อาคันตุกะ บทที่ 11 : พี่ชาย

อาคันตุกะ บทที่ 11 : พี่ชาย

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

ภาพวาดสีไม้ฝีมือเด็กมัธยมต้น เป็นภาพครอบครัวแสนสุข ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกชายมีปีกเทวดา และลูกสาวตัวน้อย

กลีบบัววางภาพวาดบนโต๊ะอาหาร ตอนที่ได้ยินเสียงไมโครเวฟหมุนครบรอบ เธอหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่ในถ้วยเซรามิกเตรียมวางบนโต๊ะ

“ทำอะไรน่ะ พิสชา”

เสียงเรียกของธีรดนย์จากประตูห้องครัวทำเอากลีบบัวสะดุ้ง เผลอทำถ้วยเซรามิกหลุดมือ น้ำและเศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางส่วนหกบนโต๊ะ อีกส่วนนองเต็มพื้น

ธีรดนย์ถลันเข้ามาโดยไม่นึกถึงเศษถ้วยเกลื่อนพื้น เขาจูงมือเธอไปอ่างล้างจาน เปิดน้ำรดแขนเพื่อช่วยให้ผิวหายแสบ

“ทำไมไม่ใส่ถุงมือผ้ากันความร้อนล่ะ อาหารในไมโครเวฟมันร้อนนะ” เขาดุ “แล้วตื่นมาทำอะไรตอนตีสาม”

กลีบบัวยิ้มเจื่อน เธอไม่กล้าบอกว่าเอาแต่พิจารณาภาพวาดของยาหยี และกังวลเรื่องพุฒิเมธกับพีระจนนอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับ ท้องก็ร้อง…

“หิวค่ะ” เธอสารภาพ

“หิว” ธีรดนย์ทวนคำ พยายามปั้นหน้านิ่ง แม้ดวงตาจะพราวยิ้มขำ

“ตลกตรงไหนคะ พี่ธีร์ไม่เคยหิวตอนตีสามหรือไง” เธอบ่น

“ยืนอยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่เอาไม้กวาดมากวาดเศษแก้วก่อน ไม่ได้เจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม” เขาถาม

“ไม่ค่ะ พิสชาปลอดภัยดีค่ะ” เธอตอบ “แต่เดี๋ยวพิสชาเคลียร์พวกเศษแก้วเอง”

“คุณพิสชาอยู่เฉยๆ เถอะครับ กระผมกลัวครัวพัง” เขาแหย่

กลีบบัวครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง มองธีรดนย์ที่เตรียมจะเดินไปหาไม้กวาด เขาหยุดมองภาพวาดบนโต๊ะด้วยท่าทางสนใจ

หญิงสาวเบิกตาโพลง ถลาไปยังภาพวาด แต่ไม่ทันแล้ว ภาพของยาหยีซับน้ำจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเต็มที่

“โธ่เอ๊ย! ยังไม่ทันได้ดูภาพให้ละเอียดเลย ทั้งที่อาจจะคิดอะไรออกแท้ๆ” เธอบ่นด้วยความเสียดาย

“ภาพที่บ้านพักตากอากาศนี่น่ะเหรอ” ธีรดนย์ถาม “ต้องคิดอะไรออกงั้นเหรอ”

“ภาพที่ไหนนะคะ” กลีบบัวจับแขนสามีด้วยความตื่นเต้น

“ก็นี่บ้านพักตากอากาศที่ต่างจังหวัดของบ้านพิสชาไม่ใช่เหรอ ตอนเด็กๆ พี่ยังไปเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ” ธีรดนย์ทำหน้างง “แต่บ้านหลังนี้ไม่ได้ใช้ตั้งนานแล้ว นึกไม่ออกก็คงไม่แปลกมั้ง ทำไมเหรอ ไปเจอภาพวาดสมัยเด็กของตัวเองแล้วคิดว่าคือที่ไหนอยู่เหรอ”

“ภาพวาดสมัยเด็กเหรอคะ” กลีบบัวทวนคำ

“ก็ตอนเด็กๆ พิสชาชอบวาดรูปพวกนี้นี่นา บ้านพักตากอากาศ แล้วก็พ่อแม่ลูกไง”

“อยู่ที่ไหนคะ” เธอบีบแขนธีรดนย์แน่น “บ้านพักตากอากาศที่ว่าน่ะค่ะ อยู่ไหนคะ”

 

บ้านพักตากอากาศของครอบครัวพิสชามีส่วนละม้ายรูปวาดของยาหยีอยู่บ้าง บ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์คันทรี หลังคาปูกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม โดดเด่นด้วยหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่รอบบ้าน เพื่อให้รับแสงสว่างได้เต็มที่ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายให้บรรยากาศมาพักผ่อนในสวน น้ำตกเทียมขนาดใหญ่หน้าบ้านส่งเสียงครืนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย

กลีบบัวปลดเข็มขัดนิรภัยออกทันทีที่รถจอดสนิท เธอเปิดประตูรถลงมามองตัวบ้านด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเธอกำลังเข้าใกล้ความจริงบางอย่าง

ธีรดนย์เปิดประตูฝั่งคนขับมายืนข้างๆ ส่วนแดนไทและดาริกาที่ขับรถตามมาก็เดินมาขนาบอีกด้านของหญิงสาว

“เราลืมไปเลยว่าพิสชามีบ้านพักตากอากาศที่นี่ พอมาเห็นถึงได้คุ้นว่าเหมือนรูปที่ยาหยีวาดจริงๆ” แดนไทพูด

“ยาหยีเหรอ” ธีรดนย์ดูจะไม่ยอมให้มีอะไรผ่านหูผ่านตา

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ธีร์” เธอบอก

“ว่าแต่เรายังไม่บอกพี่เลยว่าทำไมอยากมาบ้านพักตากอากาศที่นี่” ธีรดนย์ถาม

“พิสชาแค่อยากมาน่ะค่ะ เห็นรูปวาดสมัยเด็กก็เลยคิดถึง” เธอตอบไปเรื่อย แล้วหันไปทำตาเขียวใส่ธีรดนย์ “เราตกลงกันแล้วนะคะว่าถ้าพี่ธีร์จะมาด้วย ห้ามถามอะไรพิสชาทั้งนั้น”

ธีรดนย์ยกมือสองข้างเป็นเชิงยกธงขาวยอมแพ้ “ไม่ถามก็ได้ครับ แต่มาแบบไม่บอกแม่บ้านทางนี้เลยจะดีเหรอ เขาจะได้ปัดกวาดบ้านไว้ให้”

“ไหนบอกว่าจะไม่ถามไงคะ”

ธีรดนย์ยิ้มแหย

จริงๆ กลีบบัวตั้งใจไม่บอกแม่บ้านทางนี้ เพราะเธออยากมาที่นี่แบบลับๆ และการที่เธอยอมให้ธีรดนย์มาด้วย ก็เพื่อให้ใครก็ตามที่อาจสะกดรอยตามกลีบบัวอยู่ เข้าใจไปว่าเธอเพียงมาพักผ่อนกับสามีและกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น

หญิงสาวมองบ้านหลังทะมึนตรงหน้า ดาริกาจับมือกลีบบัวไว้

“พร้อมนะคะ” จิตแพทย์สาวถามย้ำ “ในนั้นน่าจะมีความสำคัญจนถึงขนาดทำให้น้องยาหยีวาดมันออกมา และมันอาจส่งผลกับทุกคน” ดาริกาหมายถึงทุกๆ บุคลิกในตัวพิสชา รวมถึงกลีบบัวเองด้วย

“ฉันจำเป็นต้องรู้ค่ะ” เธอตอบอีกฝ่าย สูดลมหายใจรวบรวมความกล้า

แล้วกลีบบัวก้าวเข้าไปในบ้าน

 

แสงสว่างที่ส่องผ่านหน้าต่าง หลังเปิดม่านฝุ่นเขรอะออก ให้คำตอบแก่กลีบบัวว่าข้าวของทั้งหมดของพนัชหายไปไหน

ในบ้านเต็มไปด้วยภาพถ่ายของเด็กหนุ่มผิวขาว หน้าตาคมคาย ส่งยิ้มมั่นใจให้กล้องวางเต็มตู้โชว์ เป็นรอยยิ้มที่มีเพียงคนที่เติบโตมาด้วยความรักเท่านั้นจะยิ้มได้ ทั้งยังมีข้าวของที่เด็กหนุ่มมัธยมปลายน่าจะชอบวางเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสเกตบอร์ดแบรนด์หรู โมเดลฟิกเกอร์จากการ์ตูนดัง กีตาร์สีดำสุดเท่

แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าพนัชเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ครอบครัวภูมิใจ ในภาพครอบครัวขนาดใหญ่บนผนัง นายภูวดลและนางบงกชหอมแก้มพนัชวัยสักเก้าขวบไว้คนละข้าง โดยเด็กชายทำหน้าตาเขินๆ ซึ่งพิสชาไม่มีภาพอะไรแบบนี้เลยแม้แต่รูปเดียว

“ห้องที่ปิดประตูด้านในสุด น่าจะจัดเป็นห้องนอนของพนัช” แดนไทชี้ไปยังห้องที่แปะโปสเตอร์พร้อมลายเซ็นของนักฟุตบอลชื่อดังหน้าประตู กลีบบัวรู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวของตัวเองนั้นยากเย็นขึ้นทุกที

“ไหวไหมคะ” ดาริกาจับแขนเธอ ถามด้วยสีหน้ากังวล

กลีบบัวสูดลมหายใจ พยักหน้าให้จิตแพทย์สาว นึกขอบคุณที่อีกฝ่ายยืนกรานจะขอตามมาด้วย

หญิงสาวหยุดยืนหน้าห้องของพนัช พยักหน้าให้แดนไทที่มองด้วยสายตาห่วงใย แล้วเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู

พอรู้ตัวอีกที กลีบบัวพบตัวเองกำลังกรีดร้อง มือทึ้งผมยาวสลวยจนหลุดเป็นกระจุก เธออยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้นเลอะฝุ่น โดยมีแดนไทจับตัวไว้จากด้านหลัง

“บัว กลีบบัว นี่แดนเอง กลับมาเถอะ กลับมาได้แล้ว” แดนไทเรียกชื่อเธอซ้ำๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ

กลีบบัวหยุดดิ้น เธอยันตัวลุกขึ้นยืน โดยแดนไทประคองไม่ห่าง

หญิงสาวกวาดสายตามองรอบตัว เธออยู่ในห้องนอนเด็กหนุ่มวัยรุ่น มีโปสเตอร์นักฟุตบอลและภาพจากอนิเมะต่อสู้ประดับผนัง โต๊ะหนังสือมีหนังสือติวเข้มสำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัยวางเรียงราย

พ่อแม่ของพิสชาไม่เคยลืมพนัช พวกท่านเพียงแต่เก็บข้าวของทุกอย่างของลูกชายคนโตไว้ ราวกับเจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่

แขนสั่นเทาของแดนไทที่ประคองเธอไว้ทำให้กลีบบัวงุนงง ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด น้ำตาคลอ พอมองดาริกาและธีรดนย์ที่ยืนตะลึงอยู่ไม่ไกล สภาพคนทั้งสองก็ดูตกใจไม่ต่างกัน

“หมอหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอมองโทรศัพท์มือถือในมือจิตแพทย์สาว “อัดคลิปอะไรไว้เหรอคะ ทำไมคะ หรือเมื่อกี้มีอัตลักษณ์อื่นปรากฏตัว”

ดาริกามองหน้าแดนไทสลับกับธีรดนย์ แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้กลีบบัวด้วยมือสั่นเทา

ในคลิป กลีบบัวผลักประตูเข้ามาในห้องนอนของพนัชด้วยสีหน้าเหม่อลอย จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าตื่นตระหนก เธอกรีดร้อง พยายามจะวิ่งหนีออกนอกห้อง แต่สะดุดล้ม แดนไทถลันมาจับตัวเธอไว้ แต่หญิงสาวดิ้นแรงมาก

“ปล่อยนะ พี่พนัช อย่าทำอะไรพิสชาเลย พิสชากลัวแล้ว เราเป็นพี่น้องกันนะ ปล่อยพิสชาไปนะ!”

ทันใดนั้น สีหน้าหวาดกลัวของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป พิสชาหัวเราะคิก มองรอบห้อง ทำเสียงเล็กแบบเด็กหญิง “ยาหยีได้มาอยู่ในห้องพี่ชายแล้ว พี่ชายเล่นซ่อนแอบอยู่เหรอคะ พี่ชายอยู่ไหนคะ”

ฉับพลัน สีหน้าของพิสชาเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าแฝงแววเย้ายวน ไปรยาช้อนตามองแดนไทสลับกับธีรดนย์ หัวเราะคิกคัก “อะไรกัน ทำไมมีหนุ่มหล่อสองคนมาจ้องฉันแบบนี้ล่ะ”

อัตลักษณ์ของพิสชาเปลี่ยนไปอีกครั้ง ราวกับห้องห้องนี้กระตุ้นความทรงจำเลวร้ายเสียจนบุคลิกต่างๆ ในตัวอยู่ในภาวะไม่เสถียร คราวนี้ใบหน้าของพิสชาดูกร้าวแกร่งเหมือนผู้ชาย นลเด้งตัว เอามือกำหมัด สายตาพร้อมต่อสู้

บุคลิกสับเปลี่ยนอีกครั้ง ใบหน้าเยือกเย็น และประเมินสถานการณ์รอบตัวบอกให้รู้ว่านี่คือรัดเกล้า หญิงสาวมีสีหน้าตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน “ทำบ้าอะไร มาที่นี่ทำไม”

พูดไม่ทันจบ พิสชาก็เป็นคนยึดครองร่างอีกครั้ง หญิงสาวมองไปรอบตัวด้วยแววตาหวาดกลัว

“พิสชาเหรอ” แดนไทเรียก น้ำเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวด

“แดนเหรอ” พิสชามองชายหนุ่ม “แดน ช่วยพิสชาด้วย พี่พนัชเขา…เขา…”

“ชู่ว์ ตอนนี้พิสชาปลอดภัยแล้วนะ” แดนไทปลอบ

“ไม่ปลอดภัย” พิสชาดูตื่นตระหนก หญิงสาวหันรีหันขวางตลอดเวลา “ขนาดบอกพ่อแม่ก็ยังไม่ปลอดภัย พ่อกับแม่บอกว่าเราโกหกเรียกร้องความสนใจ” พูดจบ หญิงสาวก็เอามือปิดปากตัวเอง “พ่อกับแม่ไม่ให้บอกใคร ไม่มีที่ไหนปลอดภัย”

พอพูดจบ พิสชาก็กรีดร้อง หญิงสาวดิ้นทุรนทุรายบนพื้นราวสัตว์เจ็บ กลีบบัวที่เห็นทุกอย่างจากคลิปยังรู้สึกบาดลึกเข้าไปในใจ

แดนไทถลันไปกอดหญิงสาวจากด้านหลัง ส่งเสียงปลอบ “ไม่เป็นไรแล้วนะ พิสชา ที่นี่ปลอดภัย” จากนั้นเขาก็พร่ำเรียกชื่อกลีบบัวราวจะวิงวอน “บัว กลีบบัว นี่แดนเอง กลับมาเถอะ กลับมาได้แล้ว”

จากนั้นกลีบบัวก็ ‘ออกมา’

 

กลีบบัวเอนตัวพิงกระจกรถยนต์ตรงข้างที่นั่งคนขับ ขากลับเธอนั่งรถของแดนไท ส่วนดาริกานั่งรถไปกับธีรดนย์ที่ดูมีคำถามมากมาย

“พิสชาเขา…” กลีบบัวพูดต่อไม่ออก เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนธีรดนย์เมาและจะลวนลามเธอ ทุกอัตลักษณ์จึงตื่นตระหนกถึงเพียงนั้น

“โรคหลายบุคลิกเกิดจากการที่เราประสบเหตุการณ์รุนแรงจนจิตใจแตกเป็นเสี่ยง” เธอเริ่มอีกครั้ง “น้องยาหยีอายุสิบสามปีสินะ”

พิสชาคงโดนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองข่มขืนตอนอายุเพียงสิบสามปี แถมพอบอกพ่อแม่ กลับโดนหาว่าเรียกร้องความสนใจ แถมยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตใจของพิสชาจึงแบ่งออก และสร้างยาหยีที่ไร้เดียงสาและเทิดทูนพี่ชายราวเทวดาขึ้นมา ส่วนบุคลิกอื่นๆ อย่างนล รัดเกล้า และไปรยา คงเกิดขึ้นตามหลังเพื่อประคับประคองจิตใจของพิสชา และช่วยให้หญิงสาวยังอยู่ต่อไปได้โดยไม่พังทลายลงไปเสียก่อน

กลีบบัวลอบมองแดนไท เธอรู้ดีว่าพิสชาเป็นรักแรกของเขา และการได้มารับรู้ในสิ่งที่คนที่ตัวเองรักต้องเผชิญโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้คงช่างหนักหนา

เธอเอื้อมมือไปหาชายหนุ่ม แดนไทจับมือกลีบบัวไว้ราวจะยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง

“เรารู้แค่ว่าพิสชามีหลายบุคลิก แต่ไม่เคยรู้ต้นตอของมันเลย เราเป็นเพื่อนที่แย่มากเลยใช่ไหมบัว” เขาพูดพลางพยายามกลั้นน้ำตา

กลีบบัวส่ายหน้า เธอร้องไห้ไปกับเขา “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่นะแดน”

แดนไทจอดรถ เขาเปิดประตูลงไปยืนพิงประตู ทุกอย่างคงหนักหนาสำหรับชายหนุ่มจนไม่อาจฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อไปได้ กลีบบัวเดินตามไปหยุดยืดข้างๆ จับมือชายหนุ่มไว้แน่น

“บัวอยู่นี่นะแดน” เธอบอก “พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันนะ”

กลีบบัวจับมือแดนไท เธอรู้สึกราวกับมองเห็นแผลทั้งหมดในใจเขา และอยากอยู่ข้างๆ จนถึงตอนที่คนตรงหน้าหายดี

แดนไทดึงตัวเธอไปกอด ซึ่งกลีบบัวกอดตอบโดยไม่ลังเล

แดนไทขับรถมาจอดหน้าเรือนหอของพิสชา พอเดินเข้าไปในห้องรับแขก ก็พบนาถนพินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยธีรดนย์และดาริกานั่งอยู่ข้างๆ

“สวัสดีค่ะ แม่นาถ” กลีบบัวพนมมือไหว้

“มากันเสียทีนะ อ้อ! แดนไทก็มาด้วย” นาถนพินกล่าวเสียงเย็น

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” กลีบบัวถาม

“แม่ได้นี่มา หนูพิสชาช่วยดูให้แม่หน่อยสิจ๊ะ ว่าในซองเอกสารมีอะไร” แม่สามีปรายตามองไปทางซองเอกสารสีน้ำตาลบนโต๊ะกลม

กลีบบัวส่งสายตาสงสัยไปยังธีรดนย์ แต่เขาส่ายหน้าเป็นเชิงไม่รู้เช่นกัน พอเปิดดู ก็เห็นภาพแดนไทมารับเธอหน้าบ้านกลางดึก เพื่อพาไปบ้านเขา ดูจากการแต่งกาย มันคือวันที่ธีรดนย์ลวนลามกลีบบัว และทำให้บุคลิกต่างๆ ของพิสชาตื่นตระหนก

“หนูอธิบายได้นะคะ คือหนูทะเลาะกับพี่ธีร์…”

แม่สามียกมือเป็นเชิงปราม “ดีนะที่แม่หาต้นตอคนถ่ายภาพและจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าภาพพวกนี้หลุดออกไป แล้วเกิดเป็นขี้ปากชาวบ้านนินทากันสนุกขึ้นมา กว่าหนูจะได้อธิบาย หุ้นบริษัทคงได้ตกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

กลีบบัวสะอึก

“ผมจะรับผิดชอบเองครับ” ธีรดนย์พูด “อย่างที่บัว…พิสชาบอก ผมทะเลาะกับน้อง ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง แม่จะให้ผมทำยังไงครับ”

นาถนพินมองลูกชาย “ตาธีร์ ลูกบอกว่าจะรับผิดชอบงั้นเหรอ”

“ครับ” ธีรดนย์รับคำหนักแน่น

“งั้นก็พาหนูพิสชาไปฮันนีมูน ลงรูปสวยๆ เอาให้กลบข่าวว่าพวกเธอสองคนแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ทำให้แม่ได้ไหม”

“ได้ครับ” ธีรดนย์ตอบ “ผมจะทำครับ”

“ดี” นาถนพินบอก แล้วหันมามองกลีบบัวด้วยสายตาเย็นยะเยียบ “หนูพิสชาเองก็ช่วยให้ความร่วมมือด้วยนะจ๊ะ”

พูดจบ แม่สามีก็เดินออกจากบ้านไป โดยไม่ปรายตามองดาริกาและแดนไทเลยสักแวบ

กลีบบัวลอบมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของแดนไท สลับกับใบหน้าอ่านยากของธีรดนย์

“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม พี่ธีร์” แดนไทโพล่ง ธีรดนย์พยักหน้ารับ แล้วหลบไปคุยกันหน้าบ้าน ปล่อยกลีบบัวและดาริกานั่งมองตากันปริบๆ

“คุณบัว” ดาริกาลังเล “ขอเรียกว่าบัวเฉยๆ ได้ไหม”

กลีบบัวสะดุ้ง แต่ก็พยักหน้าให้อีกฝ่าย

“แดนไทเป็นน้องชายของพี่ ถ้าเจ้านั่นจะรักผู้หญิง พี่ก็อยากให้ได้เจอความรักที่สบายใจ”

กลีบบัวหน้าชา เธอพอจะรู้ว่าดาริกาอยากสื่ออะไร แม้จะเป็นการแต่งงานกันในนาม แต่พิสชาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของธีรดนย์ การที่เธอใกล้ชิดแดนไท เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

“บัวเข้าใจแล้วค่ะ” เธอยิ้มให้อีกฝ่าย “พี่หมอหนึ่งไม่ต้องห่วงนะคะ พอคุณพิสชาอาการดีขึ้น กลีบบัวก็คงจะหายไปเอง” หญิงสาวคิดว่าปล่อยให้ดาริกาเข้าใจว่าเธอเป็นอีกบุคลิกหนึ่งของพิสชาน่าจะง่ายที่สุด

อีกอย่าง เธอก็หมายความตามนั้นจริงๆ ร่างนี้มีเจ้าของ กลีบบัวเข้ามาอยู่ในร่างพิสชาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แล้วสักวัน ป้ายมทูตหน้าตาใจดีคงมารับตัวเธอไป แต่ช่วงเวลาที่ไม่อาจล่วงรู้จุดจบนี้ กลีบบัวได้เจอคนที่เธอชอบที่สุดในโลกอย่างแดนไท เธออยากอยู่ข้างๆ เขาให้นานที่สุด

มันคงเป็นความเอาแต่ใจเพียงอย่างเดียวของเธอ

 

ทริปฮันนีมูนถูกจัดขึ้นราวจะเนรมิต ทันทีที่ธีรดนย์รับคำสั่งจากนาถนพิน บรรดาสาวใช้ต่างจัดเตรียมเสื้อผ้ากันให้วุ่น พอถึงตอนเช้า ธีรดนย์และกลีบบัวก็มาอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว บินตรงไปยังบ้านพักตากอากาศในเกาะทางภาคใต้ กลีบบัวอยากหาจังหวะถามว่าธีรดนย์และแดนไทคุยอะไรกัน แต่ด้วยความเหนื่อยล้าสะสม เธอจึงหลับเป็นตาย พอตื่นอีกที เครื่องก็ลงจอดแล้ว

คนขับรถพาคู่ฮันนีมูนมายังบ้านพักตากอากาศที่แม่สามีให้คนเตรียมไว้ ที่นั่นเป็นบ้านไม้ริมชายทะเล บรรยากาศร่มรื่นสบายตา แม้จะยังปรับอารมณ์ไม่ถูก แต่กลีบบัวก็ดีใจที่ได้มาทะเลอย่างไม่คาดฝัน หญิงสาวได้แต่ยืนมองบ้านและเกาะส่วนตัวตาค้าง

“ชอบละสิ บัวอยากมาเที่ยวทะเลมาตลอดนี่นา คราวก่อนพวกเราก็ยังไม่ได้ฮันนีมูนกันจริงๆ จังๆ เลยนะ” ธีรดนย์พูดนัยน์ตาพราว

กลีบบัวหันขวับไปมองคนข้างตัว

“พี่ธีร์เรียกพิสชาว่า…”

“พี่ก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เข้าไปในห้องพนัชนะ” เขาขัด “หมอหนึ่งบอกว่าบัวอาจเป็นบุคลิกใหม่ที่จิตใต้สำนึกของพิสชาสร้างขึ้น แต่จ้างให้พี่ก็ไม่เชื่อ พี่รู้นะว่าเราคือกลีบบัวน่ะ เพราะฉะนั้น พี่ขอเรียกชื่อกลีบบัวได้ไหม”

หญิงสาวถอนหายใจ “เอาเถอะค่ะ แล้วแต่พี่ธีร์เถอะค่ะ”

แววตาธีรดนย์เหมือนคนตายแล้วได้เกิดใหม่ เขาก้าวเข้ามาเพื่อจะกอดเธอ แต่ชะงักเมื่อกลีบบัวเผลอถอยหนีโดยอัตโนมัติ

“ขอโทษนะ” เขาพูด น้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้พี่คงไม่ใช่คนที่บัวรักแล้ว เอาเป็นว่าพวกเรามาสนุกกับทริปฮันนีมูนหลอกๆ นี่กัน สัญญาเลยว่าพี่จะไม่ล่วงเกินบัวเด็ดขาด”

หญิงสาวมองธีรดนย์อย่างชั่งใจ ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะคะพี่ธีร์”

ที่เกาะส่วนตัวมีทุกอย่างที่กลีบบัวจะคิดฝัน ทั้งกิจกรรมดำน้ำตื้นดูปะการังสีสวย นอนอาบแดดพร้อมอาหารเลิศรสจากพ่อครัวในภัตตาคารหรู พายเรือคายัค หรือแม้แต่นั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก

กลีบบัวไม่เจ็บปวดเวลามองธีรดนย์อีกต่อไป เขากลายเป็นพี่ชายที่น่ารัก คนที่กลีบบัวเคยรักสุดหัวใจ และตอนนี้ก็ยังคงมีความปรารถนาดีให้แก่กัน

คนที่เธอมองหาเคยเป็นเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เขาแล้ว ธีรดนย์ไม่ได้ไม่ดี แต่กลีบบัวได้รู้ว่านอกจากรักกับไม่รักแล้ว ยังมีความรักที่ดีและความรักที่จะทำลายทั้งสองฝ่าย

การได้มาทริปฮันนีมูนกับอีกฝ่าย เหมือนได้ปลดล็อกเรื่องที่อยากทำตอนแต่งงานกันในร่างเดิมของเธอ ได้ทำเรื่องที่เคยอยากทำโดยไม่ต้องรู้สึกค้างคาใจอะไรอีก

 

ห้องพักช่วงฮันนีมูนที่แม่ให้คนจัดไว้ให้ ถอดแบบมาจากห้องนอนของธีรดนย์ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเครื่องนอนสีน้ำตาลอ่อน โต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานี หรือโคมระย้าคริสตัลหรู เขาคิดว่าห้องนอนของกลีบบัว…พิสชา…รัดเกล้า…เอาเถอะ ห้องพักภรรยาของเขาเองก็คงถอดแบบมาจากห้องนอนของเธอในเรือนหอ

แม้จะไม่ค่อยสนิทกับแม่นัก แต่ธีรดนย์ก็รับรู้ได้ว่าแม่คอยเลือกสรรสิ่งดีๆ ให้เขาเสมอ

ตอนธีรดนย์บอกพ่อแม่ว่าเขาจะแต่งงานกับกลีบบัว นายทรงชัยต่อต้านเต็มที่ เพราะตั้งใจจะให้เขาแต่งงานกับพิสชาที่มีฐานะเหมาะสมกันตั้งแต่เด็ก ส่วนนางนาถนพินกลับเป็นฝ่ายช่วยเหลือเขาและกลีบบัวเรื่องเงินด้วยซ้ำ จนวันที่ชายหนุ่มตัดสินใจกลับบ้าน เพราะทนชีวิตที่ตัวเองไม่รู้จักไม่ไหว นางนาถนพินเพียงแค่มองเขา ราวเธอรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายธีรดนย์จะหย่ากับกลีบบัวและกลับบ้าน

แม่รู้จักเขาดี และเขาก็เกลียดที่ท่านรู้จักเขาดีเหลือเกิน

ธีรดนย์ขยี้ตาไล่ความง่วงงุน เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองอีเมลจากลูกค้าที่ติดต่อมาว่าอยากนัดคุยเรื่องผลิตภัณฑ์ลอตใหม่ที่จะซื้อ รายละเอียดค่อนข้างเยอะจนน่าจะต้องคุยกันตัวต่อตัว ชายหนุ่มตรวจสอบตารางงาน และนัดคุยงานวันที่เขาเดินทางกลับจากฮันนีมูน

เขาลอบถอนหายใจอย่างเสียดาย อยากอยู่ใกล้ๆ กลีบบัวมากกว่าแท้ๆ

ชายหนุ่มส่งข้อความหาพุฒิเมธให้เตรียมรถสองคันในวันเดินทางกลับ สำหรับเขาที่ต้องไปหาลูกค้า และสำหรับกลีบบัว เธอจะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านแบบสบายๆ ก่อน หญิงสาวเจออะไรมาเยอะมากจนธีรดนย์นึกขอบคุณทริปฮันนีมูนที่แม่เขาจัดไว้ให้ แม้จะเพื่อสร้างภาพครอบครัวสุขสันต์ก็เถอะ

ครอบครัวสุขสันต์…ธีรดนย์แค่นยิ้ม เขาเป็นคนปล่อยมือหญิงสาวไปเองนี่นะ

ธีรดนย์บอกตัวเองว่าห้ามโลภ แค่กลีบบัวยังไม่ตาย แม้เธอจะกลับมาในรูปลักษณ์อื่น แถมยังอยู่ใกล้พอที่เขาจะปกป้องได้ ชายหนุ่มก็นึกขอบคุณมากแล้ว

เขาเล่าเรื่องที่คุยกับแดนไทให้กลีบบัวฟังไม่หมด บางอย่างแม้อยากบอกก็ไม่มีสิทธิ์บอกแล้ว

ตอนที่แดนไทอธิบายสถานการณ์ของกลีบบัวให้ฟัง หนุ่มรุ่นน้องขอให้เขาคอยดูแลกลีบบัวด้วยน้ำเสียงวิงวอน

ธีรดนย์ตอบไปว่า ‘ด้วยชีวิต’

ชายหนุ่มบิดขี้เกียจ นาฬิกาตั้งโต๊ะบอกเวลาตีสองกว่า เขาเตรียมเข้านอน พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการฮันนีมูน มีเรื่องที่เขาอยากทำร่วมกับกลีบบัวมากมาย แม้จะในฐานะพี่ชายที่แสนดีก็ตาม

เสียงเคาะประตูดึงธีรดนย์จากความคิด เขารีบถลันไปเปิดประตู เป็นห่วงว่าคนห้องข้างๆ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า

กลีบบัวยืนตรงหน้า สวมเสื้อคลุมทับชุดนอนลายโดราเอมอน ตัวการ์ตูนสุดโปรดของเจ้าตัว

ไม่สิ คนคนนี้ไม่ใช่กลีบบัว

หมอหนึ่งบอกเขาว่าอย่างไรนะ บุคลิกผู้หญิงเย็นชา บุคลิกดี ที่เป็นบุคลิกหลักก่อนกลีบบัวจะมา เป็นบุคลิกที่ธีรดนย์เจอบ่อยๆ

“คุณรัดเกล้า”

รัดเกล้าสีหน้าหงุดหงิด “แม้แต่พี่ธีร์ก็รู้ด้วยเหรอคะ เรื่องของบุคลิกต่างๆ”

ธีรดนย์เชิญหญิงสาวเข้ามาในห้อง เธอนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน ส่วนธีรดนย์ทรุดนั่งบนเตียง พลางเล่าเรื่องที่กลีบบัวไปบ้านพักตากอากาศให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ

รัดเกล้าที่ ‘ออกมา’ ในช่วงสั้นๆ ระหว่างที่แต่ละอัตลักษณ์แสดงตัวถอนหายใจ

“กลีบบัวนี่เพื่อนเยอะดีนะคะ” ไม่รู้ทำไม ธีรดนย์สัมผัสได้ถึงความเหงาในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

“ว่าแต่กลีบบัวหายไปไหน”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ รัดเกล้าแค่ออกมาช่วงสั้นๆ เดี๋ยวจะคืนกลีบบัวให้พี่ธีร์แน่ๆ”

“รัดเกล้ามีอะไรจะบอกพี่เหรอครับ”

หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตาคมปลาบ ราวจะมองให้ทะลุถึงความคิดข้างใน ชวนให้เสียวสันหลังวาบ เธอทำท่าเหมือนกำลังพิจารณาว่าจะสามารถไว้ใจเขาได้ไหม ก่อนกล่าว

“ระหว่างทริปฮันนีมูน รัดเกล้าออกมาบ้างช่วงสั้นๆ” เธอว่า “และรัดเกล้าเห็นคุณนาถนพิน แม่ของพี่ธีร์แอบตามพวกเราอยู่ห่างๆ ค่ะ”

 

กลีบบัวกำลังนั่งมองพระอาทิตย์ตกวันสุดท้าย ก่อนที่ทริปฮันนีมูนจะจบลง หญิงสาวกำลังคิดว่าถ้าแดนไทอยู่ร่วมแบ่งปันวิวสวยๆ แบบนี้ด้วยกันจะดีขนาดไหน

ธีรดนย์เดินมาทรุดนั่งข้างๆ จ้องมองเธอจนหญิงสาวอึดอัด

“พี่ธีร์คะ บัวง่วงแล้ว เดี๋ยวบัวไปนอน” หญิงสาวขยับจะลุก แต่ธีรดนย์จับมือเธอไว้ กลีบบัวจำต้องนั่งข้างเขาอย่างเสียไม่ได้

“เรามาหาตัวคนที่คิดจะทำร้ายพิสชากันนะ พี่จะช่วยด้วยอีกแรง”

กลีบบัวหันไปมองหน้าชายหนุ่ม

“หมอหนึ่งเล่าให้พี่ฟังทุกอย่างแล้ว แถมวันที่แม่นาถบอกให้พวกเรามาฮันนีมูนกัน ตอนแดนไทขอคุยกับพี่ เขาช่วยเล่าเสริมเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมกับขอให้พี่ช่วยปกป้องเรา”

“ขอบคุณนะคะ” กลีบบัวพูด “ที่พี่ธีร์คอยดูแลบัว ทริปนี้สนุกมากๆ เลยค่ะ”

ชายหนุ่มเอามือลูบผมเธอ “สนุกก็ดีแล้ว”

กลีบบัวจ้องมองธีรดนย์ เขายิ้มให้เธอ แต่ดวงตากลับหรี่ซึม

“พี่ธีร์” ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มจึงมีท่าทีเจ็บปวดเหลือเกิน “พี่ธีร์รู้อะไรมากกว่าที่บัวรู้หรือเปล่าคะ”

ธีรดนย์มองเธอราวตั้งใจจะจดจำให้ขึ้นใจ จากนั้นเขาก็กล่าวทิ้งท้าย “หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พี่จะหย่าให้นะ”

กลีบบัวไม่คิดฝันเลยว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ธีรดนย์คุยกับเธอ

 



Don`t copy text!