออกไปยืนกลางแสงจันทร์

“เป็นยังไงกันมั่ง” เสียงนายนวมถามไถ่

อีกฝ่ายจึงเล่าให้ฟัง

“ท่าทางคุณเขาคงอยากนอนแล้วมั้ง เดินทางมาทั้งวัน แล้วยังมาโดนกวนใจ”

แต่เดินดงไม่ยอมให้นายจัดน้ำลายแตกฟองอีกต่อไป จึงตัดบทพร้อมลุกขึ้น

“ผมขอตัวไปเดินชมจันทร์ก่อนนะฮะ…คุณจัด วันหลังคุยกันใหม่”

คราวนี้ นายจัดยิ้มในหน้า

“ก็ดีนะ…พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

 



Don`t copy text!