บุปผาตีตรา บทที่ 11 : ในเรื่องเล่า

บุปผาตีตรา บทที่ 11 : ในเรื่องเล่า

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

นวลยื่นซองเงินสดให้แม่ ขณะที่พ่อนั่งอยู่ไม่ไกลกันมองมายังลูกสาวด้วยสายตาเปี่ยมรัก

“มันเหลือไม่มาก แต่ก็พอได้ใช้ พ่อกับแม่จะไม่ลำบากอีก แม่เชื่อเถอะว่ามันมาจากน้ำพักน้ำแรงของนวล”

แม่มองซองเงินและมองหน้าลูกสลับกัน นัยน์ตาบอกถึงความหวาดระแวงบางอย่าง ไม่ใช่ไม่ไว้ใจลูกแต่บางทีมันอดคิดไม่ได้จริงๆ คนรุ่นเก่าพ่อเฒ่าแม่เฒ่าฝังหัวไว้แบบนั้น

“เจ้าไปทำอะไรได้เงิน ได้ทองมาขนาดนี้” แม่เอ่ยเสียงเรียบไม่กระโตกกระตากกลัวลูกจะน้อยใจ

“กลางวันไปล้างจาน เสิร์ฟ ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เขามีทั้งเงิน มีข้าวให้กิน ไม่ต้องเปลือง ได้ทิปด้วย ทิปคือเงินทอน หรือเงินที่ลูกค้าตั้งใจให้ เถ้าแก่ใจดี เขาไม่หักส่วนแบ่ง ได้เท่าไหร่เขาให้หมดเลย อ้ายอุระไปถีบรถสามล้อได้เงินมากโข ทิปทั้งหมดเลยให้ข้อยหมด”

แม่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เถ้าแก่ใจดีจัง อ้ายอุระคือดีแท้”

“อะไรแม่ คิดอะไร” นวลจับมือแม่ไว้แล้วคาดคั้น พอแม่หลบตาก็หัวเราะคิกคัก

“แม่ นี่ลูกแม่นะ” นวลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ มองพ่อที่เดินส่ายหัวออกไปนั่งตรงชานพร้อมกับมวนบุหรี่ใบจากเตรียมสูบบุหรี่

“อือ” แม่ยังก้มหน้าก้มตา ทำเป็นมองโน่นมองนี่ใกล้ตัว

“ฮ่าๆ ไม่ต้องเขิน นวลเข้าใจ ตั้งแต่เกิดมาและเติบโตมาในหมู่บ้านของเรา นวลก็ได้ยินเรื่องพวกนี้มาตลอด มันไม่ใช่ประเพณี แต่มันเหมือนอะไรสักอย่างที่ฝังอยู่ในหัวพวกเรา ถ้าเด็กสาวไปทำงานในเมืองมีเงินเยอะๆ ต้องไปเป็นผู้หญิงหากิน”

“​แม่…แม่บ่ได้ว่าเจ้าเด้ อย่าโกรธแม่นะ” แม่เอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาวสุดที่รัก

“นวลเข้าใจแม่ นวลเองก็เคยคิด แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ เมื่อนวลไปเห็นในเมือง โลกใบนี้มันกว้างขึ้น รายได้ไม่ได้มาจากการไปรับจ้างไพคา ไปรับจ้างทำนา มันมีอีกมากเลยแหละ”

นวลเปิดซองให้แม่ส่องเงินสด คราวนี้แม่รับอย่างเต็มใจ และรอยยิ้มของแม่บอกถึงความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนเดียวของเธอมาก นวลจึงเล่าต่อ

“เถ้าแก่คนจีนสองคนผัวเมีย มีลูก แต่เขาส่งไปเรียนกรุงเทพ นวลกับอ้ายอุระทำที่ร้าน สามโมงก็เลิกแล้ว ขายดีมาก ทิปก็ได้เยอะ บางวันเฉพาะทิปได้เป็นร้อย สองร้อย เงินเดือนหกร้อย กินข้าวกับเขาได้สามมื้อเลย เขาหุงข้าวไว้ในครัว เราจะทำกับข้าวเอง เวลาซื้อเขาออกสตางค์ให้หมด อยู่ประหยัดกินประหยัดใช้ เดือนหนึ่งเหลือเก็บมากอยู่”

พ่อนั่งสูบบุหรี่ไม่ไกล มองมาทางแม่ลูกที่คุยกันไม่รู้จักเบื่อหน่าย

“โฮ้! คือมากแท้น้อ”

แม่ตาโตเมื่อเห็นของในซอง ทยอยดึงออกมามีทั้งสร้อยคอทองคำมูลค่าเส้นละหนึ่งบาทราคาห้าร้อยกว่าบาท แหวนทองห้าสิบสตางค์ ทำให้แม่ตกใจแต่ก็ดีใจมาก ทำนาขายข้าว ขายผัก ไม่เคยได้มากเท่านี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่ในบ้านมีเงินเยอะ

“ใช่แม่ แต่ต้องพูดภาษาฝรั่งเป็น นวลพยายามจะหัดให้พูดเป็น พูดเก่งกว่านี้ จะได้ทำเงินได้มาก นวลโชคดีที่แม่พาไปวัด หลวงพ่อให้หนังสือหนังหามาอ่าน นวลเลยเป็นไว ตอนนี้พูดได้แต่ยังบ่เก่งเทื่อ”

“แล้วเขาว่าผู้หญิงบ้านเรา ไปทำงานคือไปหากิน ไปเป็นกะหรี่ แม่นบ่” พ่อเอ่ยถึงความเชื่อของคนในหมู่บ้านที่สืบทอดคำเล่าขานกันมานาน นวลส่ายหน้า

“บ่ บ่แม่นทุกคนพ่อ แล้วแต่คน มีงานเยอะแยะให้เลือก ถ้าไม่เลือกงานก็ไม่ยากจนหรอกพ่อ”

“แม่บ่ได้ว่าเจ้า พ่อก็คงไม่คิดอย่างนั้นใช่ไหม พ่อมัน” แม่จับมือของนวลมาลูบที่หลังมือเบาๆ

“โอ๊ย ลูกข้อย ข้อยรู้จักมันดีแม่มันก็” พ่อตอบเสียงดัง

“ใช่ พ่อกับแม่พูดได้เต็มปากได้เลย นวลไม่เคยไปเป็นผู้หญิงหากินอย่างนั้น ทำงานก็ไม่หนักมากนะ นวลทำไหว เลิกร้านก๋วยเตี๋ยวได้นอนสักพัก พอหกโมงก็ไปทำงานต่อที่บาร์ ไปทำกับอุรา อ้ายอุระไปถีบสามล้อ”

“เก่งนะ ถีบสามล้อ ได้เงินหลายอีกสิ”

“ใช่ นวลก็ได้เงินเดือนที่บาร์ นวลช่วยเขาล้างแก้ว ล้างจาน แล้วก็เสิร์ฟ เขาให้นวลไปหัดชงเหล้า เอาเหล้าหลายๆ อย่างมาผสมกัน เขย่าๆ ใส่น้ำแข็ง ถ้าทำเป็นเขาจะขึ้นเงินเดือนให้อีก ทิปที่บาร์ก็หลาย”

“เหนื่อยบ่ลูก”

น้ำเสียงอาทรของแม่ทำเอาน้ำตารื้น แล้วยิ่งแม่เอื้อมมือมาลูบหัวลูกสาวคนเดียว ยกชายเสื้อมาซับหางตาอีก ทำให้นวลอุ่นวาบในใจน้ำตาแตกตาม แต่ก็ฝืนยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา

“สนุกดีแม่ นวลยังมีแรง ยังทำไหว มีวันหยุดด้วย นวลรับซักผ้าบ้าง สอยผ้า ซ่อมแซม เย็บตะเข็บให้เขาบ้าง บางทีสาวๆ ก็เอาเสื้อมาให้นวลแต่งให้งามๆ เอาไปใส่อวดกัน”

“คือดีแท้ อะไรก็เป็นเงินเป็นทองเบิ้ด”

“นวลเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่ง เดี๋ยวนวลจะซื้อจักรมาเย็บเอง มีเวลาจะไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า จะได้มีช่องทางหาเงินอีก”

แม่ลูบแขนนวล มือแม่อุ่นมาก นวลยิ้มจับมือแม่ไว้

“เราไม่ต้องลำบากกันอีกแล้วแม่ นวลพอมีทางทำมาหาเงินได้อีกเยอะ ปีนี้เพิ่งจะสิบเจ็ด อีกไม่เกินสองปีเราจะสร้างบ้านใหม่ มันอาจจะได้ปุ๊บปั๊บรวยไว แต่นวลมีหนทางแล้ว นวลรับรองนวลจะไม่ให้พ่อกับแม่ลำบากอีกแล้ว ไปแม่ ไปกินข้าว นวลทำกับข้าวไว้แล้ว นึ่งข้าวไว้แล้ว ไป ไป”  นวลฉุดมือแม่ให้ลุกขึ้น เธอเดินไปเตรียมสำรับกับข้าว

“เออ ไป ไป พรุ่งนี้พ่อมันหยุดงานสักวันไหม อยู่กับลูก พรุ่งนี้ไปวัด แม่จะลุกมาทำขนมข้าวต้มไปวัดใส่บาตร ทำบุญ”

“ก็ดีนะ แม่มัน เดี๋ยวข้าจะหาผ้าเตรียมไว้ มีผ้า เสื้อใหม่ที่ไม่ได้ใส่ในตู้ จะได้ใส่ไปวัด”

“ไม่ต้องหาหรอกพ่อ นวลซื้อมาให้คนละชุดแล้ว พรุ่งนี้ใส่ไปวัดได้เลย ไม่ต้องกลัวอายคน”

“ใครว่ามีลูกสาวจะลำบาก แม่มัน เอ้ย…มีนวลสักคนดีกว่าไอ้พวกนักเลงหัวขวดบ้านเราตั้งเยอะ”

พ่อหัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดัง แม่มองดูพ่อที่กำลังหัวเราะแล้วยิ้มตาม นวลมองไปที่พ่อกับแม่อย่างชื่นตาชื่นใจ

 

เช้าวันใหม่บ้านของนวลและอุราเตรียมตัวกันครึกครื้น เสียงตะโกนข้ามบ้านของสาวๆ ดังลั่น พอพร้อมแล้วก็ออกเดินไปพร้อมกัน

วัดเป็นเหมือนศูนย์รวมใจของคนทั้งหมู่บ้าน ไม่ว่าหนุ่มสาวเฒ่าแก่ต่างแต่งตัวกันสวยงาม ประดับประดาด้วยดอกไม้ แม่กับพ่อของนวลได้ใส่ผ้าใหม่ที่ลูกซื้อใหม่ สร้อยคอทองคำที่นวลซื้อมาแม่เก็บซุกซ่อนไว้ในตัวไม่ใส่ไปอวดใคร แม่อนุญาตให้พ่อสวมแหวนทองเกลี้ยง พ่อก็ชอบมาก ภูมิใจในตัวลูกสาว และเห็นว่าแหวนวงไม่ใหญ่ สวมไว้ก็ไม่น่าเกลียด ไม่ให้ชาวบ้านนินทาว่าขี้โอ่ ขี้อวด ผิดกับพ่อแม่ของอุรา ใส่มาแบบจัดเต็มทั้งสร้อยคอ แหวน ทั้งสองคน เสียงเล่าอวดลูกดังลั่น

ผู้คนมากหน้าหลายตาในงานบุญ เลิกวัดออกมาก็จับกลุ่มคุยกันตามประสาคนบ้านเดียวกัน พ่อแก่แม่เฒ่าที่ไม่ได้ทำงานแล้ว อยู่บ้านเลี้ยงหลานก็พาลูกหลานมาวิ่งเล่นกันเต็มลานวัด เด็กในหมู่บ้านแปลกไปกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมีลูกครึ่งไทยกับฝรั่ง มีทั้งผิวขาว ผิวดำ เด็กพวกนี้ถ้าโตจนพูดได้ก็พูดภาษาถิ่นสำเนียงชัดเจน ไม่มีฝรั่งปนเลย เผลอๆ ไม่เคยพูดฝรั่งด้วยซ้ำเพราะคลอดออกมา คนเป็นแม่เอามาให้ญาติผู้ใหญ่เลี้ยง แล้วกลับไปทำงาน ไม่มีเวลาสอน การเติบโตของพวกเขาจึงเป็นไปตามธรรมชาติ

แดดสายเริ่มร้อนแรง ก็พากันเดินออกจากวัดกลับบ้านเป็นทิวแถว นวลกับอุราแต่งตัวสวยงามผิดกับเมื่อก่อน เสื้อผ้าเนื้อดี สีสดใส่ตามแฟชั่น ทั้งคู่แต่งหน้าบางๆ เขียนคิ้วเข้ม ทาลิปมันให้ปากฉ่ำวาวแวว แต่ไม่ว่าจะใบหน้าสวยหวานขาวนวลเป็นยองใยของนวลปราง หรือใบหน้ารูปไข่ ผิวสีแทนจนออกคล้ำของอุราออกมาดูดีขนาดนี้ ก็เป็นฝีมือของอุราทั้งหมด

“เมื่อคืนฝนตกเหรอ ถนนเปียกไม่มีฝุ่นเลย” นวลถามอุรา

“เจ้าถามข้อยแล้วข้อยจะไปถามใคร เวลาหลับข้อยหลับลึกเพียงใดเจ้าก็รู้”

แม่ที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมามองสองสาว ส่ายหน้า

“เป็นสาวเป็นแส้คือหลับลึกแท้น้อ”

“แล้วตกลงฝนตกไหมแม่ ไม่ใช่หน้าฝนนิ ขนาดหน้าฝนบ้านเราก็แล้งจะตาย”

“ตก แต่ฝนตกนิดเดียว เขาว่าเป็นฝนหลวง ที่หลวงท่านทำการทดลอง เผื่อเอาไว้หน้านา ปีนี้จะได้ไม่ลำบาก”

“โอ้ จริงเหรอแม่ นวลได้ยินแต่ข่าว ไม่ทันได้สนใจเนาะ คือดีแท้”

“อื้อ พวกเราก็ได้แต่ภาวนาเอาใจช่วย ถ้าฝนเทียมถ้าสำเร็จ ต่อไปพวกเราทำนาก็บ่ต้องเดือดร้อนเรื่องน้ำในนาข้าวอีก”

“สาธุ” นวลยกมือท่วมหัว

 

อุรากับนวลจูงมือกันเดินเหมือนวัยเด็ก ป้านง เพื่อนบ้านในหมู่บ้านที่เดินตามหลังมาจึงออกปากแซว

“ยังไม่เลิกจูงมือกันน้อ สองสาวนี้ ตั้งแต่เด็กจนโต”

อุราและนวลหันมายิ้ม ยกมือไหว้เพื่อนบ้านที่เดินตามหลังมา

“อ้าวป้านง ป้าดา น้าแสง”

“ได้ข่าวว่าไปทำงานในเมือง ดีมั้ย แม่อุราบอกรายได้ดีมาก”

“ก็ดีค่ะ พอมีงานทำ” นวลตอบยิ้มๆ

“ดี ดีใจด้วยนะ เห็นพ่อของนวลกับพ่ออุราใส่แหวนทอง สร้อยทอง หาเงินเก่งแท้”

นวลบีบมืออุราเพราะกลัวเพื่อนจะโวยวาย อุราเป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว

“ค่ะ พอทำได้ก็เก็บเงินซื้อของให้แม่”

“งานอะไร งานอย่างว่าบ่”

นวลหยุดยืนตาจ้องเขม็งไปที่คนพูด

“งานอะไรป้า”

“อย่างว่าไง หากินน่ะ”

ยายป้าคนหนึ่งตอบมาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ต้องถึงฝีปากอุราหรอก นวลนี่แหละจัดให้

“ป้าเคยทำแล้วบ่ ถึงได้รู้ดี”

ป้ามองตอบเขม็ง ไม่ได้รู้สึกว่าที่คำพูดที่ตนเองสื่อสารออกมาเป็นคำผิดทำร้ายจิตใจคน

“เอ้า อีนี่ เขาว่ากันทั้งนั้นแหละ นั่นไงไม่เห็นเรอะ หัวหยิก หัวทอง เดินอยู่ข้างหน้าโน้น หลักฐาน แล้วพ่อแม่พวกมันก็มีเงิน มีทอง ได้สร้างเรือนใหม่งามๆ”

“มันมีงานเยอะแยะ ไม่ต้องไปขายที่นาผืนน้อยหรอกป้า”

อุราทนฟังอยู่นานจนทนไม่ไหวจึงเสียงเขียวตอกกลับด้วยน้ำเสียงสะบัดสะบิ้งแล้วฉุดมือนวลให้เดินจ้ำอ้าวหนีพวกป้าปากปลาร้าทั้งหลาย นวลที่ถูกฉุดสาวเท้าตามแทบไม่ทัน แน่นอนว่าพอคล้อยหลังสองสาวเสียงนินทาก็แพร่ออกไปทันที

สองสาวกลับมานั่งที่ตั่งใต้ถุนบ้านของนวล สีหน้าของอุราบ่งบอกความหงุดหงิด ในขณะที่นวลได้แต่ปลอบเพื่อน อุระ ไอ้แดง ตามมานั่งที่ว่าง ส่วนอ้นไปหาเก้าอี้ไม้อันเล็กที่พ่อใช้ท่อนไม้ต้นมะม่วงที่มันโค่นเพราะพายุมาตัดให้เท่ากันสองชิ้น เอากระดานวางบน ตอกตะปูลงไป แข็งแรงรับน้ำหนักได้เป็นร้อยกิโล

“เป็นอะไร” อุระบุ้ยปากถามนวลเบาๆ

“ป้านงมาหยอกแหละ ถามว่าไปเป็นผู้หญิงอย่างว่ามาเรอะ ถึงได้มีเงินซื้อทองให้พ่อได้”

“เอ้า ปากปลาร้าแล้วไหมล่ะ”

“อือ นี่ก็แว้ดๆ ตอบไปแล้ว ส่วนอุราอารมณ์ค้าง งอนตุ๊บป่องมานี่”

“มันจริงไหมอ้าย เดี๋ยวคอยดูข้อยจะไปขายนาผืนน้อยเอาเงินมาฟาดหน้าให้เลยนี่”

“ฮ่าๆ ไม่ต้องขนาดนั้นมั้ง”

“คนเราอยากให้คนมาชื่นชม ต้องทำให้เขาศรัทธาเราก่อน” นวลลูบหลังอุรา

“อ้ายเห็นด้วย ความศรัทธาก็ใช่ว่าจะสร้างได้แค่วันสองวัน”

“การแก้แค้นที่หอมหวานที่สุด คือการทำให้เห็น เอาความสำเร็จไปตำตาพวกปากปลาร้า คอยดูนะ นวลจะต้องกลับมาบ้าน มาเปิดร้านเสื้อผ้าที่ดีเลิศที่สุดในหมู่บ้าน ใครๆ ต้องมาง้อนวลให้ไปเย็บผ้าสวยๆ ให้พวกเขาใส่”

อุราปรบมือและมองนวลอย่างชื่นชม นี่กระมังที่นวลบอก อยากให้ใครมาชื่นชมต้องให้เขามาศรัทธาเราก่อน อุรานับถือน้ำใจนวลมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอะไรที่นวลเอ่ยปากมันจะต้องสำเร็จลุล่วงด้วยดีจนได้ แม้กระทั่งเรื่องการเข้าไปทำงานในเมืองนี่ นอกจากพี่น้อยจะมาชวน นวลก็เป็นตัวตั้งตัวตีที่อยากไป เพื่อให้พ่อแม่ได้อยู่ดีกินดี และมาถึงวันนี้ที่ทุกคนมีเงินซื้อทอง มีเงินสดมาให้พ่อแม่ เพราะนวลสอนทั้งนั้น

“ฮึ่ย มามองข้อยแบบนี้ทำไม อุรา”

“ก็เจ้าน่าฮักแท้น้อ”

อุราทำท่าจะโผเข้ากอด แต่นวลลุกขึ้นหลบ อุราตาม นวลหลีก วิ่งวนเล่นกันใต้ถุนบ้านปานเด็กน้อย อุระนั่งยิ้มมองอยู่ ในสายตาของเขาที่มองนวลมาตั้งแต่เริ่มสาวไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

“ไปหาบักหุ่งมาตำกินกันดีกว่า ไปๆ พวกเรา”

แดงเอ่ยปากชวนทำกิจกรรมยามว่างของเด็กเลี้ยงควายในอดีต ซึ่งเรียกสติและอารมณ์ของนวลกลับคืนมา กระวีกระวาดแบ่งหน้าที่ ใครไปทำอะไร ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

 



Don`t copy text!