อาคันตุกะ บทที่ 1 : แม่หนูล่ะ อยากเปลี่ยนอะไรไหม
โดย : ดารัช
อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว
“วันนี้ย่าจงกลทำแกงกะทิสายบัวปลาทูของโปรดเราด้วยนะ กลีบบัว ออกมากินข้าวได้แล้ว”
เสียงเคาะประตูถี่รัวช่างห่างไกลเมื่อฟังผ่านม่านน้ำตา กลีบบัวนั่งกอดตุ๊กตาโดราเอมอน สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ
ธีรดนย์ไม่ตอบข้อความเธอเลย เขาไม่เคยตอบอะไร ทั้งตอนที่กลีบบัวโทร.ไปอ้อนวอนให้เขากลับมา หรือแม้แต่ตอนนี้ อดีตสามีตัดขาดจากหญิงสาวอย่างสิ้นเชิง ก็แน่ละ…แม้จะหมกตัวอยู่ในห้อง แต่กลีบบัวก็มีตา ทำไมเธอจะไม่เห็นข่าวการหมั้นของธีรดนย์กับพิสชา-หญิงสาวในแวดวงสังคมชั้นสูง เทพบุตรกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ดูอย่างไรก็สมกันราวกิ่งทองใบหยก แล้วทำไมธีรดนย์ต้องทนอยู่กับหญิงสาวฐานะปานกลางที่ทำให้เขาต้องตัดขาดกับครอบครัวเพื่อมาแต่งงานกับเธอด้วยเล่า
“บัว พี่ขอละ เป็นแบบนี้มาสามเดือนแล้วนะ” น้ำเสียงกฤตฟังเหลืออด พี่ชายของเธอเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวอ่อนโยน “งั้นเดี๋ยวพี่ครอบฝาชีไว้ให้ หิวก็ออกมากินนะ”
กลีบบัวเอนตัวพิงผนังห้อง ฟูกนอนสีครีมเป็นสถานที่ประจำตัวตั้งแต่ธีรดนย์ไม่อยู่ เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับเพื่อให้แต่ละวันผ่านไป และบางทีเมื่อตื่นมา อาจจะเห็นชายหนุ่มใบหน้าคมคายส่งยิ้มให้จากหมอนอีกใบ
เสียงเคาะประตูเงียบลงแล้ว แต่ไม่นานกลับมีเสียงไขกุญแจ ประตูห้องเปิดออก รุจิดา เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมต้นของกลีบบัวเข้ามา แววตามุ่งมั่น โดยมีกฤตชะเง้อมองหน้าประตูห้อง
“บัว ไปข้างนอกกัน” รุจิดาคว้าแขนเธอ แต่ด้วยความตัวเล็กบวกรูปร่างผอมบางจึงไม่อาจสู้แรงต้านจากสาวเจ้าเนื้ออย่างกลีบบัวได้
“ไม่เอา รุ้ง ฉันไม่อยากไป” กลีบบัวเอนตัวลงนอน
“ไม่ได้!” รุจิดาเสียงแข็ง “ย่าจงกล พี่กฤต และฉันรอให้แกกลับมาเป็นกลีบบัวที่ร่าเริงสดใสคนเดิมมานานเกินพอแล้วนะ ตื่นได้แล้ว เจ้าหญิงนิทรา!”
หัวใจของเธอจู่ๆ ก็หายวับไป กลีบบัวไม่รู้อีกแล้วว่าจะยิ้มได้อย่างไร
“มานี่เลย ลุก!” รุจิดาไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งลากทั้งจูงให้กลีบบัวยืนขึ้น แถมยังรุนหลังเธอไปในห้องน้ำ “อาบน้ำแต่งตัวซะ ไม่งั้นฉันจะทำให้!”
กลีบบัวรู้ดีว่ารุจิดาเอาจริง สมัยมัธยมต้น กลีบบัวเคยโดนเพื่อนในห้องล้อเรื่องรูปร่างอ้วนท้วมของเธอ จนกลีบบัวไม่กล้าไปโรงเรียน รุจิดาเป็นคนบุกมาทั้งปลอบทั้งขู่ให้กลีบบัวไปโรงเรียนถึงในห้องนอน และอยู่เคียงข้างจนช้างน้ำกลายร่างเป็นหมูขนาดย่อม
กลีบบัวจำต้องสวมชุดเดรสสีฟ้าตัวเก่ง ปล่อยผมดำยาวประบ่า ฉีดน้ำหอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ แต่งหน้า เดินควงแขนรุจิดาไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
“วันนี้แกต้องมาเดตกับฉันนะบัว เราไปดูหนัง กินไอติม ช็อปเสื้อผ้า ดูช็อปน้ำหอม แล้วก็ทำทุกอย่างที่แกอยากทำเลย” รุจิดาลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำระหว่างอยู่บนบันไดเลื่อน พลางตรวจสอบชุดกระโปรงลายสกอตสีเขียวของตัวเองไปพลาง
กลีบบัวหัวเราะ “ฟังดูเป็นรายการที่แกอยากทำมากกว่านะ”
“หัวเราะซะทีนะ” รุจิดาส่งยิ้มให้ “ตอนแกร่าเริงดีกว่าตอนเอาแต่คิดถึงไอ้ผู้ดีหัวสูงนั่นตั้งเยอะ”
กลีบบัวพยายามไล่น้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมา รุจิดาอุตส่าห์พาเธอมาเที่ยวเล่น หญิงสาวไม่อยากให้เพื่อนรักต้องกังวล
“บัว ฉันขอโทษนะ ไม่น่าพูดถึงไอ้พี่ธีร์ขึ้นมาเลย” รุจิดาหน้าเจื่อน
บันไดเลื่อนหยุดชั้นบนสุด เดินต่อไปไม่ไกล กลีบบัวก็สะดุดตากับป้ายนิทรรศการภาพวาดที่จัดแสดงในห้างสรรพสินค้าช่วงนี้ หญิงสาวมองชื่อจิตรกรด้วยแววตาวูบไหว
“เราไปชมนิทรรศการภาพวาดกันไหม” กลีบบัวชวน
รุจิดามองชื่อนักวาด สลับกับมองหน้าเธอ “บัว… ฉันว่า…”
“แกบอกว่าวันนี้พวกเราจะทำทุกอย่างที่ฉันอยากทำไง” กลีบบัวมองเพื่อนรัก “ฉันอยากไปดูนิทรรศการภาพวาดของคุณพิสชา ว่าที่เจ้าสาวของพี่ธีร์”
นิทรรศการภาพวาดจัดที่ชั้นบนสุดของห้างสรรสินค้า กินพื้นที่ไปครึ่งชั้น หน้างานมีภาพถ่ายของหญิงสาวใบหน้าสวยซึ้ง ร่างระหง สวมชุดกระโปรงสีดำดีไซน์เก๋ ข้างๆ ประดับชื่อนิทรรศการ เป็นคำว่า ‘Change’
“บัว ฉันว่าเราไปที่อื่น…”
กลีบบัวไม่สนใจเพื่อนรัก เธอเดินเข้าไปในโซนนิทรรศการ ประดับประดาด้วยภาพวาดสีน้ำรูปดอกไม้หลากสีสัน หญิงสาวสะดุดตากับภาพที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของผนัง เป็นภาพดอกบัวเบ่งบานเหนือน้ำ สีของภาพไล่จากสีขาวทางด้านขวาของภาพ เริ่มมีสีสัน แล้วจบลงที่สีดำสนิทด้านซ้าย
หญิงวัยกลางคนร่างท้วม สวมแว่นตา ให้ความรู้สึกเหมือนคุณป้าใจดีแถวบ้านเดินมาหยุดข้างกลีบบัว พินิจภาพวาดตรงหน้า
“Change สินะ” หญิงแปลกหน้าพึมพำ
กลีบบัวเผลอพยักหน้า ถ้าจะให้เลือกภาพวาดที่เข้ากับชื่องานที่สุด คงเป็นภาพที่เธอกำลังมองอยู่ตอนนี้ ดอกบัวเปลี่ยนสีสันจากแสงเงาตกกระทบ เกิดเป็นภาพวาดที่น่าทึ่ง
“แม่หนูล่ะ อยากเปลี่ยนอะไรไหม” หญิงวัยกลางคนหันมาถามเธอ “อย่างเช่น เปลี่ยนชะตาชีวิต…หน้าแม่หนูกำลังฟ้องสุดๆ เลยนะ ว่าชีวิตไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
กลีบบัวจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่า จริงๆ คุณป้าท่าทางใจดีอาจแค่กำลังถามว่าห้องน้ำไปทางไหนก็ได้
“คุณพิสชากับคุณธีรดนย์มา!”
“คุณนาถนพิน แม่คุณธีรดนย์ก็มานะ!”
“ฉันสนใจเพื่อนคุณพิสชามากกว่า ทั้งคุณแดนไท คุณชินดนัย ไหนจะคุณอธินที่เป็นผู้ประกาศข่าวอีก เลือกไม่ถูกเอาซะเลย”
เสียงซุบซิบของแขกในงานดึงความสนใจของกลีบบัวไป ยังไม่ทันประมวลผล เธอก็เห็นชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมคาย ผิวขาว เดินควงหญิงวัยกลางคน ผมหวีเรียบแปล้ทัดไว้หลังหู สวมชุดสูทสีน้ำตาล ท่วงท่าการเดินสง่างาม ข้างๆ คือหญิงสาวร่างระหงเจ้าของนิทรรศการภาพวาด
กลีบบัวมองสามีเก่า อดีตแม่สามี และคู่หมั้นของธีรดนย์ตาค้าง เธอเผลอก้าวถอยหลัง แล้ววิ่งออกมาจากนิทรรศการภาพวาด รู้สึกเหมือนตัวเองไปอยู่ในโลกที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไป
ยังไม่ทันหัวใจที่เต้นรัวจะคลายลง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กลีบบัวชั่งใจมองชื่อของนาถนพินบนหน้าจอ สูดลมหายใจเฮือก แล้วรับสาย
กลิ่นขนมอบใหม่อบอวลทั่วคาเฟ่โทนสีขาวสบายตา ผสานกับเสียงเครื่องบดกาแฟดังเป็นจังหวะราวดนตรีบรรเลง กลีบบัวเลือกมุมด้านในของร้าน จดจ่อสายตากับไม้ใบสีสวยรูปทรงหลากหลายที่วางประดับตามจุดต่างๆ
บริกรสาวท่าทางคล่องแคล่วยื่นเมนูอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กลีบบัวรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มที่ตอบไปคงฝืดเฝื่อนพิกล หญิงสาวมองรายการเครื่องดื่ม อ่านไล่ทวนไปมาอย่างไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน เธอไล้นิ้วบนสัมผัสลื่นของกระดาษสี่สี ถามตัวเองอีกครั้งว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่มาที่นี่
ไม่นานนัก หญิงวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาล สง่างามราวนางพญาก็เดินเข้ามาในร้าน
“ขอโทษนะจ๊ะที่นัดมาดื่มกาแฟกะทันหัน” นาถนพินวางกระเป๋าสะพายราคาหลักแสนบนโต๊ะกลมสีขาว รับกับโทนมินิมอลของร้านกาแฟ
กลีบบัวพนมมือไหว้อดีตแม่สามี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันตอนธีรดนย์พาเธอไปพบพ่อแม่ของเขา เพื่อบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ กระทั่งตอนนี้ นาถนพินยังคงส่งยิ้มอารีให้เธอ
ตอนอยู่ที่นิทรรศการภาพวาดของพิสชา นาถนพินน่าจะเห็นเธอเข้า จึงโทร.มานัดดื่มกาแฟที่คาเฟ่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า กลีบบัวไม่ได้บอกรุจิดา แค่บอกว่ามีธุระแล้วแวบออกมา หญิงสาวไม่อยากให้เพื่อนรักต้องกังวลกับเธอมากไปนัก
รอจนพนักงานเสิร์ฟนำกาแฟหอมกรุ่นสำหรับนาถนพิน ชาพีชสำหรับกลีบบัว และคุกกี้ธัญพืชจัดใส่จานมาวางบนโต๊ะ อดีตแม่สามีจึงเริ่มต้นบทสนทนา “หนึ่งปีหรือเปล่านะ…”
“สิบเอ็ดเดือนค่ะ บัวกับพี่ธีร์แต่งงานและอยู่ด้วยกันสิบเอ็ดเดือน” กลีบบัวเอ่ยเสียงเบาหวิว จำได้ว่าตัวเองเคยตั้งตารอฉลองวันครบรอบแต่งงานขนาดไหน “ตอนนี้ก็หย่ากันมาสามเดือนแล้วค่ะ”
“หนูสบายดีนะ”
ไม่เลย กลีบบัวไม่สบายเลยสักนิด การที่เธอกลับบ้านในเย็นวันหนึ่ง แล้วพบว่าข้าวของของสามีตัวเองหายไป เหลือไว้แค่ใบหย่าบนโต๊ะอาหาร รวมทั้งเอกสารเซ็นยกบ้านที่เป็นเรือนหอให้…มันไม่โอเคเลย…เธอทั้งไปดักรอ โทร.หา ส่งข้อความ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ สุดท้าย เธอทำได้แค่กลับบ้านมาอยู่กับย่าจงกลและพี่กฤต หมกตัวอยู่ในห้องนอนหลังเลิกงาน
“ตาธีร์หมั้นกับหนูพิสชาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน” นาถนพินพูด
กลีบบัวใช้หลอดคนชาพีชในแก้วไปมา นาถนพินไม่ต้องบอกเธอก็รู้ ไม่ว่าจะเปิดสื่อโซเชียลไหน ข่าวการเกี่ยวดองของสองตระกูลนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศก็โดดเด่นหน้าฟีดอยู่เสมอ
“หนูบัว” หญิงวัยกลางคนจับมือเธอ กลีบบัวสบตาอดีตแม่สามี แววตาของอีกฝ่ายกำลังวิงวอน “ตอนตาธีร์จะแต่งงานกับหนู ป้าไม่เคยกีดกันอะไรเลย ยังเข้าข้างหนูด้วยซ้ำตอนที่คุณทรงชัย พ่อของธีร์จะตัดขาดตาธีร์จากทรัพย์สินของครอบครัวทุกอย่าง ป้าแอบช่วยออกค่าเรือนหอ แถมยังไปมาหาสู่…ป้ารู้นะว่าหนูเป็นเด็กจิตใจดี เวลาธีร์พูดถึงหนู ลูกของป้ามักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ…”
กลีบบัวยิ้มขื่น แต่…
“แต่ตอนนี้ตาธีร์กับหนูเลิกกันแล้ว ธีร์กลับมาขอคุณทรงชัยว่าจะรับช่วงธุรกิจ” นาถนพินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ป้าเสียใจด้วยกับเรื่องของหนูและธีร์ แต่ตอนนี้ธีร์กำลังจะสร้างครอบครัวกับหนูพิสชา ที่ทางฝั่งพ่อแม่อยากให้ดองกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แถมหนูพิสชายังจะช่วยเกื้อกูลตาธีร์ในแง่ธุรกิจครอบครัวได้”
“บัวทราบค่ะ”
“เพราะฉะนั้น หนูบัวปล่อยธีร์ไปได้ไหมลูก”
โลกรอบตัวเงียบเสียจนถ้าเข็มตก กลีบบัวคงได้ยิน เธอจำไม่ได้ว่าเธอออกมาจากร้านได้อย่างไร หญิงสาวเข้าใจนาถนพินดี อีกฝ่ายอาจคิดว่ากลีบบัวจงใจไปนิทรรศการภาพวาดของพิสชา เพื่อแสดงตัวต่อหน้าธีรดนย์ เผื่อว่าเขาจะหวั่นไหว แต่ไม่ใช่เลย…
กลีบบัวแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันแข่งด้วยซ้ำ
“บัว กลีบบัว!” รุจิดาเอื้อมมือมาจับไหล่ กลีบบัวสะดุ้งเฮือก ตอนออกมาจากร้านกาแฟ รุจิดาโทร.ตามเพราะกลีบบัวหายไปนาน เลยนัดกันที่หน้าห้างสรรพสินค้า
“ทำธุระเสร็จแล้วเหรอ” เพื่อนสนิทถาม
กลีบบัวส่งยิ้มให้ แต่พอสบตาก็เห็นรุจิดาน้ำตาคลอ
“ร้องไห้ทำไมเนี่ย ยัยรุ้ง”
พอยิ่งทัก สาวมาดเท่ที่จริงๆ เป็นคนอ่อนไหวก็ปล่อยโฮ “ฉันขอโทษนะบัว ที่จริงอยากพาแกมาเปิดหูเปิดตา แต่ดันต้องมาเจอไอ้พี่ธีร์กับคู่หมั้น”
“เหมือนอยู่กันคนละโลกเลยเนอะ” กลีบบัวนึกถึงตอนที่เห็นธีรดนย์เดินมาในงานนิทรรศการพร้อมนาถนพินและพิสชา พวกเขาดูดีราวดาวฤกษ์ที่เปล่งแสงสว่างออกมาจากตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด
อันที่จริง ช่วงเวลาที่อยู่กินกัน กลีบบัวก็พอรู้ เธอและธีรดนย์พูดภาษาเดียวกันแต่กลับไม่เข้าใจกัน ไม่ว่าจะเรื่องรถติด ค่าน้ำค่าไฟ เสื้อผ้า เครื่องประดับ การทำงานหนักทั้งวันเพื่อได้ผลตอบแทนน้อยนิด การทานอาหารในร้านหรู… ธีรดนย์ที่เคยแปลกใจตอนนั่งรถเมล์ครั้งแรก ตื่นตาตื่นใจกับมื้ออาหารง่ายๆ คือคนเดียวกับธีรดนย์ที่บ่นเรื่องเครื่องทำน้ำอุ่นเสีย เรื่องต้องเผื่อเวลาไปทำงานเพราะต้องรอรถเมล์ เรื่องเบื่อเมนูอาหารร้านข้างทาง…
“กลับโลกของเรากันเถอะ รุ้ง”
รุจิดาบีบมือกลีบบัว ส่งยิ้มให้ “งั้นเราไปเที่ยวทริปเพื่อนสาวกัน”
กลีบบัวหัวเราะ “ไปร้านเสื้อผ้ากับร้านเสริมสวย แต่งตัวให้เหมือนกันแบบคู่แฝดเหมือนตอนมัธยมดีไหม” เธอบีบมือตอบเพื่อนรัก “ขอบคุณนะรุ้ง ตอนนี้เจ้าหญิงนิทราตื่นแล้ว ได้เวลารักตัวเอง ออกจากหอคอยที่เจ็บปวดแห่งนั้นด้วยตัวเองแล้วละ”
“ด้วยตัวเองที่ไหนกัน” รุจิดาชี้นิ้วไปที่เก๋งสีขาวที่จอดเปิดไฟเลี้ยวรออยู่ด้านหน้า “ฉันนี่ไงเจ้าชายขี่ม้าขาว เอ้ย ขี่รถคันสีขาว”
กลีบบัวยิ้ม เปิดประตูรถไปนั่งข้างคนขับ ระหว่างคาดเข็มขัดนิรภัย รุจิดาก็ยื่นซองสีชมพูมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มาให้
หญิงสาวมองชื่อเพื่อนสนิทและทัตพล คนรักของรุจิดาบนการ์ด สลับกับมองหน้ารุจิดา
“ฉันไม่รู้จะหาจังหวะบอกแกยังไง” รุจิดาพูด “ถ้าแกยังไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าแกสะดวก ฉันอยากให้แกเป็นเพื่อนเจ้าสาวน่ะ แล้วก็อยากให้แกมาช่วยฉันเลือกชุดเจ้าสาวด้วยนะ” เพื่อนรักย้ำวันและสถานที่ลองชุดเจ้าสาวเสร็จสรรพ
กลีบบัวพยักหน้าแรงๆ “ได้สิรุ้ง ยินดีด้วยนะ…ฉันมัวแต่จมอยู่กับตัวเองจนไม่รู้เลย”
รุจิดาสีหน้าสลด “แต่ไม่รู้สิบัว ฉัน…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ของรุจิดา หน้าจอเป็นชื่อทัตพล รุจิดาถอนหายใจ กดตัดสายทิ้ง
กลีบบัวมองสีหน้าอึดอัดของเพื่อนรัก
“พอจะแต่งงาน ฉันกับพี่ทัตก็เอาแต่ทะเลาะกันทุกเรื่อง ตั้งแต่ธีมงาน พรีเวดดิ้ง โน่นนี่นั่น จนเริ่มท้อแล้วนะ คุยกันทีไรก็ทะเลาะกัน…” รุจิดาอธิบายด้วยสีหน้าอึดอัด “ฉันเริ่มสงสัยแล้วนะว่าจะยกเลิกงานแต่งไปเลยดีกว่าไหม”
รุจิดาและทัตพลเริ่มคบหากันช่วงเดียวกับที่กลีบบัวคบกับธีรดนย์ รุจิดาเอาแต่บ่นอิจฉาที่คู่ของกลีบบัวไม่เคยทะเลาะกันเลย ธีรดนย์ตามใจเธอทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่าทำให้ทั้งเธอและธีรดนย์คาดหวังในอีกฝ่ายมากเกินไป ต่างต้องฝืนตัวเองเพื่อแสดงแต่ด้านดีๆ ให้คนรักเห็น จนในที่สุดก็ไปกันไม่รอด ตอนนี้กลับเป็นเธอที่อิจฉารุจิดากับทัตพลที่ทะเลาะกัน ดีกัน และเข้าใจกันและกันมากขึ้น
รุจิดาเตรียมเข้าเกียร์ แต่ชายหนุ่มผิวเข้ม ร่างสันทัดก็เดินมาเคาะกระจกฝั่งคนขับ ใบหน้าเคร่งเครียด
“พี่ทัต!” รุจิดาอุทาน เปิดประตูรถลงไปหาแฟนหนุ่ม กลีบบัวยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนรักที่มีทีท่าอ่อนลงเมื่อทัตพลพยายามง้อ ใช้เวลาไม่นาน ทัตพลก็เคาะกระจกฝั่งที่นั่งคนขับ โดยมีรุจิดาส่งยิ้มเขินมาด้านหลัง
“พี่ขอยืมตัวรุ้งหน่อยนะบัว” ทัตพลพูด กุมมือรุจิดาไว้แน่น
“เชิญง้อแฟนได้ตามสบายเลยค่ะ” กลีบบัวตอบ แล้วหันไปพูดกับเพื่อนสนิท “ฉันขอขับรถแกกลับบ้านนะรุ้ง”
รุจิดาพยักหน้า “ขอโทษนะบัว ตั้งใจจะเที่ยวกันสองคนแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรเลย แกไปเคลียร์กับพี่ทัตเถอะ ขอบคุณที่พามาสูดอากาศนะ”
รอจนทัตพลและรุจิดาลับสายตา กลีบบัวก็ย้ายมานั่งฝั่งคนขับ เธอพยายามคิดว่าอยากไปไหน แต่วันนี้หญิงสาวใช้พลังมากเสียจนหมดแรง เธออยากกลับไปนอน อืม…อาจจะไปทานแกงกะทิสายบัวปลาทูที่ย่าจงกลทำให้ บอกพี่กฤตว่าเธอดีขึ้นแล้ว เตรียมจัดเสื้อผ้าสำหรับไปทำงานอาทิตย์หน้า…
รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กที่มีถนนสองเลน ถนนค่อนข้างโล่งเลยทีเดียว กลีบบัวแหงนมองก้อนเมฆค่อยๆ เคลื่อนผ่านบนท้องฟ้าสีสด พลางสงสัยว่าตัวเองเลิกมองท้องฟ้าตั้งแต่ตอนไหน
เสียงบีบแตรดังก้องดึงสติให้กลีบบัวหันมามองถนนสองเลนตรงหน้า เก๋งสีดำมันปลาบขับคร่อมเลนจากอีกฟาก ส่ายไปมา พุ่งตรงมายังรถของเธอเหมือนเสียการควบคุม กลีบบัวพยายามหักรถหลบ แต่รถที่สวนมาแล่นด้วยความเร็วสูง รถคันนั้นพุ่งมาประสานงากับรถที่เธอขับราวภาพสโลว์โมชัน กลีบบัวเห็นแม้กระทั่งสีหน้าตกใจของผู้หญิงหลังรถคันนั้น
พิสชา…คู่หมั้นของธีรดนย์
รถคันสีขาวและดำหมุนคว้าง ไม่รู้หมดสติไปนานแค่ไหน พอลืมตาอีกทีก็พบว่าตัวเองอัดอยู่หลังพวงมาลัย ทัศนวิสัยรอบตัวพร่าเลือนเพราะเลือดที่ไหลมาบดบังสายตา เธอพยายามขยับตัว แต่ทำไม่ได้ วินาทีนั้นหญิงสาวตระหนักว่าตัวเองกำลังจะตาย!
เธอเพิ่งออกจากบ้านมาเปิดหูเปิดตาหลังโดนผู้ชายทิ้งไปหมั้นกับสาวสวยเพอร์เฟกต์ ในตอนที่ตั้งใจว่าจะรักตัวเองมากๆ เธอกลับต้องมาตายงั้นเหรอ
“รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอยู่เหรอ แม่หนู” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่เจอกันตอนนิทรรศการศิลปะของพิสชาเดินมาหยุดตรงหน้ากลีบบัว อีกฝ่ายยังดูเป็นคุณป้าใจดี สวมแว่นสายตา แต่งกายด้วยเสื้อไหมพรมกับกางเกงยีนส์ แต่กลับมีกลิ่นอายทรงอำนาจบางอย่างแผ่ออกมา
“ช่วย…ด้วย…” กลีบบัวพึมพำ
“แม่หนูอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตไหมล่ะ” คุณป้าใจดีเอ่ยถาม
กลีบบัวยกมือราวจะคว้าทุกอย่างที่ยื่นมาให้คว้าได้ ราวกับคนจมน้ำที่พยายามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย เธออยากเปลี่ยนชะตาชีวิตสิ เธอไม่อยากมาตายทั้งอย่างนี้
แล้วกลีบบัวก็หลับไปพร้อมภาพหญิงร่างท้วมยิ้มประหลาดเหมือนรอยยิ้มแมวเชสเชียร์ ตัวละครของลูอิส แครอล เจ้าของผลงานอลิซผจญภัยในแดนมหัศจรรย์
สัมผัสแรกคือเตียงนุ่มสบาย ตามด้วยมือที่กุมมือเธอไว้จนชื้นเหงื่อ และกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแบบในโรงพยาบาล
กลีบบัวค่อยๆ ลืมตา แขนข้างหนึ่งของเธอต่อสายน้ำเกลือระโยงระยาง ส่วนอีกข้าง ผู้ชายร่างบึกบึนที่กำลังฟุบหลับบนเตียงคนไข้กำลังกุมมือเธอไว้ หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ ไม่คิดว่ากฤตที่ปกติเป็นคนเงียบขรึม จะห่วงใยน้องสาวอย่างเธอขนาดนี้
กลีบบัวกวาดตามองรอบตัว โต๊ะข้างเตียงเต็มไปด้วยดอกไม้เยี่ยมไข้หลากสีสัน ห้องผู้ป่วยมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันจนหญิงสาวต้องกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงค่าใช้จ่าย รุจิดาเพื่อนสนิทของเธอคงเป็นคนเลือกห้องนี้กระมัง
หญิงสาวเอื้อมมือไปสะกิดคนนอนหลับ กะจะบอกให้กฤตไปติดต่อย้ายห้อง และให้เขาช่วยติดต่อย่าจงกลเพื่อบอกว่าเธอฟื้นแล้ว…ความทรงจำตอนเกิดอุบัติเหตุทำเอากลีบบัวตัวสั่นด้วยความกลัว จากนี้ไปเธอจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เพราะคนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้
“พี่กฤต ตื่นได้แล้ว” เธอส่งเสียงเรียก รู้สึกแปลกแปร่งกับเสียงอ่อนหวานเหมือนไม่ใช่เสียงตัวเอง
ชายหนุ่มที่นอนฟุบบนเตียงผู้ป่วยส่งเสียงอืมด้วยท่าทางงัวเงีย กลีบบัวเขย่าตัวเขาอีกรอบ เจ้าตัวเงยหน้ามองเธอ ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
กลีบบัวผงะ เขาไม่ใช่กฤต พี่ชายของเธอ!
“ฟื้นแล้วเหรอ โล่งอกไปที รู้ตัวไหมว่าตัวเองหลับไปตั้งอาทิตย์นึงแน่ะ” สีหน้าของเขาอิดโรย แต่แววตาทอประกายโล่งใจ “เดี๋ยวเราไปตามพยาบาลมาดูอาการก่อนนะ!”
กลีบบัวยังไม่ทันตอบ เขาก็รีบวิ่งออกไป ไม่นาน ทั้งแพทย์และพยาบาลก็มาล้อมเตียงคนไข้ วัดโน่นวัดนี่ เอายามาให้ทาน โดยมีผู้ชายแปลกหน้าร่างสูง คิ้วเข้ม จ้องมองเธอด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
หญิงสาวกึ่งหลับกึ่งตื่น ยังคงรู้สึกสับสน พอเช้าวันใหม่ ชายหนุ่มปริศนาก็ยังอยู่เป็นเพื่อนเธอ ไม่นานนัก หญิงวัยย่างห้าสิบ รูปร่างผอมบาง ผมซอยสั้น สวมเสื้อเชิ้ตเรียบกริบกับกระโปรงยาวคลุมเข่า ก็มาหาพร้อมถุงใส่เสื้อผ้า
“คุณท่านทั้งสองติดธุระ มารับคุณหนูด้วยตัวเองไม่ได้ ป้าเลยมารับแทนค่ะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงแววรู้สึกผิด “แต่เดี๋ยวช่วงเย็นคุณหนูจะได้เจอคุณพ่อคุณแม่นะคะ พวกท่านต้องดีใจมากๆ ที่คุณหนูฟื้นแล้วและปลอดภัยดีค่ะ อ้อ! เดี๋ยวคุณธีร์จะมารับคุณหนูด้วย คุณหนูรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ”
ยังไม่ทันถามอะไร ประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก ธีรดนย์ในเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็กสีเดียวกันเดินเข้ามา ในมือถือดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่ โดยมีชายหน้าตี๋ร่างสูงท้วมเดินตามด้านหลัง กลีบบัวพอจะคุ้นอยู่บ้างจากการอ่านข่าวต่างๆ ว่าเขาชื่อพุฒิเมธ เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของธีรดนย์ ตอนเธอหย่า ก็มีพุฒิเมธที่มาจัดแจงเรื่องเอกสารที่เกี่ยวข้อง
“พี่ธีร์” กลีบบัวหลุดปากราวคนละเมอ
ใบหน้าที่กลีบบัวหลงรักส่งยิ้มอบอุ่น ธีรดนย์ยื่นกุหลาบขาวให้เธอ กลีบบัวรับมา จ้องมองเขาไม่วางตา เขามาเยี่ยมตามประสาคนเคยรู้จักสินะ…
“คุณป้าผกาโทรบอกว่าพิสชาฟื้นแล้ว พี่เลยมารับ” ธีรดนย์พูดพลางบุ้ยปากไปที่หญิงผมสั้น
“พิสชา” กลีบบัวหน้านิ่ว สะดุดกับชื่อที่เขาเรียกเธอ
“พิสชาปวดหัวเหรอ เดี๋ยวเราเรียกหมอให้นะ” ผู้ชายคิ้วเข้มที่เฝ้ากลีบบัวตั้งแต่แรกถลันเข้ามาหา แววตากังวล
“มะ…ไม่เป็นไร…ค่ะ” เธอตอบ
“งั้นรีบเปลี่ยนชุดเถอะ” ธีรดนย์ยกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลา
ท่าทางเหมือนกำลังรีบของอีกฝ่ายทำให้กลีบบัวไม่แน่ใจว่าเขาอยากมารับเธอไปส่งที่บ้านจริงหรือเปล่า หญิงสาวรับเสื้อผ้ามาจากป้าผกา (ตามที่ธีรดนย์เรียก) เพื่อไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แต่ทันทีที่เห็นภาพที่มองกลับมาจากกระจก กลีบบัวก็ร้องกรี๊ดออกมา
ผู้หญิงที่จ้องมองมาจากกระจกเงาไม่ใช่สาวร่างท้วมวัยยี่สิบสี่ปี ผมดำยาวประบ่า ตัดหน้าม้าเพื่อให้หน้าดูกลมน้อยลง หากแต่เป็นผู้หญิงร่างระหง ใบหน้าสวยหวาน แพขนตางอนยาว ผิวพรรณเนียนนุ่มเปล่งปลั่ง
ใบหน้าของพิสชา!
“พิสชา เกิดอะไรขึ้น เปิดประตูหน่อย” เสียงผู้ชายคิ้วเข้มพูดพลางทุบประตู น้ำเสียงกังวล เพียงไม่นานก็มีเสียงไขกุญแจประตูห้องน้ำ ผู้ชายคิ้วเข้มกับเลขาฯ ส่วนตัวของธีรดนย์ถลันมาจับตัวกลีบบัวที่ยังคงกรีดร้อง เอามือปิดตาตัวเองสลับกับมองกระจกซ้ำๆ
- READ อาคันตุกะ บทที่ 14 : ชีวิตหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ (จบบริบูรณ์)
- READ อาคันตุกะ บทที่ 13 : จับกุมตัว
- READ อาคันตุกะ บทที่ 12 : รถยนต์สองคัน
- READ อาคันตุกะ บทที่ 11 : พี่ชาย
- READ อาคันตุกะ บทที่ 10 : ผู้เฝ้าประตู
- READ อาคันตุกะ บทที่ 9 : อัตลักษณ์
- READ อาคันตุกะ บทที่ 8 : ไอหมอก
- READ อาคันตุกะ บทที่ 7 : ผนึกกำลัง
- READ อาคันตุกะ บทที่ 6 : นล
- READ อาคันตุกะ บทที่ 5 : อาคันตุกะ
- READ อาคันตุกะ บทที่ 4 : มีคนจะฆ่าพวกเรา
- READ อาคันตุกะ บทที่ 3 : นกน้อยในกรง
- READ อาคันตุกะ บทที่ 2 : ในภาพฝัน
- READ อาคันตุกะ บทที่ 1 : แม่หนูล่ะ อยากเปลี่ยนอะไรไหม
- READ อาคันตุกะ : บทนำ