บุปผาตีตรา บทที่ 16 : โรงหนังใหญ่

บุปผาตีตรา บทที่ 16 : โรงหนังใหญ่

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เจสันเดินกลับมาทักทายอุราและเพื่อนชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าลำลองแบบสบายๆ เดินยิ้มเผล่มาหา ยิ้มของเขาสดใส นัยน์ตาเป็นประกาย ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบตัดกับสีผิว ถึงแม้เขาเป็นคนผิวสีแต่คนที่นี่ไม่มีใครแสดงท่าทีเดียดฉันท์หรือด้อยค่า ทุกคนยิ้มแย้มตอบรับทำให้แวบหนึ่งในใจเขาอยากอยู่ที่นี่ ชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่าบ้านเกิด

“อ้าว ไม่รู้ว่าอุรามาด้วย ผมซื้อตั๋วสำหรับสองคน ผมกลับไปซื้อใหม่ดีกว่า”

เขากล่าวเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากลทุกคนในที่นี่เข้าใจได้เท่าเทียมกัน

“ไม่เป็นไร ผมไปดีกว่า”

เพื่อนชายคนที่มากับอุรา รีบฉากไปให้ทั้งสามคุยกัน ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมตั๋วสองใบและทุกคนเดินเข้าโรงหนังไปพร้อมกัน แต่ต้องแยกเพราะหมายเลขที่นั่งห่างกัน

นวลนั่งแล้วหันไปมองรอบตัว คนเยอะอย่างที่เธอไม่เคยจินตนการว่าจะได้เห็น โรงหนังที่นี่เต็มทุกที่นั่ง ทั้งหญิงชาย ไทย ฝรั่ง เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากสำหรับนวล ซึ่งจำนวนคนในนี้มีมากกว่าคนในหมู่บ้านที่ไปรวมตัวกันที่วัดเวลามีงานบุญเสียอีก ตอนที่เดินเข้ามา เขากำลังเปิดม่านสีแดงทึบ ม่านขยับห่างจากกันไหลไปเก็บด้านข้าง เผยให้เห็นแผ่นจอใหญ่ยักษ์อยู่ตรงหน้าเป็นสีขาวขอบน้ำเงิน เจสันเอียงคอมาพูดใกล้หูเบาๆ ว่าพวกเรามาสายเลยเลือกที่นั่งไม่ได้ต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีก

นวลตื่นเต้นเพราะเพิ่งเข้าโรงหนังครั้งแรก เคยได้ฟังที่เพื่อนเล่าไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ก่อนหน้านี้อุราเคยชวนแต่นวลติดที่ทำงานไม่อยากหยุด การทำงานแล้วได้เงินมากๆ เป็นความสุขที่สุดในชีวิต ยิ่งมีความสุขเมื่อได้เอามันไปซื้อข้าวของและเอาเงินสดให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย รอยยิ้มของแม่คือความสุขที่หล่อเลี้ยงหัวใจของนวลเสมอมา พ่ออาจจะไม่ได้แสดงออก แต่นวลรู้ว่าพ่อก็พอใจมาก ถ้ามีเงินเยอะๆ นวลอยากให้พ่อแม่หยุดทำงาน ไม่ต้องไปทำนา นวลอยากให้ฝันนี้เป็นจริงไวๆ

เจสันจับมือนวลเดินไปตามทางและคอยกระซิบว่ามีขั้นบันได จนถึงที่นั่งซึ่งเป็นแถวเกือบหน้าสุด นวลรู้สึกถึงความอุ่นจากมือใหญ่ๆ ที่กุมมือและบอกให้เดิน มองตามร่างสูงของเขาอย่างชื่นชม ถ้าเทียบกับฝรั่งคนอื่น เจสันดูสุภาพกว่าคนที่ไปเที่ยวบาร์หลายคนที่เธอได้พบ นี่จะเป็นการจับจูงมือครั้งแรกเลยก็ว่าได้ คิดแล้วก็ร้อนผ่าวที่แก้มสาว

ผู้ชายไทยที่เป็นคนดูแลโรงหนัง ชี้ให้เขาและเธอไปนั่งตรงกลางๆ ต้องเดินเลาะเข้าไปตามเลขที่นั่งที่เขาจัดไว้ พอนั่งปุ๊บ ไฟก็ดับมืดลง เจสันเอียงหน้ามากระซิบอีกว่านวลไม่ต้องตกใจเวลาบนจอจะมีภาพใหญ่ยักษ์และเสียงดังกระหึ่ม เสียงผู้คนที่คุยกันจอแจเริ่มเบาลงจนเงียบสนิท ทุกคนจ้องไปที่จอ เป็นการฉายตัวอย่างหนัง นวลเคยดูหนังกลางแปลงก็ไม่ได้แปลกใจอะไร จะมีก็ตื่นเต้นกับเสียงระบบรอบทิศที่กระหึ่มมากกว่าหนังกลางแปลงกลางท้องทุ่ง

นวลหันกลับมามอง เจสันจ้องมองหน้าสาวในความวับแวมของแสงจากจอหนังแล้วก็ยิ้ม เขาส่งเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“นวลชอบไหม”

นวลพยักหน้ายิ้มตอบเขินๆ เขายกมือที่กุมมือไม่ปล่อยให้ดูแล้วเอามือนวลไปวางไว้บนตัก นวลหน้าแดงอยู่ในความสลัว ก็นึกว่าถามว่าชอบหนังไหม แต่ดูเหมือนฝ่ายชายจะถามว่า ‘ชอบไหมถ้าฉันจะกุมมือเธอไว้’ อื้ม เจสันก็นะรุกคืบจัง

ในโรงหนังที่มืดสลัวได้เวลาแล้วที่จะฉายหนังสือ ภาพหนังตัวอย่างตัดไปเป็นตัวหนังสือภาษาไทยและอังกฤษ โปรดยืนเพื่อทำความเคารพ เสียงกระซิบกระซาบคุยกันยิ่งเงียบกริบ เมื่อดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเริ่มขึ้น

นวลจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความอิ่มใจและตื้นตันในอก ยิ่งตอนภาพที่ผู้คนหมอบกราบเพื่อรับเสด็จในหลวง อุ่นวาบในอก น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นความรู้สึกที่นวลบรรยายไม่ถูกแต่รู้สึกตื้นตันแบบนี้ทุกครั้งเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่ว่าจากที่ไหนก็ตาม นวลจะหยุดดูและฟังจนจบ พอจบก็ค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม เจสันมองมาแล้วโค้งคำนับนอบน้อมตาม

 

เมื่อหนังจบลง ในโรงเปิดไฟสว่างอีกครั้ง มีคนคอยชี้ทางออกให้ ทุกคนทยอยเดินตามกันออกไป หนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันออกจากโรงหนัง นวลชวนเจสันไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเจ๊ เขาตกลงจึงพากันเดินไปไม่กี่นาทีก็ถึงที่ร้าน โชคดีมีโต๊ะว่าง นวลหาที่นั่งให้เจสันสั่งก๋วยเตี๋ยวกับเด็กที่มาเสิร์ฟน้ำดื่ม ระหว่างนั้นเธอให้เจสันนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนตัวเองเธอเดินหายไปทางหลังร้าน เจ้ง่วนกับงานเหมือนเคย นวลเดินไปใกล้เอามือแตะแขนนั่นละเจ๊ถึงได้รู้ตัว พยักหน้าหงึก

“ลื้อจะมาช่วยอั๊ว หรือมาเป็นลูกค้า”

“ทั้งสองอย่างค่ะ แถมพาลูกค้ามาเพิ่มให้ด้วย”

“เดาว่าเป็นหนุ่มฝรั่งคนนั้น สมัยที่ลื้อทำงานที่นี่ เคยเห็นเขามานั่งมองลื้อในร้านบ่อย”

“อุ้ย! จริงหรือคะ นวลไม่เคยสังเกต”

“ก็ลื้อตั้งหน้าตั้งตาทำงานงกๆ หน้ามันจนจะทอดไข่ได้ จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่อยผู้ชาย”

เจ๊พูดแล้วหัวเราะเบาๆ

“ไอ้หนุ่มนั่นก็ตาถึงนะ มองเห็นความสวยใต้ใบหน้ามันๆ ของลื้อ”

“ฮ่าๆ เจ๊ก็นะ แหม ช่างบรรยาย”

สองสาวหัวเราะ ลูกจ้างในร้านเดินมาบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งได้แล้ว เจ๊รีบไล่นวลให้ไปนั่งกินก่อนที่ก๋วยเตี๋ยวจะอืดและไม่อร่อย

กินกันจนอิ่ม จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เจสันเดินไปยกมือไหว้ขอบคุณเฮียเจ้าของร้านที่ยืนลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ เฮียพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเท่าเจ๊ นวลยืนมองพวกเขาสนทนากันอย่างขำๆ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ตีกันนัว นวลเลยเดินไปผสมโรงด้วยภาษาอีสานบ้านเกิดเข้าไปอีกคน

“ขอบคุณล้ายหลายค่ะเฮีย นวลกลับก่อนนะ”

“อื่อ ว่างก็มาอุดหนุนเยอะๆ เจ๊จะได้รวยกว่านี้ แล้วจะไปเสริมสวย ทำนมโตๆ ให้เฮียรัก เฮียหลง”

อาเฮียได้แต่หัวเราะหึหึ ไม่ต่อความยาว ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไป

“เทกแคร์ครับเจ๊ ผมจะพานวลมาบ่อยๆ”

“นวลลุ้คไลค์มายดอเธอร์ ด้อนเมคเฮอคราย” เจ๊พูดเป็นภาษาอังกฤษซะด้วย

“เยสเซ่อร์” เจสันตอบรับทันควันพร้อมชิดเท้าตะเบ๊ะ

“ขอบคุณค่ะเจ๊ นวลไปก่อนนะ”

นวลกับเจสันเดินยิ้มออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว มุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทางเจสันหยุดซื้อดอกกุหลาบสีแดงและส่งให้เธอ

“นวลสวยเหมือนกุหลาบ”

“ขอบคุณค่ะ สักวันกุหลาบแห้งไปแล้วหวังว่าคุณจะมองว่ามันยังเป็นดอกไม้ที่สวยอยู่”

“แน่นอนครับ ผมสัญญา” เจสันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“นวลไม่ชอบให้สัญญาเลย อย่าพูดอีกเลยค่ะ ให้เวลาพิสูจน์การกระทำดีกว่า”

เขาสบตากับสาวน้อยข้างกายแล้วยิ้มหวานจนเธออายม้วนหลบตา

 

ทั้งสองเดินไปตามถนนที่ทอดยาว วันนี้ยังมองเห็นว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไร ตรงไหนมีร้านรวงอะไร ยังควบคุมได้ วันหนึ่งนวลหวังว่าอนาคตของเธอจะเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตที่มีความหวังและควบคุมได้ แอบมองเจสันยิ้มโบกมือให้สามล้อที่ส่งเสียงทักทาย เขาบอกชายขับสามล้อว่าวันนี้เขาอยากเดินไปกับนวล ผู้หญิงที่เขาพึงใจ เดินไปช้าๆ แต่ทว่ามีความสุขใจ พวกสามล้อโห่แซวเสียงเป่าปากวิ้วว้าวกันเป็นแถว นวลได้แต่ยิ้มหน้าแดง

เดินเคียงกันเงียบๆ เจสันต้องตกใจเมื่อมีสาวแต่งกายด้วยชุดเดรสสีส้มสดใสเข้ารูป เดินยิ้มเผล่ตรงดิ่งเข้ามาหาแล้วโถมเข้าใส่จนเขาเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว นวลยืนงง

“เจฟ ดีใจมากที่เจอคุณ” ดวงฤดียังติดปาก เรียกเขาว่าเจฟแทนเจสัน

“ดวง” เขาอุทานเบาๆ อย่างงงงวย

“ฉันมากับพ่อแม่ ฉันมาประชุมเรื่องการวางแผนพยาบาลที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด พ่อกับแม่มาเที่ยวด้วย คุณไปทักทายสิ ไปๆ”

เธอเอ่ยชื่อโรงแรม เจสันพยักหน้าหงึกๆ ผู้หญิงตรงหน้าเขาคือดวง หรือดวงฤดี พยาบาลสาวคนที่เคยดูแลเขาตอนที่บาดเจ็บแล้วส่งไปรักษาตัวโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พ่อของดวงยังเป็นคนผ่าตัดรักษาให้เขาด้วย

นวลพยายามตั้งสติ มองชายหญิงตรงหน้า คนหนึ่งเพิ่งมาขอเดตครั้งแรกยังไม่ทันจะจบเดตแรก อีกคนเป็นหญิงสาวแปลกหน้าที่หน้าตาสวย งดงาม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ผิวพรรณดี กลิ่นน้ำหอมราคาแพงติดตัวเธอหอมสดชื่นมากๆ ภาษาอังกฤษที่เธอพูดฟังดูมีจังหวะเหมือนได้ฟังคนร้องเพลง

“โอ้ ดวง…ดวง” เจสันละล่ำละลัก

“ไอคิดว่าต้องเจอยู โชคดีจริงๆ ที่เจอกัน”

“ดวง ผมมาเดต”

เจสันตะกุกตะกัก

หญิงสาวชาวกรุงคนสวยทำท่าคอตกได้น่ารักน่าชังมาก หันมามองทางนวลแล้วยิ้มหวานทั้งใบหน้าและดวงตา เป็นยิ้มที่จริงใจน่ารักจนนวลต้องยิ้มตอบ

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อดวงฤดี”

“สวัสดีค่ะ นวลค่ะ”

นวลสงวนท่าที แต่ดวงฤดีไม่ เดินเข้ามากอดแขน กลิ่นน้ำหอมที่มาใกล้ขนาดนั้นยิ่งหอม หอมแบบชื่นใจไม่น่าเกลียด หอมแบบน่าหลงใหล ลึกๆ ในใจนวลอิจฉาเธอไปแล้ว สวยและสดใสขนาดนี้เจสันจะรู้สึกกับเธอแบบไหนกันนะ

“ดวงเป็นพี่คุณแน่เลย ปีนี้จวนจะสามสิบแล้วค่ะ”

ดวงเอียงคอเหลือกตามองบน ปลงกับอายุตัวเอง แล้วดึงแขนนวลให้ออกก้าวเดิน เจสันเดินตามยิ้มๆ และส่ายหัว เอาอีกแล้วดวงฤดีหว่านเสน่ห์อีกแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิง

“ดังนั้นพี่เป็นพี่นะคะ”

เธอสรุปเอง พูดเอง เออเอง นวลอดยิ้มไม่ได้เลย แถมยิ้มกว้างแบบจริงใจ สายตาของนวลเริ่มแสดงความไว้ใจในผู้หญิงตรงหน้าแบบแปลกๆ

“ค่ะ พี่ดวง”

“อุ้ย! น่ารัก ไม่ดื้อ” เธอหันไปพูดภาษาอังกฤษกับเจสัน “คุณโชคดี เธอไม่ดื้อ ไม่เหมือนฉันแน่ๆ”

เจสันยิ้มตอบ นวลมองเจสัน ไม่มีรอยหวั่นไหวในดวงตาของเขา ไม่มีท่าทีขัดเขินในคนสองคนนี้

“พี่ดวงเคยคบกับเจสัน” ดวงฤดีเป็นคนพูดเอง

“คะ” นวลได้แต่อึ้ง ไปต่อไม่ถูก

“พี่บังคับเขาเองแหละ ตอนนั้นเขาเป็นคนไข้ที่วอร์ด เปิ่นๆ น่ารักดี แต่พอคบไปคบมา ไม่ไหวต้องสละสิทธิ์ อีตานี่ซื่อบื้อเกินไป ไปต่อด้วยกันไม่ได้”

ดวงฤดีลงเสียงหนัก ชิงพูดก่อนโดยไม่ต้องรอให้ใครถาม

“คะ” นวลยิ้มจืดๆ มองคนนั้นที คนนี้ที ทั้งงงและตกใจ

“แต่พี่ดวงเป็นอดีต ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องมาหวง”

“เอิ่ม…ต้องการให้ตอบยังไงดีคะ”

“พี่มาประชุม นั่นๆ”

พูดไม่ทันจะรู้เรื่อง ดวงฤดีชี้ไปที่ร้านขายกาแฟริมทาง มันเป็นร้านของพี่ที่ขายอาหารเช้า แต่เปิดทั้งวันนั่นเอง

“ไปนั่งร้านนั้นกัน”

เช่นเคย ไม่ต้องรอคำตอบ ดวงฤดีดึงแขนนวลให้เดินตาม เจสันส่ายหัวถอนหายใจ ตัดสินใจขอตัวแยกไปโดยอ้างว่าติดธุระ

 



Don`t copy text!