ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

เพียงแต่นายจัดลับร่าง นายเอี้ยงและนายไวก็ดูท่ารู้งาน คือรู้ว่าเจ้าของกระท่อมต้องอยากพัก…แม้จะยังมีคำถามคำตอบอีกมากที่ต้องคุยกันเพื่อจะได้เข้าใจรายละเอียดของสถานที่ ผู้คนและอาชีพของท้องถิ่นซึ่งต้องใช้วันเวลายาวนานเพียงพอที่จะต่อทอดสายใยระหว่างเจ้าของบ้านและคนแปลกหน้า

แต่ลืมอะไรคงลืมได้ ขออย่างเดียว แม่บอกไว้

‘อย่าลืมละกันว่าไปคราวนี้ พ่อแม่จะให้แกไปทำอะไร’

เขาเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เนื่องจากใจทั้งดวงไม่เคยติดข้องอยู่กับมัน

ก็อะไรเสียอีกนอกจากเมล็ดพันธุ์พืชกับขวดปุ๋ยออร์แกนิกที่แม่บรรจุมาอย่างระมัดระวังในลังกระดาษ วางอยู่ข้างรถเป็นลังๆ ไปโดยรอบ ไม่ถึงกับไปกินที่วัสดุอื่นใดที่ขนมา แม้ว่าในนั้นจะมี ‘ตำราว่าด้วยพรรณไม้หลายอย่าง’ ดังที่แม่บอกกล่าวก็ไม่ว่ากัน

เขานึกถึงมันเป็นอันดับสุดท้ายตามที่พ่อแม่คาดไว้จริงๆ

เฮ้อ…เดินดงถอนใจพลางเหยียบฟากไม้ไผ่ เสียงดังเอียดออดแอดนิดหนึ่ง จึงร้องบอกสองคนที่อยู่ใต้ถุนกระท่อม

“ขอโทษด้วยนะพี่…พื้นนี่มันเสียงดัง”

แต่ไม่มีคำตอบ

เขาทั้งสองหลับไปแล้วไง…หลับอย่างง่ายดายภายในพริบตา

เก่งก็เลยบอก

“พี่ดงนอนเลยดีกว่า…จะลงไปเดินชมจันทร์ดึกๆ ก็…ฮึ่ย…เดี๋ยวผีหลอก” ลูกน้องหนุ่มทำท่าขนลุกนิดๆ ยั่วอีกฝ่าย ด้วยว่าแลเห็นชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งคล้ายจับเจ่าบนฟูก แต่ยังไม่เอนกายและไม่คลี่มุ้งสำเร็จรูปออกมาครอบ

“แกก็นอนไปไป๊…ไม่ต้องห่วง…” อีกฝ่ายเกือบจะถอนใจออกมาเหมือนกัน

ก็คิดดู…จู่ๆ ขึ้นรถประเดี๋ยวเดียวถึงท้องทุ่งโล่งโถง แทนตึกรามคับคั่ง ใครจะไม่รู้สึกเหงาประหลาดขึ้นมา…

พ่อ แม่ พี่สาว น้องสาวที่เคยเหน็บแนมแกมเอ็นดูก็หายวับไปกับตา

แต่ยังดีที่มีคนคู่ใจติดมา…แลถ้านี่…ไม่มีเก่ง จะว่าอย่างไร

“เออ…แกก็นอนซะนะ” เขาก็เลยพยักพเยิดในแสงตะเกียงลานปลายเท้าที่ฉายส่องให้แลเห็นมุ้งสมัยใหม่สองหลังวางประจันกันอยู่สุดซ้ายสุดขวาที่ห่างกันไม่มาก พร้อมด้วยหม้ออะลูมิเนียมเล็กๆ สำหรับเดินดงอาจอยากไปห้องบรรเทาทุกข์ยามดึก…ดูเอา…ทำไมจึงได้แสนจะยุ่งยากขนาดนี้…ชายหนุ่มผู้ไม่เคยมีวิถีชีวิตลำเค็ญนึกในใจ

ท้ายที่สุดก็ได้แต่เอนกายลงบนฟูกค่อนข้างบาง แต่แข็งพับได้เป็นท่อนๆ หมอนหนุนหัวที่แม่เลือกแล้ว กับหมอนข้างกอดก่อย จะได้อุ่นทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งหัวใจ….ราวกับยังมิได้ไปไกลบ้าน

แต่ยังไม่ทันเกินสองสามนาที เขาก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มในมุ้งตรงข้าม…กรนเบาๆ

ไอ้บ้า เดินดงนึกในใจ หลับกันเกลี้ยงเลยเหรอวะ

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับไม่หลับแหล่…เขาก็พลันได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งผ่านเข้ามา

ชายหนุ่มจึงขยับตัวเงี่ยหูฟัง

เป็นเสียงค่อนข้างแปลกออกไปจากที่เคยได้ยินมา…ตลอดชีวิตก็ว่าได้…ด้วยคล้ายกับเสียงหายใจแรงๆ ดังฟู่ๆ…จะว่าเป็นเสียงคนกำลังเหนื่อยหอบก็ไม่เชิง…หรือเป็นเสียง…เอ้อ…เสียงสัตว์…ตัวใดตัวหนึ่งซึ่งเป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ ดังเช่น…เช่นอะไร…เช่นงูเหลือมงูหลามงูเห่า…ก็ไม่น่าจะมายามนี้…ยามที่กะว่าทุกคนหลับใหล

อ้าว…แล้วถ้าเช่นนั้น มันคือใครหรือตัวอะไร

มันจึงมาหายใจแรงอยู่ตรงหน้าต่างไม้ไผ่ที่เก่งผลักมันด้วยไม้คำสั้นๆ เพื่อจะได้กลางออกหน่อยหนึ่ง

ขณะที่เดินดงกำลังสองจิตสองใจว่าจะลุกขึ้นดูดีหรือไม่ หรือควรจะเรียกชายผู้ติดตามซึ่งบัดนี้หายใจดังมากขึ้นอีกหนึ่งเท่า

ก็พอดี เขายกศีรษะขึ้นมองจึงแลเห็นจมูกสัตว์ใหญ่แลดูเป็นเงาดำผ่านความบางของมุ้งชัดเจน

วางพาดอยู่ที่หน้าต่างซึ่งเป็นเพียงช่องเล็กๆ ติดกับฟูกเลยทีเดียว

น่าแปลกที่เดินดงไม่รู้สึกกลัว

เขาก็เลยยกด้านที่เป็นโครงขึ้นทั้งอันจนมันรูดลงไปกองข้างฟูก

ช่วยให้แลเห็นจมูกสัตว์ตัวที่ว่าเด่นขึ้นมาจากแสงตะเกียงลานปลายเท้า

เป็นจมูกหมูหรือมิฉะนั้นก็…ช้างกระมัง…อาจเป็นช้างก็ได้…ในใจเขาคิดอย่างนั้น

ก็เลยร้องจนสุดเสียงด้วยความกลัว

“โอ๊ย โอ๊ย ตัวอะไร” ในที่สุด เขาก็ตกใจตื่น

จึงได้รู้ว่าฝันไป

 

นายนวมมาถึงกระท่อมตอนสาย หลังจากพระสงฆ์ที่วัดฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว จึงพบเจอชายทั้งสี่ สามคนตื่นแล้ว เหลือเพียงคนเดียวยังคงนอนสบายด้วยอากาศเริ่มกระจายความชื่นเย็น

“เป็นไงมั่งเมื่อคืน”

“ไม่เป็นไง…” นายเอี้ยงบอกกล่าวอย่างขำๆ “มีแต่คุณนั่นคนเดียวนอนละเมอ…เลยตื่นกันหมด…หาว่ามีช้างมาโผล่ที่หน้าต่าง”

นายนวมฟังแล้วพลอยยิ้มอย่างเอ็นดู

เขาเองก็รู้สึก…

คุณเดินดง…ชายหนุ่มจากกรุงเทพฯ ผู้ที่เขารู้ว่าเป็นเพียงลูกชายคนเดียวของพ่อค้าร้านชำสมัยหนึ่ง ซึ่งสร้างตัวจนบัดนี้มีที่พำนักเป็นตึกใหญ่อยู่ตรงชานเมืองนั้น…เกิดเบื่อเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน พ่อแม่ก็ก็เลยเห็นด้วยว่า ลองดั้นด้นมาเป็นเกษตรกรที่นี่ดู จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ…ค่อยว่ากันอีกที

เรื่องส่วนตัวของหนุ่มผู้นี้ เขาก็ได้รับรู้จากท่านพระครูเจ้าคณะที่วัดโดยส่งตรงจากท่านพระครูสุนทรแค่นั้น เนื่องจากพ่อแม่เดินดงได้มอบวันเดือนปีเวลาตกฟากของลูกชายให้ไว้กับพระครูสุนทร แล้วท่านนั้นก็ส่งให้เจ้าคณะที่นี่อีกทอดหนึ่ง

แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบอกกล่าวผู้ใดว่า เจ้าของดวงจะมีชะตากรรมดีหรือร้ายเพียงไหน

เมื่อวานตอนบ่าย เขากลับถึงวัด ท่านก็ยังถาม

‘เป็นไงมั่ง ลูกคุณเดช’

‘หล่อดีครับท่าน’ เขาก็เลยตอบไปว่าอย่างนั้น ‘ท่าทางเป็นเพลย์เบิร์ด’

ท่านเจ้าคณะหัวเราะก๊ากอย่างขำจัด กลายเป็นเรื่องสนุกไปเสียอย่างนั้น

แต่ท่านก็หาได้วิจารณ์ใดไม่

นายนวมนั่งขัดสมาธิพูดจากับนายเอี้ยงและนายไวสักไม่นาน เดินดงก็ตื่นงัวเงียถือขันผ้าเช็ดตัวลงไปอาบน้ำที่ห้องเล็กจิ๋วหลังกระท่อม

สักครู่ก็เข้ามานั่งสมทบกับคนทั้งสามที่มีข้าวสวยร้อนๆ โปะไข่ดาวคนละจานมานั่งกินด้วยกันที่ชานด้านหน้า

เดินดงก็เลยเล่าถึงความฝันเมื่อคืน

“ผมคิดว่าเป็นช้างนะ แต่เสียดายไม่ได้เห็นมันทั้งตัว”

ผู้ฟังต่างก็อมยิ้มกันถ้วนหน้า

“เกิดมายังไม่เคยฝันเห็นอะไรเลย” นายเอี้ยงว่า “โดยเฉพาะคนตาย…ฮึ่ย…ก็แค่พูดถึงเวลาเป็นๆ ยังกลัวแทบแย่…”

“นี่พูดถึงใคร” นายไวไต่ถาม

“เรื่องอะไรจะบอก”

เดินดงชอบคนคณะนี้เพราะดูรื่นเริงดี ช่วยให้เขาพลอยบันเทิงไม่คิดมาก

เนื่องด้วยเจ้าความว้าเหว่มักจะแล่นเข้ามาในยามที่เขาเผลอตัว ไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย เพราะนับแต่วันนี้เป็นต้นไป เก่งก็มีงานทำเต็มมือ โดยต้องรื้อเอาลังบรรจุเมล็ดพันธุ์ กล่องและขวดปุ๋ยออกมาตรวจตราว่าทั้งหมดมีสักเท่าไร ควรจะลงดินตรงไหน ดินเดิมเป็นอย่างไร

ความรู้นี้ไม่มีอยู่ในสมองของเก่งเลยแม้แต่น้อย หากเมื่อนึกถึงถ้อยคำของนายจ้างที่ว่า

‘แกไปถึงแล้ว ก็จะมีคนมาช่วยแนะนำแกเอง ก็คนแถวนั้นเขามีไร่กันทุกคน ของเราทำแค่ยี่สิบไร่ไปก่อน ถ้าไม่ได้ผล ก็ไม่ทำต่อ ถ้าได้ผลดี ค่อยทำอีกยี่สิบเจ็ดไร่’

คุณเดชก็พูดง่ายจังเลย…

ไหนล่ะ…คนช่วย

เพียงแต่เก่งกำลังล้างจานแล้วเสียบไว้กับขาตั้ง

นายไวก็โผเข้ามาบอก

“มาแล้ว…ตานี้มาทั้งโขยงเลย”

เดินดงจึงหันไปมองทางถนนสายรอบไร่…ก็แลเห็นร่างทั้งสามสวมหมวกปีกกว้างราวกับคาวบอยในหนัง กำลังขี่จักรยานยนต์ตามกันมาสองคัน

แสงจากดวงตะวันตอนแปดนาฬิกาครึ่งไม่ถึงกับกราดกล้า เขาก็เลยยืนนิ่งๆ มองดูทุกคน พลางก้าวออกไปเชิงต้อนรับ

นายนวมทำเสียงแจ่มใสยกมือไหว้ชายสูงวัย คนที่มีหญิงสาวเกาะท้าย ครั้นแล้วจึงลงมายืนนิ่งๆ

“สวัสดีครับนาย”

“ว่าไง” ชายชื่อจังร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าภายใต้ปีกค่อนข้างคล้ำคล้ายลูกชาย แต่ตาเล็กยาว จมูกโด่ง ปากบาง

หากใครทุกคนต่างก็คลายความสำคัญลงไป เมื่อเพศหญิงในกางเกงยีนส์เก่าๆ เชิ้ตปล่อยชายสีเทาลายข้าวหลามตัดขาว ผิวขาวผ่อง หน่วยตากว้าง คิ้วยาว ควงไม้ท่อนสั้นๆ อันหนึ่ง เป็นเชิงบอกกล่าวหากเรื่องราวเกินเลย…ว่า…อย่านา…เห็นไหม…นี่อะไร…ผ่านแววนัยน์ตา ‘เอาจริง’

หากก็หยุดยั้งฟังนายนวมรายงาน

“คุณเดินดงเพิ่งมาถึงเมื่อวานครับ คุณดงฮะ นี่คุณจังคุณพ่อคุณจัดกับคุณใบจันครับ เป็นเจ้าของไร่ใบชากาแฟหม่อนที่เห็นลิบๆ อยู่โน่น”

 



Don`t copy text!