บุปผาตีตรา บทที่ 2 : เด็กเลี้ยงควาย

บุปผาตีตรา บทที่ 2 : เด็กเลี้ยงควาย

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

บ่ายคล้อย ตะวันลอยอยู่เหนือยอดไม้ ที่ท้องนาฝั่งทิศตะวันตกมองจากตรงนี้ไปยังเห็นวัดและบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ลิบๆ เด็กและวัยรุ่นกลุ่มนี้เป็นลูกหลานคนในหมู่บ้าน ได้รับมอบหมายจากพ่อแม่ให้มาเก็บควายที่ผู้ใหญ่จูงมาผูกไว้ตามท้องนา ให้มันกินหญ้าหรือซังข้าว ตอนนี้พวกเขารุมล้อมกันที่เถียงนาของตาสุก มองขึ้นไปเหนือหลังคา ลุ้นให้เพื่อนที่อยู่บนต้นขย่มลูกพุทราร่วงลงมา

อุระเป็นพี่ชายของอุรา เขาอายุสิบเก้าปี ตัวผอมสูง โย่งกว่าใครในกลุ่ม เขากำลังใช้เท้าหยั่งน้ำหนักกิ่งพุทรา เพื่อปีนขึ้นไปเลือกเหยียบกิ่งที่แข็งแรง มีลูกพุทราดก เท้าขยับ มือคอยยึดกิ่ง ตาคอยจ้องระวังหนามแหลมคมของมันด้วย เมื่อได้ที่ยึดเกาะให้มั่นแล้วจัดการออกแรงขย่ม ให้ผลไม้ลูกเล็กนั้นหล่นลงมาให้คนข้างล่างหกคนช่วยกันเก็บ ทุกคนดูพร้อมมากบางคนดึงเอาชายเสื้อทำเป็นถุงคอยรองรับแม้จะเสี่ยงกับการเอาหัวโหม่งลูกพุทราน้อยก็ไม่ยั่น

เมื่ออุระขย่มกิ่งของมัน พุทราลูกน้อยร่วงพรู หล่นลงมาไม่ขาดสายเหมือนลูกเห็บแข็งๆ เย็นๆ ที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า กะปริมาณว่าคงพอกินกันแล้ว อุระก็ตะโกนลงมาด้วยภาษาบ้านเกิด

“พอแล้วบ่”

“เออ พอแหล่วๆ”

ใครสักคนในกลุ่มตะโกนตอบไป ตอบรับด้วยสำเนียงเดียวกันเป๊ะ

จังหวะที่พี่ชายหยุดขย่มกิ่งของมัน นวลกับอุราที่นั่งเท้าคางอยู่ตรงคันนารอเวลาเพราะไม่ต้องการเอาหัวโหม่งลูกพุทรา รีบวิ่งเข้าไปเก็บ อุระปีนลงมาร่วมขบวนอย่างไม่รีบร้อน ลูกที่ร่วงลงมาเยอะจนกินกันไม่หมดต้องใส่พก ใส่ย่ามกลับบ้าน

นวลเดินก้มๆ เงยๆ ตามเก็บลูกไม้เม็ดเล็กหลายสี มีทั้งสีเขียว สีเหลือง บางลูกออกสีแดงผิวตึง ถ้าลูกไหนแก่จัดผิวจะเหี่ยวคอยวันร่วงหล่นจากต้นลงสู่ดิน หากฝนตกดีอาจจะมีสักวันที่มันอาจจะงอกขึ้นมาเป็นต้นพุทราน้อยรอวันเติบโต

แดง เด็กชายวัยสิบห้าปีแต่ดูโตกว่าวัย พี่สาวของเขาไปทำงานในเมือง ไม่ได้แต่งงานแต่ท้องโตกลับมาให้ชาวบ้านนินทาหนาหู พอคลอดออกมาก็ทิ้งให้ที่บ้านเลี้ยงแล้วกลับไปทำงานต่อ ลูกของพี่สาวผมหยิกตัวดำ แม้จะมีชื่อแต่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่านิโกรน้อย มันเป็นปมในใจที่ทำให้แดงเกลียดคนผิวดำมาก เพราะคิดว่าฝรั่งผิวดำไม่รับผิดชอบลูกเมีย แดงมีรูปร่างตุ้ยนุ้ยสวมกางเกงขาสั้นเก่ากับเสื้อยืดคอย้วยสีหมองจนแทบไม่รู้ว่ามันเคยเป็นสียืดสีขาวมาก่อน

เด็กชายตัวอ้วนร่างใหญ่จับชายเสื้อมากระจุกรวมกันเหมือนถุงผ้าหยิบลูกพุทราลูกแล้วลูกเล่าใส่ไปจนเต็มชายเสื้อพองนูนขึ้นมาสายตาสอดส่ายหาอีกสักลูกที่กำลังสุกฉ่ำไม่งอมมากนักบนพื้นแล้วก้มเก็บขึ้นมาถูกับเสื้อส่วนที่ว่างๆ เพื่อเช็ดขี้ฝุ่นขี้ดินออก แล้วจับใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ รสเปรี้ยวอมหวานของมันทำเอาน้ำลายแตกซ่านเต็มปากจนกระเด็นออกมา เขายักไหล่หลุบคอตาหยี ก่อนจะลืมตาปล่อยตัวตามสบายเคี้ยวต่อไปจนพ่นเม็ดของมันลงสู่พื้น

“พุทรานี่เป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว อีกไม่นานคงโกร๋นหมดต้นใช่ไหมนี่”

อุระเข้ามาใกล้ ก้มลงหยิบพุทราใส่ย่ามที่นวลกำลังสะพายอยู่ สายตาของเขาที่มองมายังสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีบ่งบอกชัดเสียจนคนทั้งหมู่บ้านรู้ว่า อุระตามจีบนวลมาตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสือ จนเรียนจบ จนถึงป่านนี้

“อื้อ นี่ปลายหน้าหนาวแล้ว” นวลหันไปทางอุรา

“เจ้าจำได้ไหมที่แม่เล่าให้ฟังว่าเรื่องตาสุกไปได้ต้นบักทันนี่มาจากในเมืองตอนที่ไปทำบุญกฐินกับหลวงตาเอามาปลูกไว้ มันเหลือต้นเดียวนี่แหละ”

“อื่อ จำได้ เด็กบ้านเรากี่รุ่นๆ ก็ได้อาศัยพุทราต้นนี้แหละแทนขนมหรือผลไม้สวยลูกสวยๆ แบบคนในเมือง”

พูดจบอุราทำเหมือนไอ้แดง คือหยิบลูกพุทรามาเช็ดเสื้อแล้วหยิบเข้าปากเคี้ยว หลุบคอหยีตาไม่ต่างกัน ได้ทั้งอารมณ์และรสชาติ รสมันเปรี้ยวก่อนจะหวาน เธอหยิบมันจากพื้น เช็ดแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอีกหลายลูก

นวลสวมเสื้อยืดลายทางสีแดงกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีเขียวแก่ที่ซีดจางจากการซักบ่อยครั้ง เปิดปากย่ามที่เตรียมมา รอรับพุทราจากอุระและอุรา ตัวเองก็ไล่เก็บเอาๆ ถุงย่ามนี้อุระเป็นคนเตือนให้เตรียมไว้ก่อนออกจากบ้าน เขาบอกแล้วว่าจะขึ้นพุทราเอาไปให้แม่ของนวลตำใส่ปลาร้า ไม่มีใครเถียงเพราะสูตรของแม่แซ่บถูกปาก ถูกใจ

อุราเก็บใส่ย่ามที่นวลสะพายอยู่บ้าง เก็บใส่ปากตัวเองบ้าง มองพวกเพื่อนผู้ชาย บางคนเก็บใส่กระเป๋ากางเกง บางคนใส่ชายเสื้อพก คนไม่ใส่เสื้อก็เอาผ้าขาวม้าคาดเอวมากางเก็บใส่ๆ แล้วม้วนห่อเคียนไว้ที่เอวหลวมๆ เปิดช่องให้หยิบได้ เดินไปกินไป พ่นเม็ดเรี่ยราดตามท้องนาไม่มีใครใส่รองเท้าสักคน

ใครเดินไม่ดูเหยียบเอาเม็ดพุทราที่เพื่อนพ่นไว้ก็จะด่าโขมง นวลมองดูเพื่อน แม้จะด่ากัน แต่ทุกคนมีสีหน้าเปี่ยมสุข มีรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าเกือบตลอดเวลา

ย่ามของนวลสวยเก๋ แม้จะเป็นย่ามผ้าฝ้ายทอมือที่ซื้อมาจากตลาดในหมู่บ้าน นวลได้ปักดอกไม้สีเหลือง สีแดง มีกิ่งก้าน ใบไม้ เป็นฝีมือเด็กสิบกว่าขวบแต่ความที่หัดมานานลายดอกจึงอ่อนช้อยงดงามมีเอกลักษณ์โดดเด่น

แดดเริ่มหุบฟ้าสีเหลือง สีแดงใต้ท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆสีขาวกระจัดกระจายเต็มฟ้า มองดีๆ จะเห็นเมฆจับกลุ่มก้อนชวนจินตนาการให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ ชี้ชวนให้เพื่อนดู เสียงพูด เสียงหัวเราะ ดังลั่นทุ่ง จนกระทั่งได้เวลาสมควรต้องแยกย้ายเข้าบ้านก่อนผู้ใหญ่จะมาตะโกนด่า

“ไปเอาควายกลับบ้านกันไหม” นวลเอ่ยปาก

เพื่อนๆ แหงนหน้ามองฟ้าและมองหน้าสบตากัน พยักหน้าเห็นด้วย

“ไอ้แดง ไอ้อ้น แยกย้ายกันตรงนี้นะ อ้ายจะไปเอาควายตรงโน้นพวกเอ็งไปก่อนเลย”

“วันนี้พ่ออ้ายพาควายไปไกลแถ้”

“เออ ไปจอดซะพู้น กว่าอ้ายจะเดินไปเดินกลับ พวกเจ้าไปกันก่อนเลยไม่ต้องรอ”

“แหม จอดควายเว้ามาเล่นหัวเนาะ อ้ายเนาะ นั่นมันควายนะบ่ใช่เกวียน”

นวลมีน้ำเสียงที่ไพเราะอ่อนโยน เธอประท้วงเสียงแจ๋วๆ เพื่อนเลยพากันหัวเราะล้อเลียน

“อ้ายอุระเป็นคนตลก ช่วยหัวแหน่”  อุราประชดประชัน แล้วหัวเราะนำ

ทุกคนหัวเราะตาม นวลก็หัวเราะ หัวใจของเธอรู้สึกเป็นสุข เห็นไอ้แดงเอามือป้องตาหลิ่วตาข้างหนึ่งสู้แดดที่กำลังส่องมา มองตามมือรุ่นพี่เห็นควายเขาจอดอยู่ไกลจริงจึงพยักหน้าพวกเขาแยกย้ายกระจายไปตามจุดจอดควายที่อ้ายอุระเรียก

เมื่อทุกคนแยกย้าย สถานีจอดควายตรงเถียงนาของตาสุกที่เต็มไปด้วยเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเมื่อสักครู่ตอนนี้เริ่มเงียบลงจนเหลือเพียงสายลมพัดใบต้นบักทันไกวไหวไปมาเบาๆ

ปากบอกว่าไม่รอแต่ไอ้แดงก็อดรอไม่ได้ เขาปล่อยให้ฝูงควายสิบกว่าตัวเดินนำไป ตัวเองยังรั้งเล่นพูดจาหยอกล้อกับเพื่อนต่อ กลุ่มคนเดินตามควายเป็นทิวแถว จากท้องนามุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน

ท้องทุ่งเวิ้งว้าง ท้องนาแต่ละแปลงเหลือแต่ซังข้าว หลังเกี่ยวข้าวส่วนใหญ่ขนข้าวเปลือกขึ้นเล้าข้าวหรือยุ้งข้าว สถานที่ซึ่งเอาไว้เก็บข้าวเปลือกของชาวนาเพื่อเก็บไว้กินหรือเก็บไว้ขาย เหลือเพียงนาพ่อใหญ่ดำที่กำลังลงแขกเสร็จแล้วก็ไปต่อที่นาของนวล ก็จะปิดงานทำนาของหมู่บ้านในปีนี้ นวลหันไปมองข้างหลังเป็นเพียงท้องทุ่งเปล่าๆ กว้างสุดตา บางนามีเถียงนา บางนาปลูกต้นไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์เพื่อมองเห็นได้จากที่ไกลๆ นาของนวลใกล้หนองน้ำมีปลาหลายชนิดด้วย พ่อปลูกต้นโพธิ์ไว้ข้างหนองน้ำ มองไปเห็นต้นไม้สูงใหญ่เป็นพุ่มเด่นชัดมาตั้งแต่จำความได้

ด้านหน้าของนวลเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อาศัยมาตั้งแต่เกิด มีสี่ร้อยกว่าครัวเรือน มองจากตรงนี้บ้านเรือนยังอยู่อีกไม่ไกลมากนัก แหงนมองขึ้นไปบนฟ้ายามเย็นเหมือนใครสาดถังสีที่เหลือก้นถังขึ้นใส่ผืนฟ้าดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนหลากสีสันเป็นหย่อมเหลืองๆ แดงๆ ส้มเทาปนเปกันไปหมด เมฆบังตะวันไว้ทำให้ไม่ร้อนเท่าไร ลมแล้งพัดมาเย็นสบาย

เดินตาไม่มองตีนบางทีก็เกือบๆ จะตกหลุมรอยเท้าควายที่เดินนำหลายหน อาศัยอุราเพื่อนรัก กับอุระพี่ชายของเพื่อนที่นวลรักและนับถือเหมือนเป็นพี่ชายของตนคอยดูแลฉุดแขนรั้งไว้ ไม่ก็ผลักให้พ้นทางที่เป็นหลุมอยู่อย่างนั้น

ควายฝูงใหญ่มากกว่าสิบตัวกำลังเดินย่ำไปตามท้องนาที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วเหลือแต่ซังข้าวชี้โด่เด่พอควายย่ำมันก็ราบเรียบไป พอควายยกเท้าก้าวต่อไปซังข้าวก็เด้งขึ้นมา นวลและเพื่อนกำลังเดินตามควายเพื่อต้อนพวกมันกลับบ้าน

อีเผือกหยุดกินหญ้าริมคันนา นวลเดินตามไปใกล้ตัวมันลูบหัวลูบคอกระซิบกระซาบริมข้างหู ก่อนจะขึ้นคันนาแล้วกระโดดขี่หลังมันอย่างคล่องแคล่ว อีเผือกมันรับรู้ว่าอีนางน้อยเจ้านายของมันขึ้นไปขี่บนหลังไม่มีทีท่าขัดขืนมันก็หันไปหันมา มองเห็นแม่ที่เดินตามหลัง เดินขึ้นนำมันดึงหญ้ามาใส่ปากแล้วออกเดินเคี้ยวตามหลังแม่ของมันไป

นวลนั่งโยกเยกเอียงตัวตามจังหวะการเดินของอีเผือกสบายใจ หันไปมองอุระกับอุราเดินคลอตามกันมาไม่ห่าง ด้านหน้าไกลออกไปพอสมควร แดงกับเพื่อนคนอื่นเดินไวกว่าพากันต้อนควายนำไปก่อน จนใกล้ถึงหมู่บ้านพวกเขาเริ่มแยกไปอีกทาง แต่นวล อุรากับอุระ ไปทางเดียวกัน

อีเผือกเห็นแม่มันข้ามคันนา ไม่รู้อารมณ์ไหนแทนที่มันจะย่างเท้าข้ามดีๆ มันดันกระโดดหกคะเมน นวลนั่งอยู่บนหลังมันไม่ทันระวังตัวก็ใจหายวาบ!

“ฮ่วย!”

เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวเสียหลักไถลลื่นจากหลังควายหงายหลังร่วงตกลงไปนั่งจ้ำเบ้าขาชี้เด่ขึ้นบนฟ้า อุราที่ตามหลังอยู่หัวเราะคิกคัก วิ่งเข้าไปหาปากก็ร้องตะโกน

“อีนวลตกควัยๆ”

ภาษาถิ่นอีสานคำว่า ควาย ฟังแล้วอาจกลายเป็น ควัย โควย โคว่ย ควาย ฆวย แล้วแต่ว่าหูใครจะแว่วไปว่าอย่างไร นวลทำปากขมุบขมิบด่าอีเผือกแบบไม่ออกเสียง มองตามหลังอีควายน้อยตัวดีที่วิ่งเตลิดไปตามแม่มันไกลออกไปโดยไม่หันมามองผลงานของมันเลยสักนิด ตะแคงตัวลูบก้นกบตัวเองป้อยๆ ทั้งเจ็บทั้งอายแต่ยังจุกจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว

อุราเข้ามาประคองนวลที่นั่งอยู่บนพื้นดิน เธอกลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อสบตากับนวลที่ส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้จึงปล่อยเสียงหัวร่องอหายทันที ทันใดนั้นทั้งเด็กหญิงเด็กชายวัยเดียวกันหยุดเดินหันมามองส่งเสียงล้อเลียนร้องเป็นเพลงไม่มีทำนองว่า ‘อีนวลตกควาย’ ดังต่อกันไปสลับกับหัวเราะดังลั่นทุ่ง

อุระพี่ชายของอุราเข้ามาใกล้หวังจะได้ช่วยอีกแรง เสียงหนุ่มฟังนุ่มทุ้มถามออกไป

“เจ็บหลายบ่”

อุรากลั้นหัวเราะ จับแขนเพื่อนยกขึ้นยกลงแล้วลูบไปตามตัวหารอยแผล

“ลุกไหวบ่ ให้อ้ายอุ้มเจ้าบ่”  อุระเสียงสั่น ถลาเข้ามายืนเงอะงะ

นวลแหงนหน้ามองพี่ชายเพื่อน เขาคงตกใจแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร นวลส่งยิ้มให้เขา ดวงตากลมโตขนตางอนเช้ง กะพริบเปลือกตาสองสามหน พยักหน้าว่าไม่เป็นอะไรมาก

อุระดูหล่อเข้มผิวสองสี โดดเด่นกว่าเพื่อนๆ เขาสวมเสื้อยืดสีเหลืองหน้าอกมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีดำแต่ก็จางจนอ่านไม่ออกแล้ว กางเกงขาสั้นสีตุ่นมอซอแม้เสื้อผ้าเก่าแต่สะอาดสะอ้าน อาจเป็นเพราะใบหน้าที่คมคายริมฝีปากหยักรับกับจมูกโด่งเป็นสันนั้นก็เป็นได้

อุราพยายามลากๆ ดึงๆ ให้นวลขยับตัวลุก นวลยิ้มแหยให้อุราก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง โชคดีอีเผือกมันเป็นลูกควายตัวเล็กหล่นมาแค่จุก ส่วนเธอเองก็เป็นเด็กเอวบางร่างเล็กตกลงมานั่งจุกแค่ชั่วครู่ไม่เจ็บมาก แขนขาดูแล้วไม่มีอะไรหักหรือเจ็บร้าว อุราช่วยพยุงนวลขยับตัวไปมาแล้วลุกขึ้นช้าๆ พอนวลลุกขึ้นได้ เพื่อนคนอื่นก็เลิกสนใจส่งเสียง ‘ฮึ่ยๆ’ ไล่ต้อนควายแยกไปทางบ้านของตัวเองเสียงตะโกนคุยกันไปมาฟังไม่ได้ศัพท์ห่างออกไป



Don`t copy text!