
บุปผาตีตรา บทที่ 3 : ฝันร้าย
โดย : สีน้ำฟ้า
บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
ฟ้ายามนี้เปลี่ยนสีตามดวงอาทิตย์ สวยจนอยากหยุดมองนานๆ แต่สายลมไม่ยอมรอเพียงแค่สายลมพัดผ่านเมฆก็แปรรูป พอเมฆเปลี่ยนรูป ผืนฟ้ามีช่องว่าง เพียงเสี้ยวนาทีหรือเพียงกะพริบตาสีของฟ้าก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว
ทางที่เดินกลับบ้านนี้ผ่านผืนนาที่ผ่านการเกี่ยวข้าวไปแล้ว ชาวนาจะเกี่ยวเอาเฉพาะรวงข้าวไป เหลือซังหรือตอต้นข้าวที่ติดดินแห้งแข็งไว้ ถ้าตอไหนที่เหลือไว้สูงขนาดเท่าหน้าแข้งจะต้องคอยเหยียบให้ตอข้าวราบเรียบไปกับพื้น ถ้าคนข้างหน้าเดินเหยียบราบเรียบไปกับพื้นแล้ว พอเขายกเท้ามันจะเด้งตั้งขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่มองสักแต่เดินๆ ไป ตอข้าวนี่ก็จะแทงหน้าแข้ง ตอข้าวที่อ่อนนุ่มก็ไม่เป็นไร แต่หากเจอตอไหนแข็งๆ ถ้ามันเสียดแทงที่หน้าแข้งจะทำให้หนังถลอกหรือเลือดซิบจะทำให้ทั้งแสบและคันเวลาอาบน้ำ
คนประสบเหตุตกควายยังขัดยอกอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นมาก ทั้งสามคนจึงพากันเดินขึ้นมาบนคันนาที่มีหญ้าขึ้นแซมมาบ้างแล้วจะนุ่มเท้ากว่าท้องนา เธอยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อก่อนที่มันจะไหลย้อยลงมากกว่านั้นอากาศอบอ้าวเสียจนไรผมของนวลเปียกชื้นไปหมด
แต่อากาศก็เปลี่ยนแปลงไว จากที่เย็นสบายกลางทุ่งเมื่อครู่ ตอนนี้อบอ้าวเหมือนฝนจะตก หน้านวลผิวเรื่อแดงก่ำ ใบหน้ากลมมีเค้าโครงหน้าที่สวย จมูกโด่งนิด ปากบางสีชมพูเหมาะเจาะ
อุราเตี้ยกว่านวล ผิวสองสีดำแดง แต่ความไม่เอาใจใส่ตากแดดวิ่งเล่นไปทั่วทำให้ดูคล้ำจนออกดำเป็นเหนี่ยง นวลงามแบบสวยสะดุดตา อุรางามแบบงามพิศ ความสวยกินกันไม่ลงระหว่างสาวน้อยสองคนนี้ผิดกันที่สีผิวแค่นั้น
พ้นเขตท้องนาเข้าสู่ถนนของหมู่บ้าน เป็นถนนลูกรังสีแดงหน้าแล้งแบบนี้ฝุ่นละเอียดหนาเตอะบนพื้นนุ่มละมุนเหมือนเหยียบแป้ง หญ้าริมทางทั้งสองข้างถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนแทบไม่เห็นสีที่แท้จริง นวลเกาะแขนอุราเดินโขยกเขยก อุระเดินตามไม่ห่าง พวกเขามองตามก้นอีดำแม่อีเผือกพากันเดินย่ำไปตามทางที่คุ้นเคย
ควายของอุราสามตัวเดินทอดน่องไปทางเดียวกันกับควายแม่ลูกของนวลสองตัว ควายตัวที่เดินตามหลังจะเห็นหญ้าที่เพิ่งดีดตัวจากรอยย่ำของควายตัวหน้าเป็นสีเขียว อีเผือกเดินตามแม่ วัยของมันกำลังกินพอเห็นหญ้าเขียวก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดึงหญ้าเข้าปาก แต่ก็ห่วงแม่ พอแม่ก้าวห่างออกไปก็หกคะเมนวิ่งตามไปอยู่ใกล้ๆ
บ้านอุราถึงก่อน ควายสามตัวเดินไปยังคอกของมันที่ใต้ถุนเรือนไม้ยกสูง อย่างรู้หน้าที่
“อุรา เจ้าเอาควายไปผูก แล้วไปนึ่งข้าวรอแม่ อ้ายจะไปช่วยนวลผูกควาย เดี๋ยวกลับมาตักน้ำมาใส่โอ่งให้ รอสักเดี๋ยวนะ”
อุระสั่งความน้องสาว ชี้มือไปทางบ้านตัวเอง ส่วนเขากุลีกุจอตามอีดำกับอีเผือกไป เอาสายคล้องคอไปผูกยึดกับเสาหลักในคอกควายบ้านของนวล
“นวล”
“เหอ”
“นึ่งข้าวไหวไหมให้ข้อยช่วยเจ้าก่อนบ่”
บ้านใกล้กัน รั้วติดกันกั้นหยาบๆ ด้วยไม้ไผ่ระแนง มองเห็นชานแดดของกันและกันชัดเจน อุราตะโกนข้ามรั้วมา เมื่อเห็นนวลไต่บันไดขึ้นบ้าน
“ไม่ ไม่เป็นไรมากแล้ว ข้อยทำเองได้”
นวลตะโกนตอบ ความที่เป็นลูกโทนบ้านของนวล พ่อจึงมีหน้าที่ตักน้ำใส่โอ่งไว้ตอนเช้าก่อนไปทำงาน ส่วนบ้านของอุรา มีอุระ พี่ชายคนโตจึงเป็นหน้าที่ของอุระที่ต้องจัดการหาบน้ำมาใส่โอ่งให้เต็ม เขาจะทำตามสะดวก น้ำใกล้หมดตอนไหนก็จะไปเติมให้เต็มไม่ต้องให้พ่อแม่มาดุด่า
นวลทำงานบ้านเพลินจนโพล้เพล้ อากาศเย็นลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย พ่อกับแม่กลับมาจากทุ่งแล้ว แม่กำลังทำอาหาร นวลช่วยตำเครื่องพริกใส่แกง บ้านนี้ใช้ครกหินหนาและหนัก เธอจำได้ว่ามีรถเร่เข้ามาขาย ครกนี่ราคาแพงมาก แต่เขาให้ผ่อนสามเดือนจึงมีคนซื้อหลายบ้าน รถเร่คันเดิมเขาจะมาเก็บเดือนละครั้งพร้อมกับได้ขายของให้คนใหม่ๆ ด้วย
แม่เป็นคนหยิบพริก กระเทียม เกลือแล้วอะไรอีกสองสามอย่างใส่มาในครก นวลมีหน้าที่ตำให้ละเอียด ฝีมือตำน้ำพริกของนวลหนักแน่นและดังถี่เหมือนของแม่แล้ว เพราะช่วยแม่ทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเมื่อก่อนยังเล็กนักแขนเท่าต้นอ้อยยกสากไม่ค่อยไหว เสียงตำน้ำพริกดังกึ๊กๆ ไม่เป็นจังหวะ ตอนนี้แขนก็ไม่ได้โตขึ้นสักเท่าไรแต่กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เสียงสากกระทบครกหินนั้นดังสม่ำเสมอรัวๆ
พ่อไปดูแลควาย อีดำกับอีเผือกอยู่ที่คอกใต้ถุน ได้กลิ่นควันไฟลอยมาตามลม กลิ่นนี้จะว่าเป็นความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบ้านก็ว่าได้ อย่างของบ้านนวลพ่อจะใช้หญ้าแห้งผสมหญ้าเปียก แล้วตัดใบตะไคร้โยนเข้าไปในกองด้วย พ่อจะสุมไฟไว้ใกล้คอกควายควันของมันช่วยไล่ยุง
เสียงวิทยุแว่วมาจากบ้านของอุรา เป็นเพลงลูกทุ่ง นวลยิ้มขำเสียงอุราที่ร้องเพลงคลอดังแทรกมาด้วย แม่ไม่ให้นวลร้องเพลงตอนทำกับข้าว เขาว่าไม่ดีจะทำให้ได้ผัวแก่ นวลเคยเถียงข้างๆ คูๆ แต่ไม่เคยชนะแม่ เพิ่งมารู้ตอนไปโรงเรียน ที่แท้เป็นเรื่องของอนามัย เวลาทำอาหารแล้วพูดน้ำลายอาจกระเด็นลงไปในอาหาร อาหารจะไม่ถูกสุขอนามัย
ยามค่ำของที่นี่ พอฟ้าเริ่มมืดแต่ละบ้านจะเปิดไฟนีออนส่องสว่างพอแค่ใช้งาน บางบ้านติดไฟที่ใต้ถุนเปิดไว้ทั้งคืน ถนนสายหลักของหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า ถ้าไปไหนกลางคืนต้องถือตะเกียง ไฟฉาย หรืออาศัยแสงจันทร์นำทาง
เรื่องไฟฟ้านี่เป็นความจำฝังใจ สมัยที่นวลยังเรียนหนังสืออยู่นอนทำการบ้านอยู่ตั่งใต้ถุนบ้าน แล้วมีผู้ชายแต่งตัวแปลกๆ มาพร้อมผู้ใหญ่บ้าน บอกว่าจะมาติดไฟหลวง แต่ต้องเสียค่าไฟเอง แม่ตอบตกลงก็ให้เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ว่า เพื่อนบ้านคนอื่นๆ เขาติดไฟหลวง เราก็ต้องติดไฟหลวงตามเขาไป ทำอะไรเหมือนๆ กัน
นวลเคยกระซิบถามแม่ว่าไฟหลวงคืออะไร หลวงนี่ดีมากๆ เลย สมุด หนังสือที่ใช้เรียนหนังสือก็ของหลวง นี่ไฟก็ไฟของหลวงอีกแล้ว หลวงรวยมากใช่ไหม แม่ตอบแค่พอให้เด็กเล็กอย่างเธอเข้าใจว่า หลวงคือคนที่ทำงานที่อำเภอ แต่ในหลวง หรือพ่อหลวงของแผ่นดิน คือคนที่อยู่ในหน้าปกสมุดของนวล ในหลวงคือคนที่นำฝนเทียมเข้ามาในประเทศ ทำให้หมู่บ้านของเรามีน้ำกิน น้ำใช้ ในหน้าแล้ง
“นวล…นวลเอ้ย”
ก่อนที่นวลจะคิดอะไรไปมากกว่าเดิม เสียงแม่ก็ปลุกให้นวลกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“จ๋า แม่”
“ตำน้ำพริกเสร็จรึยัง เอามานี่มา”
เธอพยักหน้า ยกครกหินที่หนักอึ้งไปไว้ข้างแม่ ที่นั่งอยู่หน้าเตาไฟจากฟืนลุกโชน น้ำหม้อแกงกำลังเดือดปุดๆ
“ไปเด็ดอ่อมแซบมาให้แม่ไป”
“เอามากไหมแม่”
“สักกำมือใหญ่ๆ เอามาใส่แกงและเหลือให้พ่อกินสด เขาว่ามันดีกับสายตา”
“จ้ะ อ่อมแซบบำรุงเลือด บำรุงสายตา บำรุงกำลัง”
นวลดัดเสียงพูดเลียนแบบโฆษกรถหนังขายยาล้อเลียนแม่ เพราะนอกจากจะสอนให้ดูลักษณะใบผักที่กินได้แต่ละอย่างแม่จะบอกซ้ำๆ ว่าผักอะไร กินแบบไหนดี กินดิบ กินสุก มีประโยชน์อะไร นวลเคยถามแม่ว่าแม่รู้มาจากไหน หนังสือก็อ่านไม่ออก แม่ตอบว่า ‘เขาว่า’ พอถามต่อว่า เขาไหน แม่ก็ตอบไม่ถูก แก้เขินโดยการทำท่าแกล้งไล่ทุบตี แม่ไม่เคยตีนวลจริงจังเลยสักที แต่นวลก็อยู่เป็นแหละพอแม่ทำท่าจะตี ก็ทำท่ากลัว วิ่งหนีบ้าง วิ่งหลบหลังพ่อบ้างแล้วแต่โอกาส
ทำกับข้าวเสร็จ นวลก็ยกพาข้าวหรือถาดสำรับมาวางที่ห้องโถง น้ำดื่มสะอาด เตรียมพร้อมแล้วก็ตะโกนเรียกพ่อมากินข้าวด้วยกัน ทั้งสามกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย แม่เล่าให้ฟังว่าได้ปลาสดมาจากคนที่ไปตกปลาที่หนองริมนาของเราเอง เขาแบ่งให้มาตอนเดินสวนกันหน้าบ้าน
“คือใจดีแท้เนาะ เอาปลาที่ตกได้มาแบ่งให้ด้วย แล้วแม่ให้อะไรเขาไปล่ะ”
“ก็อ่อมแซบนี่ละ แม่ลงเรือนไปเก็บอ่อมแซบ ตาสุกกับลูกชายเดินผ่านมา ได้ปลามาพวงเบ้อเริ่ม เห็นแม่เก็บผักมาก็เลยเอาปลามาแลก”
“อ้อ ที่ให้นวลไปเก็บมาใหม่”
“อื้อ”
“แกงปลานี้แซ่บแท้แม่มัน”
นวลยิ้มมองพ่อ หากมีใครสักคนนวลอยากได้ผู้ชายที่ดีแบบพ่อมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก พ่อเป็นคนแบบไม่ชอบให้เมียลำบาก รู้จักเอ่ยคำชมเล็กๆ น้อยให้ วันดีคืนดี พ่อชมว่าแม่สวย นวลเห็นแม่อายม้วนไปเลย น่ารักมากๆ
“กินมากๆ พ่อมันเอ๊ย อีกสองวันนาเราจะได้ขนข้าว เข้าบ้านแล้วจะได้มีแฮง”
นวลเคี้ยวข้าวจนหมดปากแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“แม่ แล้วทำไมต้องรออีกสองวัน ทำพรุ่งนี้เลยไม่ได้รึ”
“ต้องไปเอามื้อบ้านพ่อใหญ่ดำก่อน เสร็จแล้วเขาก็จะได้มาช่วยบ้านเรา”
นวลชะงักมือที่กำลังจะจิ้มข้าวเหนียวลงในชามแกง เอียงคอมองหน้าแล้วถาม
“เอ่อ เอามื้อก็คือไปช่วยงานเขาใช่ไหมแม่” ถามเสร็จก็กินข้าวอีกคำเคี้ยวตุ้ยๆ
แม่พยักหน้าตอบเสียงในลำคอ “อื้อ”
“นวลไม่ได้ไปนามาหลายมื้อ เป็นไงบ้าง แม่ พ่อ”
แกงอร่อยจริง นวลจิ้มข้าวเหนียวลงบนในชามแกงปลาอีกรอบ ยกมาใส่ปากเคี้ยว ‘แซ่บหลาย’ แบบที่พ่อพูดจริงๆ เธอเคี้ยวข้าวด้วยความรู้สึกเอร็ดอร่อย ความสุขแทรกซึมอยู่ทุกอณูของอากาศ
“พ่อไปทุกมื้อ ออกจากนาพ่อใหญ่ดำก็แวะไปดู บ่เป็นหยัง ไสถามแปลกแท้”
“ข้อยฝันแปล้กแปลกเมื่อคืน จะเล่าให้แม่ฟังตอนเช้าก็ลืม”
“ฝันอิหยัง”
“ฝันว่าไฟไหม้ที่นา ข้อยตกใจ ร้องไห้จนตกใจตื่น นี่แม่ว่ามีคนไปตกปลาที่หนองน้ำข้างนาเราก็เลยนึกขึ้นได้ เลยเล่ามานี่ละ”
“เขาว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี บ่เป็นหยังดอก”
“แล้วอีกเรื่อง ฝันว่าทะเลาะกับใครไม่รู้ เขาว่าอุรากับข้อยเป็นกะหรี่”
“หือ” แม่หยุดกินข้าวหันมามองหน้าลูกสาว พิจารณาว่าเธอจริงจังแค่ไหนกับเรื่องนี้ แต่นวลไม่ได้มองตอบ นั่งกินข้าวปกติแสดงว่านวลไม่ได้ใส่ใจนักหนาแค่ผ่านความรู้สึกและเล่าไปตามประสา
“จริงแม่ แต่จำไม่ได้แล้วว่าฝันว่ายังไง แม่โขลกน้ำพริกดังตึ้งๆ สนั่นสะเทือน ข้อยเลยตื่น แล้วลุกมาช่วยแม่เฮ็ดกับข้าวเมื่อเช้ารุ่งนั่นละ”
“อ้อ…ก็อย่าไปคิดมาก คนบ้านเราก็เป็นแบบนี้แหละ นินทากันไป ว่ากันมา ถ้าเราไม่ได้เป็น เราอยู่ของเรา จะไปเป็นทำไมกะหร่งกะหรี่ แนวหากินอย่างอื่นก็มีเยอะแยะ”
“อือ นั่นสิ จำเรื่องไม่ได้ แต่จำคำได้ ข้อยตอบเพิ่นไปว่า คำว่ากะหรี่มันติดหน้าผากหรือไง ถึงมาว่าข้อยจั่งซั่น ปากหมาแท้”
“นวลเอ้ย ลูกสาวของแม่ ไม่มีใครตีตราใครได้หรอก ไม่ใช่งัวใช่ควายที่จะต้องสนตะพายจูงจมูกให้เดินซ้ายเดินขวา คนเรามีความคิดเป็นของตนเองทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปกังวลดอก” นางเอ่ยน้ำเสียงอาทรปลอบประโลมจิตใจคนเป็นลูก
“จ้ะแม่ ข้อยแค่เล่าให้ฟัง จู่ๆ ก็ฝันแปลกๆ”
“สงสัยกินข้าวแลงเยอะ นอนฝันสองเรื่องสามเรื่อง”
คนเป็นแม่พูดจบก็หัวเราะนำ ลูกสาวคนเดียวหัวเราะตามคิกคัก
“โอ๊ย เนาะ กับข้าวที่แม่เฮ็ดมันอร่อยเหลือหลาย ข้าวเหนียวแทบจะหมดกระติ๊บ”
“ฮ่าๆๆ”
คราวนี้แม่ปล่อยเสียงหัวร่อชอบใจดังลั่น กินเสร็จนวลรับหน้าที่เก็บจานชามไปล้าง แม่ไม่ชอบให้จานชามข้าวที่มีเศษอาหารค้างคืน ‘เขาว่า’ ไม่ดีเดี๋ยวจะโชคร้าย ล้างจานชามให้สะอาด เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เอากับข้าวที่เหลือวางบนหิ้งเหนือเตาไฟ เอาที่ครอบที่พ่อสานให้ ครอบเก็บไว้อย่างดี