อาคันตุกะ บทที่ 10 : ผู้เฝ้าประตู

อาคันตุกะ บทที่ 10 : ผู้เฝ้าประตู

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

กลีบบัวตัดสินใจกลับบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น

แดนไทขอมาส่ง แต่กลีบบัวยืนกรานจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เธอไม่อยากมีประเด็นอะไรให้ต้องทะเลาะกับธีรดนย์อีก

พอไขกุญแจเข้าบ้าน กลีบบัวพบธีรดนย์นั่งรออยู่ตรงโซฟาตัวเดิม เขาเก็บขวดเหล้าไปทิ้งเรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกับยีนส์สีเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มดูอิดโรย

เขาลุกขึ้นยืนทันทีที่กลีบบัวเปิดประตูบ้าน แล้วหยุดนิ่งเหมือนกลัวจะทำให้เธอตกใจ

“พิสชา พี่ขอโทษนะ พี่เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก” เขาพูด ยังคงเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เธอวิ่งหนีไป

กลีบบัวมองคนที่เธอเคยหลงรัก ใจของเธออ่อนยวบเวลาเห็นเขาทำหน้าเศร้า แม้กระทั่งตอนนี้

“ค่ะ” เธอตอบ

“อะไรเหรอ”

“พิสชารับคำขอโทษ และรับทราบแล้วว่าพี่ธีร์จะไม่ทำแบบนี้อีก”

ใบหน้าซีดเซียวประดับรอยยิ้มกว้าง เขาขยับจะมาหาเธอ แต่ก็ชะงักฝีเท้าไว้ ดูเหมือนธีรดนย์กำลังควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ให้เข้าใกล้เธอมากเกินไป

“พิสชา พี่รู้ว่าเรื่องที่พี่ทำมันไม่น่าให้อภัย และคนที่พิสชาไม่อยากเห็นหน้าที่สุดตอนนี้คงเป็นพี่” ธีรดนย์กล่าว “แต่ช่วยไปที่หนึ่งกับพี่หน่อยได้ไหม”

 

‘ที่หนึ่ง’ ที่ธีรดนย์พูดถึงคือวัดที่เก็บโกศใส่กระดูกของกลีบบัว ชายหนุ่มวางช่อกุหลาบขาวหน้าภาพถ่ายของเธอ กลีบบัวในรูปส่งยิ้มสดใส เธอจำได้ว่าเป็นภาพตอนเธอเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งใหม่ๆ ตอนที่ยังไม่รู้จักธีรดนย์ ไม่เคยตกหลุมรัก

กลีบบัวมองด้านหลังของธีรดนย์ นึกสงสัยว่าตัวเองลืมวิธีมีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับผู้ชายตรงหน้านานแค่ไหนแล้วนะ เธอลืมบอกรักตัวเอง ลืมโอบกอดตัวเอง ปล่อยตัวเองจมดิ่งในความเศร้าหลังเลิกกันนานแค่ไหนแล้ว

ทั้งหมดอาจจะไม่ใช่ความผิดของธีรดนย์ แต่เป็นตัวเธอเองที่ทอดทิ้งตัวเองไป

หญิงสาวมองรอยยิ้มสดใสของตัวเองในอดีต รูปพร่ามัวจนต้องยกมือขยี้ตา กลีบบัวเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ เธอลืมไปว่าตัวเองเป็นที่รักของคุณย่าจงกล พี่กฤต และรุจิดา หญิงสาวเป็นที่รัก ถูกโอบกอดด้วยความรักมากมาย แต่เธอกลับเอาแต่เรียกร้องหัวใจจากคนที่ไม่สามารถมอบให้เธอได้

สายลมพัดกลิ่นหอมอ่อนโยนของดอกบัวหน้าโกศ กลีบบัวเพิ่งตระหนักว่าที่จริงแล้ว เธอมัวแต่มอบความรักให้สามีเก่าจนไม่เหลือไว้ให้ตัวเองเลย

ยิ่งรักใครสักคนหมดหัวใจ ยิ่งต้องมอบความเคารพให้ตัวเองยิ่งกว่า

ธีรดนย์หันกลับมามองหญิงสาว ยื่นมือให้เหมือนจะบอกให้ไปยืนข้างๆ

กลีบบัวรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมายืนหน้ารูปหน้าโกศใส่กระดูกของตัวเอง เธอลอบมองสีหน้าหม่นเศร้าของธีรดนย์ ชายหนุ่มดูเปราะบางจนหญิงสาวอยากจะสารภาพทุกอย่าง และบอกให้เขารู้ว่าเธอสบายดี

“พี่ธีร์พาพิสชามาที่นี่ทำไมคะ” การเป็นพิสชา และปล่อยให้คนข้างตัวคิดว่ากลีบบัวจากไปตลอดกาลอาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อหัวใจของเขาและเธอมากกว่า

“พี่อยากแนะนำให้พิสชารู้จักผู้หญิงที่พี่รักอย่างเป็นทางการ” เขาตอบ

กลีบบัวมองอดีตสามี ถ้าเธอได้ยินคำพูดนี้เร็วขึ้นสักสามเดือนจะดีแค่ไหนนะ แต่เวลาไม่อาจไหลย้อนกลับ ความรักและความคิดถึงห่างกันเพียงก้าวเดียว หากไม่คว้าไว้ให้ถูกจังหวะ ความรักจะกลายเป็นเพียงความคิดถึงไปตลอดกาล

“เธอเป็นคนยังไงคะ” กลีบบัวถาม

ธีรดนย์ยิ้ม “เป็นคนที่กินอาหารได้น่าอร่อยมาก มีความสุขกับทุกอย่างรอบตัว แค่มองก้อนเมฆก็สนุกแล้ว เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าโลกใบนี้มีมุมน่ารักเยอะมากๆ จนอยากจะรักโลก แล้วก็รักผู้คน”

กลีบบัวมองเขา เธอเคยเป็นแบบนั้นกระมัง กลีบบัวที่มีความสุขกับทุกอย่างเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว กลับเป็นกลีบบัวที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากธีรดนย์ และแขวนความสุขเอาไว้กับคนตรงหน้า

บัดนี้ กลีบบัวทั้งสองคนได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงตัวเธอที่พยายามประคองหัวใจที่เต็มไปด้วยรอยแผล ปะชุนมัน และค่อยๆ หาวิธีทำให้ตัวเองมีความสุขได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

“ทำไมถึงเลิกกันคะ” นี่เป็นคำถามที่เธออยากถามธีรดนย์มาโดยตลอด

ชายหนุ่มถอนหายใจ “เพราะพี่เข้าใจว่าเงิน ฐานะ ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย จะทำให้พี่มีความสุขมากกว่าความรัก”

“ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดหรือถูกหรอกนะคะ” กลีบบัวพูด พอได้มาอยู่ในโลกใบเดียวกับธีรดนย์ ได้เห็นว่าชีวิตของเขาสะดวกสบายแค่ไหน หญิงสาวก็เริ่มเข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องฝืนปรับตัวให้เข้ากับโลกของชนชั้นกลางอย่างเธอขนาดไหน ทำไมเธอและเขาจึงคุยภาษาเดียวกันแต่ไม่เข้าใจกัน และทำไมพวกเขาถึงไปด้วยกันไม่ได้

“พี่ไม่สามารถเลือกใหม่ได้แล้วนี่นะ” รอยยิ้มของธีรดนย์เศร้าจับใจ “ก็กลีบบัวไม่อยู่ให้พี่แก้ตัวแล้ว”

“พี่ธีร์หวั่นไหวกับพิสชา เพราะพิสชาคล้ายคุณกลีบบัวเหรอคะ” เธอถาม

“ฟังดูเหมือนพิสชากำลังช่วยพี่แก้ตัวเลย” เขากล่าว

กลีบบัวส่ายหน้าช้าๆ เธอรู้ดียิ่งกว่าใครว่าเธอนั่นเองที่ทำให้เขาสับสน เรื่องเมื่อคืนเป็นความผิดของธีรดนย์ แต่เธอไม่อาจโทษเขาได้เต็มปาก เธอเองก็เคยตกอยู่ในห้วงรัก โทร.หาเขา ร้องไห้อ้อนวอนขอให้เขากลับไป

“ความรักไม่เคยแฟร์เลยนะคะ” กลีบบัวพูด “มักจะมีใครสักคนรู้สึกมากกว่าเสมอ”

ธีรดนย์ยิ้มคล้ายจะเยาะตัวเอง เขามองภาพกลีบบัวเนิ่นนาน แล้วหันมาพูดกับภรรยาในนาม “พี่ยังสับสนอยู่นะ แค่อยากให้พิสชารู้ไว้ แต่พี่จะไม่ทำอะไรแย่ๆ แบบนั้นอีก พี่สัญญาต่อหน้ากลีบบัวเลย”

ห้องทำงานของแพทย์หญิงดาริกามีไม้ใบประดับตามจุดต่างๆ ชวนให้รู้สึกร่มรื่นและผ่อนคลาย จุดพักสายตาที่เป็นตัวเอกของห้อง คือชั้นวางบนสูงสี่ชั้น ที่มีใม้ใบสีเขียววางประดับ แต่ละใบมีรูปทรงและลวดลายต่างกันไป ยิ่งมองก็ยิ่งเพลิน กลีบบัวยืนหน้ากระถางไม้ใบที่มีรูปทรงคล้ายรูปหัวใจ เส้นใบสวยชัดเป็นสีเงิน

“แอนทูเรียม คลาริเนอร์เวียมน่ะค่ะ” ดาริกามายืนข้างกลีบบัวตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ “เขาชอบที่โปร่งค่ะ ในธรรมชาติเขาจะขึ้นตามผาหินซอกปูน ต้องใช้หินภูเขาไฟปลูกเพื่อเลียนแบบธรรมชาติ แถมยังโตช้ามากๆ แต่พอเห็นเขาออกใบใหม่แล้วชื่นใจนะคะ”

“หมอหนึ่งดูชอบไม้ใบมากเลยนะคะ”

ดาริกายิ้ม “เป็นจิตแพทย์ เจอแต่เรื่องเครียดๆ ต้องหาทางระบายออก แล้วต้นไม้ก็เป็นเพื่อนที่ดีนะคะ แค่นั่งมองก็สบายใจแล้ว”

“หมอหนึ่งมีต้นโปรดไหมคะ”

ดาริกาดวงตาเป็นประกาย เห็นแล้วนึกถึงแดนไทเวลาคิดสูตรอาหารใหม่ๆ จิตแพทย์สาวชี้นิ้วไปยังกระถางประดับไม้ใบเรียวยาวคล้ายหอก “นี่เลยค่ะ ต้นลิ้นมังกรใบสั้น ต้นนี้ฟอร์มเขากระชับ เรียกว่าทรงคอมแพกต์ ต้นจะไม่โตมาก เลี้ยงง่าย ปรับตัวเก่ง แถมยังช่วยฟอกอากาศด้วยค่ะ” พูดจบก็หันมามองกลีบบัว “แต่คุณพิสชาไม่ได้มาหาฉันเพราะเรื่องต้นไม้ใช่ไหมคะ”

กลีบบัวพยักหน้า หยิบนามบัตรคลินิกจิตเวชที่มีชื่อดาริกาบนนามบัตรมายื่นให้อีกฝ่าย “ฉันเข้าใจว่ารัดเกล้ามาหาหมอหนึ่งเพื่อปรึกษาเรื่องโรคหลายบุคลิกค่ะ”

“รอบนี้ไม่ใช่คุณรัดเกล้าสินะคะ จะว่าไป เจอกันรอบก่อนคุณก็ทำท่าเหมือนไม่รู้จักหมอ” ดาริกาพูดถึงตอนเจอกันที่โรงพยาบาล ตอนที่ย่าฤดีป่วย “แถมคุณรัดเกล้าก็ไม่ค่อยสนใจต้นไม้เท่าไหร่”

“ฉันค้นเจอนามบัตรหมอหนึ่งในข้าวของของรัดเกล้าค่ะ” กลีบบัวตอบ เธอเพิ่งเจอนามบัตรไม่นานนัก พอเห็นชื่อแพทย์หญิงดาริกา ก็รีบโทร.มาขอนัดพบทันที

“รัดเกล้าไม่เคยบอกว่าตัวเองมาพบจิตแพทย์” กลีบบัวพูด “เลยอยากให้หมอหนึ่งช่วยเล่าให้ฟังน่ะค่ะ”

ดาริกามองกลีบบัวด้วยท่าทางสนใจ “คุณ…”

“กลีบบัวค่ะ” เธอตอบ

“น่าสนใจนะคะ คุณกลีบบัวคุยกับอัตลักษณ์อื่นได้ด้วย คุณกลีบบัวรู้เรื่องของอัตลักษณ์อื่นๆ มากน้อยแค่ไหนคะ”

กลีบบัวอธิบายเหตุการณ์ตั้งแต่ตัวเองตื่นมาในโรงพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุรถชน โดยเลี่ยงเรื่องการสลับร่าง ที่น่าจะยิ่งชวนสับสนออกไป

ดาริกาทรุดนั่งตรงเก้าอี้รับแขก กลีบบัวเดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้าม จิตแพทย์สาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ จดจ่ออยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

“คุณรัดเกล้าเคยมาพบฉันครั้งหนึ่งค่ะ” ดาริกากล่าว “น่าจะช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุไม่นาน”

กลีบบัวพยักหน้า…ช่วงนั้นมีบุคลิกอื่นๆ ปรากฏตัว ทำให้เวลาของรัดเกล้าหายไป กลีบบัวคิดว่ารัดเกล้าคงตกใจมาก และอยากได้รับคำปรึกษา

“จากการสัมภาษณ์และทำบททดสอบ หมอได้พบกับคุณรัดเกล้า คุณไปรยา และน้องยาหยี” จิตแพทย์สาวอธิบาย “แต่ในตอนที่จะรักษาต่อ คุณรัดเกล้าก็เลิกมาหาหมอ จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุค่ะ”

“แดนรู้เรื่องที่รัดเกล้ามาพบหมอหนึ่งไหมคะ”

“มันเป็นความลับระหว่างหมอกับคนไข้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ค่ะ” ดาริกายืนยัน ก่อนเสริม “แต่ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะคะว่าแดนน่าจะรู้เรื่องนี้ เพราะแดนเป็นห่วงคุณพิสชา ‘ทุกคน’ เป็นพิเศษน่ะค่ะ” ท้ายประโยค แววตาดาริกาพราวพรายจนหญิงสาวไม่กล้าสบตา

“แล้วทำไมถึงมีคนอื่นปรากฏตัวออกมาแทนรัดเกล้าล่ะคะ” กลีบบัวสงสัย “ในเมื่อรัดเกล้าดูเหมาะจะควบคุมร่างนี้ที่สุด”

“เรื่องโรคหลายบุคลิกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันอีกเยอะเลยค่ะ” ดาริกาอธิบาย “นักวิจัยเชื่อกันว่าในบรรดาอัตลักษณ์ทั้งหมด จะมีอัตลักษณ์หนึ่งทำหน้าที่ควบคุมการปรากฏตัวของบุคลิกอื่นๆ เรียกว่า Gatekeeper ค่ะ”

“Gatekeeper” กลีบบัวทวนคำ “ผู้เฝ้าประตูเหรอคะ”

“คำนี้ยังไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย แต่ถ้าจะแปลตรงตัวก็ประมาณนั้นค่ะ” จิตแพทย์สาวตอบ “Gatekeeper จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ใคร ‘ออกมา’ ปรากฏตัวในสถานการณ์ไหน เพื่อปกป้องร่างกายและจิตใจของตัวตนหลัก ซึ่งในที่นี้คือคุณพิสชาค่ะ”

กลีบบัวไม่เข้าใจว่าในบรรดาบุคลิกทั้งหมด ทำไมผู้เฝ้าประตูจึงเลือกเธอซึ่งไม่ใช่หนึ่งในบรรดาอัตลักษณ์ของพิสชา ให้ออกมายังฉากหน้า และใช้ชีวิตในฐานะพิสชา แต่ถ้าฟังจากที่ดาริกาอธิบาย จิตใจของพิสชากำลังส่งสัญญาณขอให้กลีบบัวช่วยเธอ

กลีบบัวมองไม้ใบรูปทรงคล้ายหัวใจบนชั้นวางของจิตแพทย์สาว ดาริกาบอกว่าต้นไม้เส้นใบสวยงามต้นนี้โตช้ามาก ใช้เวลานานในการดูแลกว่าจะออกใบใหม่ มองอีกมุม ก็ไม่ต่างกับบาดแผลในใจของผู้คนที่ยากจะมองเห็น ต้องคอยสังเกต ให้เวลา และโอบกอดหัวใจเหวอะหวะเอาไว้เพื่อให้อาการทุเลา จนดอกไม้ในใจสามารถเบ่งบานได้อีกครั้ง

หญิงสาวหยิบกระดาษเอสี่ที่ได้มาจากตอนไปหาแดนไทที่บ้าน ระหว่างดื่มน้ำรากบัว เด็กหญิงยาหยีที่ดูจะสบายใจเวลาอยู่กับแดนไทก็ปรากฏตัวออกมา นอกจากจะนั่งระบายสีในสมุดภาพเจ้าหญิงที่แดนไทสารภาพที่หลังว่าซื้อตุนไว้เผื่อเวลาเจอกับยาหยี เด็กหญิงยังวาดภาพอีกภาพลงในกระดาษเอสี่

และกระดาษใบนั้นก็วางอยู่ตรงหน้าดาริกาในยามนี้

ในกระดาษเป็นภาพครอบครัวแสนสุขทั่วไป มีพ่อ แม่ และลูกสองคน ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงอีกหนึ่ง เด็กผู้ชายมีปีกเทวดา จับมือเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้

“แดนบอกว่า หลังวาดรูปนี้เสร็จ น้องยาหยีมีท่าทางหวาดกลัว และกลับเข้าไปข้างใน ฉันเลยออกมาแทนค่ะ”

ดาริกายื่นหน้าไปจ้องกระดาษราวจะทะลุเข้าไปในภาพวาด สีหน้าครุ่นคิด “ลายเส้นในภาพดูไม่มั่นคงนะคะ จังหวะหนักเบา และแรงกดของดินสอกับสีต่างกัน เหมือนคนวาดกำลังต่อสู้กับใจตัวเองเพื่อวาดภาพนี้ออกมา ว่าแต่แดนได้บอกไหมคะว่าน้องยาหยีวาดอะไรเป็นภาพสุดท้าย”

“ภาพเด็กผู้ชายค่ะ” กลีบบัวตอบ ก่อนเสริม “พิสชาเองก็มีพี่ชายชื่อพนัช ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนช่วงมัธยม”

กลีบบัวเอะใจ ทำไมเธอไม่เคยเห็นภาพลูกชายคนโตในบ้านเลย แม้กระทั่งห้องนอนในบ้านก็ไม่มีห้องของพนัช หญิงสาวนึกถึงห้องเก็บของขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับห้องเธอ เป็นไปได้ไหมว่าก่อนหน้านี้มันเคยเป็นห้องนอนของเด็กหนุ่ม

ถึงจะตายไปแล้วก็เถอะ แต่ไม่มีความทรงจำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับพนัชเลยมันก็แปลกเกินไป คนทั้งบ้านทำราวกับเด็กหนุ่มไม่เคยมีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

“พิสชาจะรู้อะไรไหมนะ” กลีบบัวรำพึง

“พิสชาเหรอคะ” ดาริกาถาม

“หมายถึงเรื่องภาพครอบครัวที่ยาหยีวาด และเหตุผลที่ยาหยีกลัวหลังวาดภาพนี้เสร็จน่ะค่ะ ฉันคิดว่าถ้าเราหาทางเข้าไปในความทรงจำของพิสชาได้ อาจจะได้คำตอบ” หญิงสาวอธิบาย

“ก็พอมีวิธีนะคะ” ดาริกาพูด “แต่…”

“ทำไมเหรอคะ”

“เราสามารถสะกดจิตบำบัดพื่อดึงความทรงจำของผู้ป่วยได้ค่ะ แต่ความทรงจำพวกนั้นอาจเลวร้ายเสียจนถ้าไม่ระวัง แทนที่อาการจะดีขึ้น จิตใจของผู้ป่วยอาจยิ่งพังทลาย ทำให้เกิดบุคลิกใหม่ๆ แตกตัวขึ้นมาน่ะค่ะ”

“แล้วถ้าไม่ใช่สะกดจิตพิสชา แต่เป็นสะกดจิตเพื่อดึงความทรงจำจากอัตลักษณ์อื่นๆ ล่ะคะ” กลีบบัวถาม “ถ้าเอาความทรงจำจากแต่ละบุคลิกมาประกอบกัน อาจพอเห็นภาพบางอย่าง”

“ถ้าจะทำแบบนั้น ทุกบุคลิกต้องให้ความร่วมมือค่ะ” ดาริกาแย้ง “แถมยังต้องปลุกทุกคนให้มารับรู้ความจริงว่าตัวเองเป็นแค่หนึ่งในอัตลักษณ์ของคุณพิสชา อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะคะ”

“เป็นไปไม่ได้เลยเหรอคะ” กลีบบัวเสียดายที่สุดท้ายตัวเองก็คว้าน้ำเหลว

“ถ้าจะทำต้องประเมินแต่ละอัตลักษณ์แยกออกไป ว่าอัตลักษณ์ไหนมีแนวโน้มจะยอมรับเรื่องโรคหลายบุคลิก แล้วถ้ารู้จะตอบสนองแบบไหน ยอมรับ ต่อต้าน หรืออย่างเลวร้ายที่สุดอาจทำร้ายตัวเองไปเลยก็ได้” ดาริกาอธิบาย “ถ้าถามฉัน มองว่าคุณรัดเกล้าน่าจะยอมรับเรื่องอาการโรคหลายบุคลิกได้ง่าย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเธอจะยอมร่วมมือด้วยหรือเปล่า”

กลีบบัวไม่เข้าใจ “ทำไมรัดเกล้าถึงจะไม่ช่วยล่ะคะ”

“เพราะการที่คุณพิสชามีอัตลักษณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เกิดจากเธอพังทลายเพราะความทรงจำบางอย่างไงคะ”

กลีบบัวถอนหายใจ รู้สึกเหมือนจะเดินไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน แต่ผู้เฝ้าประตูเป็นคนเลือกให้กลีบบัวออกหน้า แปลว่าจิตใจของพิสชาจะต้องรู้ว่ากลีบบัวสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเธอได้

รวมทั้งช่วยให้ทุกคนรอดจากมือปริศนาที่คอยปองร้ายพิสชาด้วย

 

“เหตุการณ์รถชนเป็นเพราะอุบัติเหตุจริงๆ สินะคะ”

“ใช่ รถอยู่ในสภาพดี ผลการตรวจแอลกอฮอล์ของคุณพิสชาก็เป็นศูนย์” กฤตพยักหน้ารับ

กลีบบัว กฤต และรุจิดารวมตัวกันที่ร้านอาหารฟาสต์ฟูดเพื่อรายงานความคืบหน้าในการสืบหาคนที่จะฆ่าพิสชา รุจิดาเสนอให้เลือกที่นี่เพราะดูไม่สะดุดตา ซึ่งกลีบบัวเห็นด้วย อีกอย่าง หญิงสาวไม่อยากให้ย่าจงกลมาพัวพันกับเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย

“ถ้างั้นแปลว่าต้องหาว่าในตอนเกิดอุบัติเหตุ บุคลิกไหนของคุณพิสชาเป็นคนคุมร่าง” รุจิดาพูดพลาง เอาเฟรนช์ฟรายส์จิ้มซอสมะเขือเทศพลาง ดูขัดกับความจริงจังของเรื่องที่กำลังคุยกันแปลกๆ

“ฉันอยากจะสะกดจิตดึงความทรงจำของแต่ละบุคลิก เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนถ้าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะเกิดอันตรายมากขึ้น จิตใจของพิสชาอาจแตกแยกจนเกิดบุคลิกอื่นๆ เพิ่ม” กลีบบัวถอนหายใจ “แถมคุณรัดเกล้าก็ดูจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่”

หลังคุยกับแพทย์หญิงดาริกา กลีบบัวลองเขียนข้อความติดต่อกับรัดเกล้าลงบนสมุดโน้ต แต่พอเธอ ‘ออกมา’ อีกครั้ง ก็พบเศษกระดาษถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง โครงการสะกดจิตจึงเป็นอันล้มพับไป

“งั้นต้องไล่ไปที่เบาะแสเรื่องบริกรและคนที่มาทำร้ายรุ้งเพราะเข้าใจว่าเป็นคุณพิสชา” กฤตพูด

“ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไหมคะ” กลีบบัวถาม

พี่ชายเอามือดันกรอบแว่น แล้วยื่นภาพถ่ายใบหนึ่งมาให้ ในภาพ พุฒิเมธในวัยมัธยมปลายกำลังยืนกอดคอพีระในชุดมัธยมต้น ทั้งคู่ชูสองนิ้วให้กล้อง ส่งยิ้มร่าเริง

“ทำไมคนที่ทำร้ายพิสชาถึงรู้จักกับเลขาพี่ธีร์ล่ะ” กลีบบัวสับสน ธีรดนย์หวั่นไหวกับพิสชา เขาไม่มีทางเป็นคนสั่งการแน่ๆ อีกอย่าง เท่าที่กลีบบัวรู้จักอีกฝ่าย ธีรดนย์ไม่ใช่คนประเภทที่จะฆ่าใครได้

“พี่ธีร์ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยันกับพี่ชายเสียงหนักแน่น

“เอาเป็นว่าบัวลองจับตาดูนายธีร์ไว้แล้วกัน” กฤตบอก “ส่วนทางพี่จะลองตามนายพุฒิเมธดู”

“แล้วคนที่ทำร้ายคุณพิสชาเป็นใครคะ” รุจิดาจิ้มนิ้วเลอะซอสมะเขือเทศไปที่ภาพเด็กหนุ่มร่างสูงข้างๆ พุฒิเมธ

“นายพีระ เป็นญาติห่างๆ ของพุฒิเมธ” กฤตตอบ “จบมัธยมหกที่ต่างจังหวัด แล้วเข้ากรุงเทพมาทำงานฟรีแลนซ์ ลงเรียนมหาวิทยาลัยเปิดแต่เรียนไม่จบ”

“ญาติห่างๆ ของพุฒิเมธเหรอ” กลีบบัวกล่าว “แปลว่าใครบางคนอาจว่าจ้างนายพีระผ่านทางคุณเมธ หรือไม่ หรือไม่ คุณเมธก็อาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย” หญิงสาวนึกถึงสายตาไม่ชอบใจของหนุ่มร่างท้วมเวลามองพิสชา

“ก็เป็นไปได้ทั้งสองทาง” กฤตยอมรับ “ยังไงบัวก็ต้องระวังตัวให้ดี อย่าเชื่อใจใครทั้งนั้น อย่าเชื่อใจแม้กระทั่ง…”

“คะ” หญิงสาวถาม “แม้กระทั่งใครเหรอคะ”

กฤตมองเธอ แววตาเคร่งเครียด “แม้กระทั่งบุคลิกต่างๆ ในร่างคุณพิสชา”

 



Don`t copy text!