อาคันตุกะ บทที่ 14 : ชีวิตหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ (จบบริบูรณ์)

อาคันตุกะ บทที่ 14 : ชีวิตหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ (จบบริบูรณ์)

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

สัมผัสแรกคือเตียงนุ่มสบาย ตามด้วยมือที่กุมมือเธอไว้จนชื้นเหงื่อ และกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโรงพยาบาล

กลีบบัวค่อยๆ ลืมตา แขนข้างหนึ่งของเธอต่อสายน้ำเกลือระโยงระยาง ส่วนอีกข้าง ผู้ชายร่างบึกบึนที่กำลังฟุบหลับบนเตียงคนไข้กำลังกุมมือเธอไว้ หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ ด้วยรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้อย่างประหลาด

หญิงสาวเอื้อมมือไปไล้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของแดนไท ชายหนุ่มลืมตามองเธอ กลีบบัวยิ้มให้ เขามองจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าคือเธอ จึงยิ้มตอบ แล้วลุกขึ้นนั่งหลังตรง

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง บัวหลับไปเป็นอาทิตย์เลยนะ รู้ไหม”

กลีบบัวนึกถึงเหตุการณ์ในบ้านของรุจิดา บงกชทำร้ายรุจิดา แถมถ้านาถนพินไม่บังเอิญมาขวาง ตัวเธอเองก็คงเป็นศพถัดไป

“เจ็บ…” เธอมองเขา “เจ็บที่หัวใจ” เรื่องราวที่ทั้งสองคุยกันทำให้กลีบบัวเจ็บปวด ทั้งนางบงกชที่เลี้ยงดูพิสชาด้วยความเกลียดชัง รู้ว่าจิตใจของลูกสาวแตกเป็นเสี่ยงแต่กลับไม่ยอมรักษาเพราะห่วงหน้าตาทางสังคม หรือแม่สามีอย่างนาถนพินที่ใจดีกับพิสชาเพียงเพื่อให้ธุรกิจของครอบครัวเจริญรุ่งเรืองขึ้น

แดนไทดึงตัวเธอมากอดอย่างนุ่มนวล

“รุ้งล่ะ รุ้งอยู่ไหน รุ้งเป็นยังไงบ้าง” เธอละล่ำละลักถาม ภาพสุดท้ายที่กลีบบัวเห็นคือรุจิดานอนจมกองเลือดที่โซฟาห้องนั่งเล่น

“คุณรุ้งเสียเลือดมาก แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว หมอให้พักผ่อนเยอะๆ พี่กฤตคอยเฝ้าไม่ห่างเลยละ”

กลีบบัวยิ้ม จะว่าไป พี่ชายของกลีบบัวมักคอยอยู่ใกล้ๆ รุจิดาเสมอ

แดนไทกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวจะบอกให้กลีบบัวรู้ว่าเธอมีเขาอยู่ตรงนี้

“จากการประเมินทางจิตเบื้องต้น คุณบงกชมีอาการจิตเภท หลงผิด คิดว่าตัวเองมีลูกชายคนเดียวคือพนัช ส่วนพิสชาเป็นปีศาจที่พรากลูกไปจากเขา” ชายคนรักอธิบาย

กลีบบัวเข้าใจแล้วว่าทำไมบรรยากาศในบ้านของพิสชาจึงเย็นชานัก เพราะทั้งบ้านเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายนั่นเอง

“แต่ทำไมล่ะ”

“เพราะถ้าจะว่ากันตามจริง คนที่ขับรถชนพนัชคือคุณบงกชน่ะ” แดนไทบอก

“ว่าไงนะ!” กลีบบัวอุทาน

“เราติดใจว่าทำไมคุณบงกชดูเย็นชากับลูกสาวคนเดียวอย่างพิสชา เลยลองให้ชินช่วยสืบดู” ประโยคหลังแดนไทหมายถึงชินดนัย หุ้นส่วนร้านอาหารเรือนดอกบัว “พิสชาน่าจะบอกแม่ตัวเองว่าโดนไอ้เวรพนัช…” แดนไทสูดลมหายใจ พยายามตั้งสติ กลีบบัวบีบมือเขาเพื่อปลอบโยน “นั่นแหละ พนัชหนีออกจากบ้าน คงเพราะกลัวป้าบงกชดุ แล้วระหว่างขับรถตามลูกชาย ป้าบงกชอาการทางจิตกำเริบ ควบคุมรถไม่ได้ จนชนไอ้พนัชตาย”

“ป้าผกา ป้าแม่บ้านที่บ้านพิสชามาเยี่ยมบัวด้วยนะ เราเลยขอให้คุณป้าเล่าเหตุการณ์ตอนป้าบงกชชนพนัชให้ฟัง ป้าผกาบอกว่าคุณทรงชัย พ่อของพิสชาใช้อำนาจปิดข่าว รวมทั้งปิดข่าวเรื่องที่ภรรยาตัวเองมีอาการทางจิตอ่อนๆ เพราะไม่อยากให้กระทบหุ้นบริษัท” แดนไทยิ้มเศร้า “เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิสชาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิก”

กลีบบัวน้ำตารื้น “หุ้นบริษัทงั้นเหรอ หุ้นบริษัทที่แสนสำคัญเสียเหลือเกิน”

แดนไทเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว “จริงๆ แล้ว คืนนั้นคุณนาถนพินไปหาบัวเพื่อขอโทษนะ”

“ขอโทษเหรอ”

แดนไทพยักหน้า “เราขับรถกลับบ้าน แต่ยังเป็นห่วง แล้วบัวก็วิดีโอคอลมาแต่ตัดสายไป เราเลยวกรถกลับมา เลยเจอป้านาถยืนหน้าบ้านคุณรุ้ง ดูลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม ท่านรู้สึกผิดที่ทำร้ายบัว ป้านาถคงเสียใจมากที่ลูกชายคนเดียวตาย”

“แต่ป้านาถกลับมาได้ยินคุณบงกชสารภาพว่ามีส่วนทำให้พี่ธีร์ตาย” กลีบบัวต่อประโยค

“ตอนนี้ป้าบงกชอยู่ในคุก แต่พอผลตรวจพบว่ามีอาการทางจิตเวช คงต้องย้ายตัวไปโรงพยาบาลก่อน”

“แล้วคุณเมธล่ะ”

“พอทุกอย่างเฉลยก็เลยรู้ว่าเขาบริสุทธิ์ ตอนนี้เขาลาออกจากบริษัท กลับบ้านที่ต่างจังหวัด เห็นว่าจะช่วยรักษาตาให้แม่ของพีระแทน”

“แล้วเรื่องนิทรรศการล่ะคะ” หญิงสาวถามถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้นางบงกชตั้งใจจะฆ่าเธอด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องจ้างให้พีระมาตัดสายเบรกรถ

แดนไทยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่ผิดผนึกไว้แน่นหนาให้เธอ “คุณเมธฝากมาให้”

“ให้เราเหรอ” หญิงสาวเลิกคิ้ว

“ให้คนที่คุยโทรศัพท์กับเขา และบอกให้เขาระวังตัวน่ะ”

กลีบบัวรับซองเอกสารมาจากแดนไท ในนั้นมีสมุดวาดเขียนเล่มหนึ่ง หน้าปกเขียนชื่อ ‘ยาหยี’ ตัวโตๆ วาดสัญลักษณ์หัวใจไว้ข้างหลัง พอหยิบสมุดวาดเขียน กระดาษเอสี่ใบหนึ่งก็ร่วงลงมาบนตัก

หญิงสาวสบตาแดนไท กางจดหมายออกอ่าน แดนไทชะโงกหน้ามาอ่านด้วย ใกล้เสียจนกลีบบัวกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นถี่รัว

 

ถึง ???

          ผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร แต่ผมรู้ว่าคุณหวังดีกับคุณพิสชา และนล

          กว่าคุณจะได้จดหมาย ผมคงย้ายไปต่างจังหวัดแล้ว ผมติดค้างคุณเรื่องที่คุณรัดเกล้าให้ทำ คิดว่าต้องบอกให้คุณรู้

          คุณรัดเกล้ารู้ว่านลมีคนรัก และเธอก็สืบจนรู้ว่าคนรักของนลคือผม

          ผมรักผู้ชายชื่อนล แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปี แถมยังเป็นเพียงบุคลิกหนึ่งในร่างภรรยาของนายจ้างตัวเองอย่างคุณธีร์ ฟังแค่นี้ก็คงรู้ว่าผมกลายเป็นลูกไก่ในกำมือคุณรัดเกล้าได้ยังไง

          เธอขอให้ผมเตรียมงานนิทรรศการ เผยไต๋ให้คุณนาถนพินจับได้ แต่ไม่ให้บอกว่าเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับอะไร คุณรัดเกล้าเป็นนักวางแผน เธอคงอยากใช้งานนิทรรศการที่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ในการคานอำนาจกับคุณนาถนพิน เหตุผล? อาจจะเพื่อให้คุณนาถนพินช่วยหาคนร้ายที่พยายามฆ่าคุณพิสชาอีกแรงกระมัง หรือไม่เธออาจสงสัยว่าคุณนาถนพินคือคนร้าย เลยจะใช้งานนิทรรศการเป็นเครื่องคานอำนาจ

          ถ้าปล่อยคุณพิสชาไป งานนิทรรศการนี้ก็จะยกเลิก อะไรทำนองนั้น

          ตอนจัดนิทรรศการพวกนี้ผมไม่รู้ ผมมาวิเคราะห์ทีหลัง หลังจากได้รู้ว่าคุณบงกช แม่ของคุณพิสชาเป็นคนจ้างพีระให้ลอบฆ่าลูกสาวตัวเอง ผมได้แต่หลับหูทำตามคำสั่งของคุณรัดเกล้า หลงเชื่อว่าตัวเองกำลังปกป้องนล

          ถ้าผมรู้ ผมคงเตือนเธอว่าอย่าต้อนใครคนหนึ่งให้จนตรอกจนเกินไป

          อ้อ! ชื่อของงานนิทรรศการคือ ‘ภาพวาดของเด็กหญิงผู้เป็นที่รัก’

          ภาพที่คุณรัดเกล้าส่งมาให้ ลายเส้นแบบเด็กมัธยมต้น ผมไม่รู้ว่าจัดไปแล้วใครจะอยากดู มันเป็นแค่ภาพวาดทั่วไป ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น แต่มันคงซ่อนบางอย่างที่สามารถสั่นสะเทือนคนร้ายอย่างคุณบงกชได้กระมัง

          ผมถือวิสาสะยกเลิกงานนิทรรศการไปแล้ว แต่ส่งภาพที่จะใช้จัดแสดงมาในสมุดภาพที่แนบมานี้ หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคุณ

          ฝากดูแลนล และบอกเขาด้วยนะครับ ว่าผมรักเขาทุกลมหายใจ

                                                                                                             พุฒิเมธ

 

          กลีบบัวสบตาแดนไท แล้วเปิดสมุดภาพเพื่อไล่ดูภาพวาดของยาหยีทีละหน้า

ทว่าภาพทั้งหมดในสมุดกลับเป็นเพียงภาพนางฟ้าแสนสวยสององค์กำลังเล่นน้ำ ทานขนม และพูดคุยกันด้วยท่าทางสนุกสนานเท่านั้นเอง

 

ร้านอาหารเรือนดอกบัวยามค่ำคืน อบอุ่นด้วยแสงไฟสีส้มที่ประดับตามจุดต่างๆ ของร้าน โต๊ะอาหารยาวนำมาจัดวางริมสระบัวเป็นกรณีพิเศษเพื่อฉลองที่กลีบบัวหายป่วย สารพัดเมนูอาหารจากดอกบัวที่แดนไทและชินดนัยช่วยกันคิดสูตรถูกลำเลียงมาเสิร์ฟ

กลีบบัวนั่งตรงข้ามย่าฤดีที่เธอเคารพไม่ต่างจากย่าแท้ๆ ขนาบข้างด้วยแดนไท อธิน ชินดนัย และมุกตาภาที่เริ่มสนิทกันมากขึ้น กฤตและรุจิดาเองก็มาร่วมงานเลี้ยง สายตาที่พี่ชายและเพื่อนรักของเธอมองกันดูมีนัยบางอย่าง และหญิงสาวก็เชียร์คู่นี้โดยไม่ลังเลเลย

หญิงสาวรายล้อมด้วยคนสำคัญ หากแต่ธีรดนย์กลับไม่อยู่ตรงหน้าเธออีกแล้ว แดนไทคงสังเกตเห็นสีหน้าหม่นซึมของเธอ เขาบีบมือเธอ กลีบบัวยิ้มให้

เธอคงไม่มีวันหายดี ยังคงรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้ธีรดนย์ต้องตายตลอดไป แต่กลีบบัวรู้ว่าแดนไทจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ และนั่นก็ชวนให้อุ่นใจอย่างไม่มีอะไรเทียบ

“ย่าจงกลติดปฏิบัติธรรม แต่ฝากขนมมาแสดงความยินดีด้วยนะ” กฤตยื่นบัวลอยน้ำกะทิ ขนมหวานที่กลีบบัวชอบทานมาให้ ระยะหลัง กลีบบัวไปมาหาสู่ย่าจงกลบ่อยๆ แม้จะไม่ใช่ในฐานะกลีบบัวอีกแล้ว แต่เธอก็ยังคงสัมผัสความรักและความอารีของหญิงชราได้เสมอ

ระหว่างกำลังผ่อนคลายกับมื้ออาหาร กลีบบัวสบตากับแขกคนหนึ่งที่นั่งริมสุดของโต๊ะ อีกฝ่ายเป็นหญิงร่างท้วม ไว้ผมสั้นหยักศกแสกกลาง อายุประมาณห้าสิบปี ให้ความรู้สึกเหมือนคุณป้าใจดีข้างบ้าน เมื่อสบตากัน หญิงสูงวัยก็เอาทิชชูซับปากเป็นเชิงว่าทานอิ่มแล้ว ก่อนจะเดินออกไป

กลีบบัวรีบวิ่งตาม จนมาทันที่ริมสระบัว “คุณป้า เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณป้ายมทูตคะ”

อีกฝ่ายชะงัก หันมามองเธอ แล้วส่งยิ้มให้ “แม่หนู ยังอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตไหม”

กลีบบัวหันกลับไปมองผู้คนที่เธอรัก พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนหันมาตอบด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่ค่ะ”

“งั้นหรือ ไม่อยากลองเป็นคนที่สวยงาม มั่งคั่ง มีครอบครัวแสนสุข และสมบูรณ์แบบกว่านี้หรือ”

“ไม่ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน

หญิงร่างท้วมส่งยิ้มให้ “งั้นก็ขอให้ใช้ชีวิตหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่นี้ให้เต็มที่นะ แม่หนู”

พูดจบ ก็มีเรือลำหนึ่งที่ไม่รู้จู่ๆ โผล่มาจากไหนมาเทียบท่า คนห้าคนนั่งอยู่บนนั้น โดยมีชายหนุ่มสวมหมวกปีกกว้างเป็นคนแจวเรือ

หญิงร่างท้วมก้าวเข้าไปในเรือ พลางรับตะเกียงจากคนแจวเรือ แสงไฟส่องให้เห็นใบหน้าของคนห้าคน ไปรยาในเครื่องแต่งกายรัดรูปสุดเซ็กซี่ รัดเกล้าในชุดสีดำเรียบหรูงามสง่า เด็กหญิงยาหยีกับชุดกระโปรงรูปกระต่าย นลสวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำมาดเท่ และพิสชาในชุดกระโปรงสีขาว ดูงดงามล้ำค่าราวตุ๊กตากระเบื้องราคาแพง

“หมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนถึง…” กลีบบัวงุนงงไปหมด จะว่าไป นับตั้งแต่เธอฟื้น บุคลิกต่างๆ ก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

พิสชาหันมาสบตากลีบบัว หญิงสาวส่งยิ้มให้ ขับให้ใบหน้างดงามประหนึ่งกำลังมองทูตสวรรค์

“ทำอะไรอยู่เหรอบัว” แดนไทส่งเสียงเรียก กลีบบัวสะดุ้ง หันไปมองคนรักที่เดินตรงมาหา เธอหันกลับไปมองเรือปริศนาในสระ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงน้ำในสระกระเพื่อมยามต้องลม

“หนึ่งมีอะไรให้ดูแน่ะ” แดนไทบอก

“พี่หนึ่งย่ะ” แพทย์หญิงดาริกาที่เดินตามมาแหวใส่น้องชาย “หัดเรียกพี่สาวให้มันเต็มยศซะบ้าง”

“พี่หนึ่งมีอะไรให้บัวดูเหรอคะ” เธอถาม

ดาริกาพากลีบบัวหลบมายังโซนเรือนไทยของร้านอาหารเรือนดอกบัว ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว บนโต๊ะมีแล็ปท็อปเปิดคลิปวิดีโอค้างไว้

“พี่อัดวิดีโอนี้ไว้ไม่กี่วันก่อนบัวจะออกจากโรงพยาบาล กะว่าจะถ่ายวิดีโอเล่นกัน แต่…เอาเป็นว่าพี่คิดว่าบัวควรได้ดูจ้ะ”

จิตแพทย์สาวปล่อยกลีบบัวไว้ตามลำพัง ดึงแขนแดนไทออกไปด้วย

กลีบบัวเสียบหูฟัง แล้วกดเล่นวิดีโอ

ในนั้นเป็นภาพตอนกลีบบัวเปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดา เพื่อเตรียมออกจากโรงพยาบาล เธอและดาริกานั่งรอแดนไทไปจัดการเรื่องยาและค่ารักษาพยาบาล ระหว่างคุยเล่นกัน สีหน้าของกลีบบัวก็เปลี่ยนไป

“รัดเกล้าเหรอคะ…”

อัตลักษณ์ปริศนาไม่ตอบ

“นล…คุณไปรยา…หนูยาหยี…”

อีกฝ่ายเอาแต่นั่งเหม่อ

“คุณพิสชา”

“คุณรู้จักพิสชาเหรอคะ” หญิงสาวหันมามอง “ทำไมพิสชามาอยู่โรงพยาบาลล่ะคะ จริงสิ…รถชน เกิดอุบัติเหตุนี่นา”

“อุบัติเหตุ” ดาริกาทวนคำ

“ตอนจัดนิทรรศการไงคะ ชื่อ Change ชื่อเพราะใช่ไหมคะ พิสชาเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดเวลา กำลังง่วนกับการวาดภาพ แล้วพอตื่นมาอีกทีภาพก็เสร็จสมบูรณ์ ได้อวดโฉมสวยๆ ในงานนิทรรศการ” พิสชากล่าว สีหน้าหม่นซึม “แล้วจู่ๆ พิสชาก็พบว่าตัวเองกำลังขับรถอยู่ แล้วรถก็เสียหลัก จากนั้นพิสชาก็แค่ไม่อยากสู้ต่ออีกแล้วน่ะค่ะ”

“คุณพิสชาคะ” ดาริกาเรียก

“เหมือนในตัวพิสชาแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ละชิ้นส่วนพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อให้ร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่ พิสชาเคยตื่นมาเจอสมุดไดอารี่ เจ้าของชื่อรัดเกล้า ในนั้นเขียนว่าพิสชาเป็นโรคหลายบุคลิกด้วยค่ะ ตลกมากเลย จากนั้นพิสชาก็หาไดอารี่ไม่เจออีก คนที่ชื่อรัดเกล้าคงเอาไปซ่อน แล้วพิสชาก็ง่วง ง่วงมากๆ ร่างนี้ไม่ยอมให้พิสชาออกมาค่ะ”

พิสชาหันมาส่งยิ้มเศร้าให้จิตแพทย์สาว “ตอนนี้ใครกำลังต่อสู้อยู่ในร่างนี้เหรอคะ คนคนนั้นน่าจะทำได้ดีกว่าพิสชานะคะ”

“คุณพิสชาคะ”

“คะ” กลีบบัวเอียงคอ “พี่หนึ่งพูดว่าอะไรนะคะ”

ดาริกาเดินมายังกล้องที่ตั้งถ่ายวิดีโอไว้ ปากบอกว่า “ไม่มีอะไรจ้ะ” แล้วกดหยุดกล้อง

***

กลีบบัวกดหยุดวิดีโอ เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพิสชา อีกฝ่ายช่างงดงามเลอค่า และแสนเศร้าเหลือเกิน บอบบางเสียจนกลีบบัวอยากให้โลกใจดีกับอีกฝ่ายให้มากๆ

“รัดเกล้า ไปรยา ยาหยี นล คุณพิสชา” กลีบบัวเรียกชื่อแต่ละอัตลักษณ์ แต่ทันทีที่ชื่อเหล่านั้นถูกเปล่งออกมา เธอก็ตระหนักได้ว่าทุกคนไม่อยู่ที่นี่กับเธอแล้ว

ตอนที่ศึกษาเรื่องโรคหลายบุคลิก แพทย์หญิงดาริกาเคยบรรยายว่าแต่ละบุคลิกมีหน้าที่ของตัวเอง รัดเกล้าเป็นมันสมอง ไปรยาคอยหว่านเสน่ห์ เป็นตัวตนที่โหยหาความรัก ยาหยีเป็นเด็กหญิงไร้เดียงสาที่เทิดทูนพี่ชายของตัวเองสุดหัวใจ คงเพื่อทดแทนจิตใจที่แตกสลายของพิสชา จากการโดนพนัชขืนใจ ส่วนนลคอยปกป้องเวลาได้รับอันตราย

คงถึงเวลาที่พิสชาตัดสินใจจากไป ส่วนบุคลิกอื่นๆ ก็คงตัดสินใจละทิ้งร่างและความทรงจำอันแสนเศร้านี้

ตอนนี้มีเพียงกลีบบัว มีเพียงเธอเท่านั้น หญิงสาวใจหายวูบ และเหงาจับใจ

“กลีบบัว ย่าฤดีเรียกไปถ่ายรูปด้วยกัน ไปกันเถอะ” แดนไทส่งเสียงเรียก

กลีบบัวปิดแล็ปท็อปของดาริกา ถือติดมือเพื่อนำไปคืนอีกฝ่าย เธอเดินตามแผ่นหลังกว้างของแดนไทไปหาผู้คนที่เธอรักพวกเขาเหลือเกิน

กระทั่งตอนนี้ กลีบบัวยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงอาคันตุกะในร่างพิสชา แต่ก็อย่างที่คุณยมทูตใจดีบอกไว้ เธอตั้งใจจะใช้ชีวิตหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!