บุปผาตีตรา บทที่ 13 : โลกเป็นโรงละครใหญ่

บุปผาตีตรา บทที่ 13 : โลกเป็นโรงละครใหญ่

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

“ฉันขอนั่งดื่มกับคุณได้ไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้าอีก นั่นหมายความว่า ถ้าอุราสั่งเครื่องดื่มอะไรเจสันต้องเป็นคนจ่าย อุราสั่งค็อกเทลมาจิบ เพราะไม่ต้องการดื่มหนักๆ แค่อยากคุยกับเขา อุราถูกชะตากับเขานัก ผู้ชายตาหวาน

“คุณเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนั้นรึ คนสวย ผิวขาว ที่มาคุยเมื่อสักพักใหญ่”

“นวล ผมเพิ่งรู้จักกับเธอ”

“เธอเป็นเพื่อนฉัน”

“อืม คุณจะสัมภาษณ์ผมในฐานะอะไร”

“ถ้าคุณไม่ชอบเธอ มาคบกับฉันไหม”

เจสันเขม้นมองหญิงสาวท่ามกลางความสลัวของแสงไฟ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวย ผิวสีน้ำผึ้ง รูปหน้างดงาม ดวงตามองมาทางเขาฉ่ำ ไม่แน่ใจว่าเพราะเธอใจกล้ามากๆ หรือทดสอบเขากันแน่ เขาส่ายหัว

“ผมชอบนวล แต่ผมไม่รู้ว่านวลจะชอบผมไหม คงต้องใช้เวลา”

“อืม…” เธอยิ้มชูแก้วขึ้น “มาชนแก้ว”

เขายกแก้วเครื่องดื่มชนกับแก้วของเธอ อุราพูดพึมพำแต่เจสันไม่เข้าใจ จับใจความได้แต่คำว่าขอบคุณ แล้วเธอก็เดินหันหลังจากไป เจสันเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วเดินออกจากตรงนั้น ไม่ทันได้เห็นสายตาละห้อยของอุราที่แอบอยู่มุมหนึ่งของบาร์มองตาม โดยเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในสายตาของน้อยด้วยเหมือนกัน

น้อยส่ายหัว อุรายังเด็ก โลกนี้ก็เหมือนโรงละครขนาดใหญ่ แต่ละคนรับบทบาทของตัวเอง แต่ตัวละครก็มีหัวใจ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่มีใครสุขสมหวังได้เป็นนางเอกตลอดกาล

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นวลไปทำงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยว สนิทสนมกับเจ๊เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ เจ๊เล่าความหลังให้ฟังว่า เจ๊หลินอยู่เมืองนี้มาตั้งแต่เด็ก โดยย้ายตามอากงมาจากบางกอก ซึ่งคนจีนโพ้นทะเลมาอยู่เมืองไทย มาพึ่งพระโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย ในบางกอกมีงานแต่ไม่มีทางรวย ได้แต่รับจ้างแบกของหนัก อากงมีหัวค้าขายจึงอพยพมาที่นี่ แรกๆ ก็มาหางานทำ พอเจออาม่าที่เป็นคนไทย แต่งงานกันจนได้เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งนี้ สูตรก๋วยเตี๋ยวก็มาจากความทรงจำของอากง เอามาปรับให้เข้ากับคนไทยและฝรั่งจนเป็นที่รู้จักและโด่งดังของที่นี่ แม้ไม่บอกเคล็ดลับการทำก๋วยเตี๋ยวแต่เจ๊ไม่หวงวิชาค้าขาย สอนให้นวลรู้จักการทำบัญชีรับจ่าย สอนให้รู้จักมองคน อาเฮียแม้เป็นคนพูดน้อย แต่ก็สอนการพูดภาษาจีนแต้จิ๋วง่ายๆ ใช้บ่อยและสอนวิชาชีวิตให้นวลด้วย

วันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวปิดตั้งแต่บ่ายโมงเพราะมีข้าราชการมาจัดประชุม พวกเขามาอุดหนุนซึ่งที่นี่เปรียบเหมือนร้านอร่อยประจำจังหวัด ทำให้ของหมดไวเจ๊ไม่ทำเพิ่มแล้ว ร้านปิดไวก็ได้เลิกงานไวขึ้น

อาเฮียขึ้นบ้านไปพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ในห้องครัวหลังร้าน นวลกำลังนั่งล้างจาน อุระเป็นผู้ช่วยตามเคย เจ๊กำลังง่วนอยู่กับของที่ต้องจัดเตรียม เธอถือกระดาษใบหนึ่งไล่จดรายการสินค้าเพื่อจะให้อุระไปซื้อของมาเตรียมไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ทำงานไปคุยกันไป

“นวล เจ๊ว่าลื้อเปิดร้านตัดเสื้อก็ดีนะ”

“คงอีกนานค่ะเจ๊ นวลเก็บเงินได้ไม่มากนัก และยังไม่ได้ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราวเลย พี่อุระสิคะ จะได้เป็นเถ้าแก่ก่อนแล้ว”

“โอ้ เก่งนะ อาอุระ ลื้อทำอะไร”

“ก็เหมือนที่เล่าให้เจ้ฟังครับ” อุระเป็นแบบนี้เสมอ บางทีก็ออกเสียงเรียกเจ๊ว่าเจ้แบบไม่รู้ตัว

“เวลาเลิกงานแล้ว ผมไปถีบสามล้อ พอเก็บเงินได้ ผมก็ซื้อรถมาให้เขาเช่า”

“โอ้โหย่ว” เถ้าแก่เนี้ยอุทานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดี ดี ลื้อได้กี่คันแล้ว”

“ตอนนี้ผมขับหนึ่ง ให้คนเช่าอีกสี่คันครับ”

“ลื้อมาทำงานกับอั๊วได้สามเดือนกว่าๆ มีสามล้อห้าคัน โอ้โหย่ว! เก่งมากนะเนี่ย”

“ขอบคุณเจ๊กับเฮียที่เป็นต้นแบบ ผมเลยมีโอกาสครับ”

อุระยกมือไหว้ เจ๊รับไหว้ มองเด็กหนุ่มสาวตรงหน้าอย่างชื่นชมจากใจจริง

“แล้วนี่จะเลิกทำงานกับอั๊วแล้วเหรอ อานวลลื้อก็ด้วยรึ” หันไปถามสาวน้อยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้คาดคั้นหรือตั้งความหวังใด

“ยังหรอกค่ะ เจ๊มีบุญคุณกับนวล นวลไม่อยากไปไหนเลย” เธอสบตาตอบอาเจ๊ด้วยมีความจริงใจฉายชัดในแววตา

เจ๊ยิ้มแล้วหันไปง่วนทำงานไปด้วย ปากก็พูดด้วยไม่ได้หยุด

“อานวล ลื้อต้องเติบโต ไม่ต้องเกรงใจ อั๊วรู้งานล้างจานเงินเดือนนิดเดียว อั๊วไม่อยากรั้งพวกลื้อไว้หรอก อั๊วจ้างคนที่ขยันได้ แล้วอั๊วไม่อยากรั้งคนเก่งอย่างพวกลื้อไว้ก้นครัว”

นวลล้างมือ เช็ดมือปาดๆ กับผ้ากันเปื้อนที่สวมทับชุดทำงานไว้ ลุกขึ้นเดินไปใกล้แล้วไหว้เจ๊อย่างนอบน้อม มองด้วยสายตาชื่นชมสุดหัวใจ นวลรู้สึกอบอุ่นเมื่อมืออูมๆ อุ่นๆ นั้นตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนเจ๊จะพยักพเยิดให้นวลนั่งลงล้างจานต่อ

“อั๊วเอ็นดูลื้อจริงๆ อานวล ลื้อทำให้อั๊วคิดถึงสมัยสาวๆ ลำบากพอทนได้แต่ถ้าไม่มีเงินมันเจ็บปวด อยากได้อยากมีอะไรเหมือนคนอื่นเขาก็ไม่ได้ เงินเป็นตัวกำหนดฐานะจริงๆ”

เจ๊หันไปทางอุระที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขากำลังเช็ดช้อนกับตะเกียบเพื่อเอาไปเก็บเข้าที่

“ลื้อก็เหมือนกันอาอุระ อยากให้เป็นลูกเป็นหลานแท้ๆ ของเจ๊ ลื้อว่านอนสอนง่าย ขยัน แต่เจ๊อยากให้พวกเธอขยันให้ถูกที่จะได้รวย พ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก”

“ขอบคุณครับเจ๊” อุระหันมายกมือไหว้เธออีกครั้ง

“เดี๋ยวพวกลื้อเอารายการนี่ไปซื้อของ” เจ๊ส่งกระดาษให้ “จากนั้นเอาของมาเก็บในครัว แล้วเลิกงานกันเถอะ เหนื่อยมากแล้ววันนี้”

“ค่ะ เดี๋ยวนวลกับอ้ายอุระทำตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน”

“เจ๊จะขึ้นบ้านแล้วนะ ออกไปอย่าลืมล็อกประตูให้ดี”

“ได้ค่ะ” นวลซึ่งนั่งล้างจานตอบโดยไม่หันมามองเพราะกำลังเร่งมือล้างจานกองโตนั้นให้เสร็จเร็วขึ้น

เจ๊กำลังจะเดินออกจากครัว หยุดแล้วเอามือแปะหน้าผาก

“อ้อ เงินๆ โอ๊ย ลืมเก่งจัง” เธอล้วงในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนหยิบเงินที่เตรียมไว้ให้ซื้อของส่งให้อุระ

“อย่าลืมคิดค่าสามล้อ อั้วเผื่อเงินไว้ให้แล้ว”

“โธ่ เจ๊ ข้าวน้ำผมก็กินที่นี่เกือบทุกมื้อ จะมาจ่ายอะไรอีก ผมไม่เอาหรอก เจ๊ให้ผมเยอะแล้ว พอๆ”

“เออ เจ๊รวย เอาไปเถอะ อั๊วไม่ได้เลี้ยงต้อยลื้อหรอก ผัวอั๊วตีหัวแหกพอดี ฮ่า ฮ่า”

นางออกเสียงหนักๆ ทำหน้าเชิดๆ พูดจบก็หัวเราะนำ ให้สองคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม

“ได้ค่ะ เจ๊สวยและรวยมาก” นวลเสร็จงานลุกขึ้นยืน ขยับตัวไปยกตะกร้าที่ใส่ชามก๋วยเตี๋ยวไปวางบนโต๊ะใกล้ตัวอุระ

“อ้อ พวกลื้อเตรียมตัวนะ อั๊วจะติดประกาศรับคนงานใหม่” พูดจบเจ๊ก็เดินหลังออกไป

“เอ้า อยู่ดีๆ เจ๊ไล่พวกเราออกแล้วเหรอครับ ว้า…แย่จัง”

อุระทำงานมือเป็นระวิง ปากพูดว่าแย่แต่ไม่มีอาการสลดแถมยังยิ้มร่าอย่างน่าหมั่นไส้

“อีเถ้าแก่รถสามล้อถีบ ลื้อไม่ต้องมาทำท่ากะล่อนใส่อั๊ว” เจ๊ที่ก้าวยังไม่ทันพ้นประตูห้องครัวหันมาเท้าสะเอวเชิดหน้า “ตะกี้อั๊วก็บอกแล้วผัวขี้หึงว้อย! อีกอย่างหรือเด็กเพิ่งเกิดเมื่อวานซืนถึงจะหล่อแต่ก็สู้อาเฮียของอั๊วไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”

บรรยากาศในครัวครื้นเครง เสียงหัวเราะคงดังไปถึงชั้นสอง เสียงอาเฮียกระแอมกระไอดังมา ทุกคนมองตากันเลิ่กลั่กแล้วหรี่เสียงคุยกันให้เบาลง

“ถ้านวลไม่ได้ไปไหน นวลจะมาช่วยค่ะ ที่บ้านพ่อกับแม่เริ่มพออยู่พอกิน ไม่ต้องกลับบ้านบ่อยๆ แล้ว นวลว่าจะไปเรียนเย็บผ้าให้เป็นเรื่องเป็นราว นวลได้ข่าวว่าหลวงเขามาสอนอาชีพให้สาวๆ ที่ไม่อยากทำอาชีพขายตัวแล้ว นวลจะไปสมัครเรียนกับเขา” นวลพูดเบาจนแทบจะกลายเสียงกระซิบ แล้วยกมือนิ้วชี้ ชี้ไปชั้นบนที่อาเฮียอยู่ทำให้คู่สนทนาทั้งสองคนอมยิ้ม

“ดี ดี พวกลื้อทำงานดีจริงๆ อั๊วก็เสียดายนะ แต่อั๊วไม่อยากให้ลื้อจมปลัก อายุยังน้อย มีทางเติบโตเป็นเถ้าแก่ก็ควรทำ มีปัญหามาปรึกษาอั๊วกับเฮียได้เสมอ ยกเว้นเรื่องยืมเงิน”

เจ๊ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง นวลมองตามร่างผู้หญิงที่คุ้นเคย เธอเดินเข้ามาตบหลังตบไหล่อุระเบาๆ นวลมองตามสายตาของเจ๊ที่ชื่นชมอุระ นวลก็มองเจ๊ด้วยความรักและศรัทธาด้วย

‘ในโลกใบนี้ยังมีคนดีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางคนดีกว่าญาติพี่น้องด้วยกันเสียอีก ดูอย่างเจ๊ดีกว่าพวกปากปลาร้าในหมู่บ้าน แตกต่างกันเหมือนเป็นหน้ามือหลังตีน’

นวลรำพึงรำพันอยู่ในใจ

เมื่อไม่ต้องไปทำงานช่วงกลางวัน นวลจึงไปสมัครเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับหน่วยงานราชการที่น้อยแนะนำ เขาจัดพัฒนาอบรมฝีมือแรงงานโดยมีครูมาสอนอาชีพให้ฟรี มีแผนการเรียนให้เลือกสามอย่าง คือการทำอาหารไทย เย็บปักถักร้อย และเสริมสวย



Don`t copy text!