อาคันตุกะ บทที่ 3 : นกน้อยในกรง

อาคันตุกะ บทที่ 3 : นกน้อยในกรง

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

มองจากกระจกใสร้านกาแฟสไตล์มินิมอลโทนสีขาว ประดับไม้ใบสวยตามจุดต่างๆ จะเห็นร้านเช่าชุดแต่งงานกรุกระจก มีชุดแต่งงานหลายสไตล์แขวนเรียงราย แถมยังมองเห็นร่างเล็กบอบบางของรุจิดาในชุดเจ้าสาวสีขาวกระโปรงบานฟูฟ่องราวเจ้าหญิง แม้ระยะที่นั่งมองจะห่างเกินไปจนไม่เห็นสีหน้าเพื่อนรัก แต่กลีบบัวคิดว่าอีกฝ่ายคงมีประกายตาสดใส เพื่อนสนิทของเธอหมุนตัวไปมาตรงหน้าทัตพลในชุดสูทสีขาวที่นั่งรอตรงโซฟา โดยมีเจ้าของร้านสาวสองร่างโปร่งอายุราวสี่สิบเศษ ยืนแนะนำชุดแต่งงานอยู่ข้างๆ

กลีบบัวอมยิ้ม เธอและรุจิดายืนจูงมือกันมาดูชุดแต่งงานที่ร้านนี้มาแต่ไหนแต่ไรด้วยสไตล์ชุดที่ทันสมัยและหลากหลาย เธอเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ช่วยเพื่อนรักเลือกชุด ทำได้แค่แอบมองห่างๆ ในร่างของพิสชา ซึ่งดันเป็นคนที่รุจิดาไม่อยากเจอหน้าที่สุด

หญิงสาวคิดอะไรเพลินจนสะดุ้งกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ชื่อนาถนพินปรากฏบนหน้าจอ

“สวัสดีค่ะป้านาถ”

“พอเลยจ้ะ” หญิงสูงวัยทำเสียงเข้ม “เลิกเรียกคุณป้าได้แล้ว เรียกคุณแม่ได้แล้วจ้ะ”

กลีบบัวชะงัก แม้กระทั่งตอนที่เธอแต่งงานกับธีรดนย์ อีกฝ่ายก็ไม่เคยขอให้เธอเรียกแบบนี้

“ค่ะ คุณแม่” หญิงสาวสวมบทบาทพิสชา

“แม่จะโทรมาชวนหนูพิสชามาทานมื้อเที่ยงที่บ้านน่ะจ้ะ แม่บอกตาธีร์แล้ว เดี๋ยวพี่เขาจะไปรับหนูนะจ๊ะ” นาถนพินชวน “ตั้งแต่หนูออกจากโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้มาเที่ยวบ้านแม่เลยนี่จ๊ะ”

กลีบบัวลังเล เธอไม่แน่ใจว่าการเจอธีรดนย์จะเป็นเรื่องที่ดี ตอนเขามารับเธอจากโรงพยาบาลแล้วกลีบบัวแวะไปที่บ้านตัวเอง เขาดูโกรธเสียจนไม่อยากมองหน้าเธอด้วยซ้ำ

“คือพิสชาว่า…”

“วันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ รีบมานะจ๊ะ มาคุยเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อย อยู่แต่กับหนุ่มๆ อย่างคุณทรงชัยและตาธีร์น่าเบื่อจะตาย”

น้ำเสียงเร่งเร้าของอดีตแม่สามีเป็นเรื่องที่กลีบบัวไม่เคยปฏิเสธได้ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความรู้สึกระอาตัวเอง

กลีบบัวสำรวจตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำร้านกาแฟ ประจวบเหมาะกับที่วันนี้เธอมาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะสไตล์เสื้อผ้าของพิสชาเป็นอะไรที่เธอไม่กล้าสวมเอาเสียเลย ถ้าไม่เรียบหรูในโทนสีขาว ก็เป็นสไตล์สาวมั่นในชุดโทนสีดำ บางชุดเซ็กซี่โชว์เรือนร่างไปเลย แถมมีชุดกระโปรงฟูฟ่องที่คงจะน่ารักถ้าเธออยู่ในวัยมัธยมต้น กลีบบัวลองค้นตู้เสื้อผ้าแล้วเจอเสื้อผ้าตัวโคร่งแบบของผู้ชายด้วย…สไตล์การแต่งตัวของพิสชาหลากหลายน่าดู แถมยังจัดเป็นสัดส่วนชนิดที่ถ้าไม่รู้มาก่อน กลีบบัวคงคิดว่ามีคนอาศัยในห้องนอนพิสชาราวห้าคนได้

หญิงสาวสำรวจตัวเองในชุดเดรสแขนยาวสีขาวลายดอกไม้สีฟ้าจิ๋ว พอมาประดับบนตัวพิสชา ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่าทะนุถนอมราวตุ๊กตากระเบื้องราคาแพง กลีบบัวอึดอัดกับใบหน้าสวยหวานที่มองตอบมา เธอหยิบยางมัดผมที่ซื้อติดมาด้วย รวบผมเป็นหางม้า หญิงสาวอยากทำอะไรก็ได้เพื่อเตือนว่าตัวเองคือกลีบบัว ไม่เช่นนั้นเธอคงหายไปตลอดกาล

ธีรดนย์โทร.หาหลังกลีบบัวแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จไม่นาน เขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยตอนเธอก้าวเข้าไปในรถยนต์สีดำคันหรู กลีบบัวอดใจสลายไม่ได้เมื่อเห็นอดีตสามียังใส่ชุดดำราวจะไว้ทุกข์ ใบหน้าคมสันซีดเผือด แววตาแดงก่ำ

“พี่ธีร์ได้นอนบ้างไหมคะเนี่ย” เธอหลุดปากถาม

ธีรดนย์ไม่ตอบ ชายหนุ่มเข้าเกียร์ เตรียมขยับรถ

กลีบบัวลอบมองท่าทางอิดโรยของธีรดนย์ จับมือเขา ส่ายหน้าเบาๆ “แอบหลบไปงีบกันหน่อยเถอะค่ะ พิสชารู้สึกง่วงนิดหน่อย ถ้าพี่ธีร์ไม่ง่วง ก็นั่งเล่นเป็นเพื่อนพิสชาหน่อยนะคะ”

นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ธีรดนย์หันมามองเธอตรงๆ แววตาดูประหลาดใจ

“ปกติเราไม่ค่อยคุยกันเหรอคะ” กลีบบัวส่งยิ้มแก้เก้อ “ทำไมพี่ธีร์มองพิสชาแปลกๆ”

“ไม่ค่อยคุยกันหรอก” ธีรดนย์ตอบ “หรือถ้าคุย ก็คุยในเชิงธุรกิจ” เขามองเธออย่างชั่งใจ แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนทั้งตาและปากให้เป็นครั้งแรก “งั้นงีบกันหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ”

ธีรดนย์ขับรถไปจอดใต้ร่มไม้ เอนพนักพิง เขาบอกเธอว่าจะพักสายตาระหว่างรอเธองีบ แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มก็หลับตาพริ้ม กลีบบัวจ้องมองอดีตสามี แม้จะดูอ่อนเพลีย แต่ธีรดนย์ก็หล่อเหลาสะดุดตาไม่ต่างจากตอนเธอเจอเขาครั้งแรกในมหาวิทยาลัย กลีบบัวตอนปีหนึ่งแทบไม่เชื่อสายตาตอนที่รู้ว่าธีรดนย์เป็นพี่รหัสของเธอ

“บัว…กลีบบัว…กลับมาเถอะ กลับมาหาพี่เถอะนะ”

กลีบบัวชะงัก ธีรดนย์เพิ่งละเมอชื่อเธอหรือเปล่านะ

“กลับมาหาพี่เถอะบัว พี่มันโง่เองที่ปล่อยบัวไป อย่าหายไปแบบนี้เลยนะ” หางตาของธีรดนย์มีน้ำตาซึม

กลีบบัวเอื้อมมือไปหาคนข้างๆ อย่างลังเล สีหน้าของเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ราวติดอยู่ในห้วงฝันร้ายไร้ก้นบึ้ง อีกอย่าง กลีบบัวกลัวหัวใจตัวเองจะหวั่นไหวและเจ็บปวดเพราะคนตรงหน้าอีก เธอลัวว่าเธอจะสารภาพทุกอย่างกับเขา และอ้อนวอนให้ธีรดนย์กลับมาหาเธอเหมือนคนเสียสติอีกครั้ง

“พะ…พี่ธีร์คะ พี่ธีร์”

ธีรดนย์สะดุ้งเฮือก เขารวบตัวเธอไว้ในอ้อมกอดราวคนละเมอ ชายหนุ่มตัวสั่นเทาเสียจนหญิงสาวทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ในอ้อมกอดอีกฝ่าย

เธอไม่ต้องคิดอะไร ใช้ชีวิตในร่างพิสชา แล้วแต่งงานกับธีรดนย์ดีไหมนะ

“ถ้าพี่ธีร์จะเป็นแบบนี้ จะเลิกกันทำไมนะ” เธอทวงถามแทนกลีบบัวคนเก่าที่เฝ้ารอข้อความของธีรดนย์จนโทรศัพท์มือถือแทบจะกลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม

ธีรดนย์ชะงัก ปล่อยกลีบบัวจากอ้อมแขน เขาปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉย

“พวกเราน่าจะงีบกันพอแล้ว คุณแม่คงรอทานข้าวแล้วด้วย” ชายหนุ่มพูด

 

บรรยากาศอัดแน่นด้วยความเงียบจนกระทั่งรถแล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์ชั้นครึ่งขนาดใหญ่เสียจนกลีบบัวคิดว่าถ้าจะมองหาใครในบ้านคงต้องโทร.หากันเลยทีเดียว แม้จะเคยมาบ้านของธีรดนย์ตอนอยู่ร่างเดิมบ้าง แต่กลีบบัวยังคงตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง

บ้านสวยโอ่อ่าโทนสีครีม หลังคาสีส้มอิฐ มีหลังคาโซนห้องนอนต่อแยกออกจากโซนหลัก ด้านหน้าต่อเป็นลานจอดรถกว้างขวาง มีสนามหญ้าเป็นระเบียบสองข้างทางถนนที่ตัดสู่ตัวบ้าน ไม้พุ่มจัดเรียงตัวเป็นระเบียบ ตัดแต่งเป็นรูปทรงสัตว์ต่างๆ ด้วยฝีมือของนาถนพิน

พุฒิเมธ เลขาฯ ร่างท้วมของธีรดนย์รอต้อนรับที่ลานจอดรถอยู่ก่อนแล้ว

“ผมไปรับคุณบงกช คุณแม่คุณพิสชาเรียบร้อยแล้วนะครับ ท่านกำลังคุยกับคุณนาถนพินในสวนหลังบ้านครับ” พุฒิเมธรายงานทันทีที่ธีรดนย์และพิสชาลงจากรถ

“คุณบงกช…เอ่อ…คุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ” กลีบบัวถาม เธอรู้สึกเกร็งเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่พิสชา นอกจากเพราะบรรยากาศเย็นชาในครอบครัว ก็เพราะเรื่องที่เธอไปอาศัยอยู่ในร่างลูกสาวของพวกท่านด้วย

พุฒิเมธมองเธอด้วยสีหน้าแปลกๆ จะบอกว่ากึ่งโกรธกึ่งเย็นชาก็ได้ กลีบบัวคิดว่าตัวเองคงตาฝาด เลขาฯ ของธีรดนย์ที่เธอรู้จักเป็นคนเงียบขรึม กลีบบัวเคยคิดว่าสิ่งเดียวที่เขาสนใจคืองาน งาน และงานเท่านั้น

“คุณบงกชแวะมาเป็นครั้งคราวครับ” พุฒิเมธตอบเสียงเรียบ

หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอเคยอ่านข่าวว่านาถนพินและบงกชเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่ก่อนทั้งคู่แต่งงาน นี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทั้งสองบ้านอยากให้ธีรดนย์และพิสชาเป็นทองแผ่นเดียวกัน การที่บงกชจะมาบ้านนาถนพินจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…กลีบบัวอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพุฒิเมธจึงมีท่าทางเหมือนไม่ชอบเธอนัก ทั้งที่คุณหนูพิสชาออกจะสวยสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ จะบอกว่าเลขาฯ หนุ่มโกรธที่พิสชามีส่วนให้กลีบบัวเสียชีวิตก็ไม่น่าใช่ เพราะตอนที่ยังไม่สลับร่าง กลีบบัวก็แทบไม่ได้คุยกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

“หนูพิสชามาแล้ว” นาถนพินกล่าวทักเธอด้วยน้ำเสียงอารี “แม่ครัวกำลังเตรียมขนมพอดี หนูพิสชาหิวหรือยังจ๊ะ อยากทานข้าวก่อน หรือจะเดินเล่นในสวนหลังบ้าน รอแม่ครัวเตรียมขนมให้เสร็จก่อนดี”

“ชมสวนก่อนก็ดีค่ะ แม่นาถ” เธอตอบ

“งั้นตามมาเลยจ้ะ เมื่อวานแม่เพิ่งตัดแต่งต้นไม้เสร็จ อยากอวดใครอยู่พอดีเชียว” หญิงสูงวัยกล่าวชวน

“คุณเมธบอกว่าแม่บงกชมาด้วยเหรอคะ” เธอถาม

“อ้อ ใช่จ้ะ” นาถนพินตอบ “บงกชเดินเล่นอยู่ในสวนแน่ะ ตามไปสมทบกันเถอะ”

สวนหลังบ้านกินอาณาบริเวณกว้างขวางประมาณสองสนามฟุตบอล มีศาลาแปดเหลี่ยมสำหรับจิบชา ทานขนม ชมวิวต้นไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปทรงสวยงาม ต้นไม้ข้างศาลาแต่งเป็นรูปกระต่ายวิ่งไล่กัน ไกลออกไปเป็นนกอินทรีสยายปีก โดยมีไม้พุ่มรูปกวางและช้างอยู่ถัดออกไป

ตัวเอกของสวนคือพุ่มไม้ข้างศาลาที่ตัดแต่งเป็นซุ้ม ล้อมไม้พุ่มรูปนก ราวกับนกน้อยในกรงกำลังเฝ้ามองผองเพื่อนสัตว์ป่า

บงกชยืนพินิจไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปในกรง ร่างแบบบางดูราวกับเป็นนกที่โดนขังไว้เสียเอง เจือความเศร้าและงามอย่างประหลาด

“คุณบงกช…แม่คะ…” กลีบบัวเรียก

บงกชหันมามองกลีบบัวและนาถนพิน ส่งยิ้มอ่านยากมาให้

“คิดอะไรอยู่เหรอ บงกช เหม่อเชียว” นาถนพินถามเพื่อนสนิท

“กำลังคิดว่านกในกรงตัวนี้มีความสุขไหม”

“อยู่ในกรงสวยๆ ไม่ต้องลำบากขวนขวายอะไร อยากได้อะไรก็ได้ ทำไมจะไม่มีความสุขล่ะ” นาถนพินกอดอก ยืนเคียงข้างแม่ของพิสชา

“แต่มันอาจสำลักกรงขังตายก็ได้นะ” บงกชพูดเสียงเศร้า “มองเห็นท้องฟ้าตรงหน้า แต่ไม่สามารถบินออกจากกรงได้”

“แม่นาถแต่งสวนพวกนี้เองหมดนี่เลยสินะคะ” กลีบบัวพยายามเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมที่สัมผัสได้จากคนทั้งสอง “สุดยอดเลยค่ะ”

นาถนพินหันมาส่งยิ้มให้เธอ “หนูพิสชาน่าจะพอรู้ว่าคุณทรงชัยไม่ค่อยสบาย แม่เลยดูแลทั้งกิจการบริษัทและที่บ้าน เวลาเครียดๆ หรือรู้สึกว่าอะไรไม่ได้ดั่งใจ การได้มาตัดแต่งพุ่มไม้พวกนี้ แล้วมองผลงานเป็นระเบียบที่เราเป็นคนออกแบบและควบคุม มันทำให้ใจสงบมากเลยนะจ๊ะ”

กลีบบัวมองพุ่มไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปนกในกรงแล้วเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมา แน่ละ สวนแห่งนี้สวย เป็นระเบียบ น่าหลงใหลราวเดินในป่าต้องมนตร์ แต่พุ่มไม้ต่างๆ ดูเป็นระเบียบเกินไป ราวทุกต้นต้องอยู่ในกรอบที่นาถนพินควบคุมไว้ โดยเฉพาะพุ่มไม้รูปนกในกรง หญิงสาวอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันช่างดูเศร้าสร้อย

“นกตัวนั้นคือใครกันนะ” เธอรำพึง

 

ยาหยีนั่งในศาลาแปดเหลี่ยม รอบๆ คือสวนสวย มีสัตว์ต่างๆ มากมาย มีนกน้อยในกรง มันดูน่าสงสาร เธออยากเปิดกรงแล้วปล่อยเจ้านกบินออกไปเหลือเกิน แต่เจ้านกอาจจะไม่เหงาก็ได้ เพราะมีทั้งพี่กระต่าย พี่กวาง พี่ช้าง พี่อินทรีอยู่เป็นเพื่อน

เด็กหญิงคิดว่านกในกรงเหมือนเธอ เพราะคุณแม่มักขังเธอไว้ในห้องนอนบ่อยๆ ยาหยีไม่ชอบเวลาโดนขัง พี่ชายมักมาหาและร้องเพลงให้เธอฟัง พี่ชายใจดีกับเธอที่สุดในโลก พี่ชายมักจะกอดเธอ ยาหยีชอบให้พี่กอด มือของพี่อุ่นมาก

เธอหมุนตัวไปรอบๆ มองหาพี่ชาย แต่ไม่รู้ว่าพี่ชายอยู่ไหน ยาหยีจำอะไรไม่ค่อยได้ บางครั้งเธอนั่งวาดรูปอยู่ แล้วดันไปโผล่ที่แปลกๆ แต่ไม่มีใครถามว่ายาหยีมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เด็กหญิงคิดว่าใครๆ ก็คงเป็นเหมือนกัน คุณแม่ยังชอบพูดบ่อยๆ ว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

ลมพัดแรงจนชายกระโปรงของเด็กหญิงพลิ้วไหว ผมที่มัดรวบไว้กระเซิงไม่เป็นทรง ยาหยีตกใจมาก พี่ชายมักชมเวลาเธอแต่งตัวน่ารัก ยาหยีเจอยางมัดผมแค่เส้นเดียว ทั้งที่เธอชอบมัดผมแกละมากกว่า เด็กหญิงไม่ชอบชุดลายดอกไม้ด้วย เธอชอบเสื้อผ้าลายกระต่ายสีชมพูมากกว่า

เธอตัวสั่นเทา นึกถึงตอนที่พ่อถือไม้เรียว หน้าตาถมึงทึงเหมือนยักษ์ในนิทานที่พี่ชายเล่าให้ฟัง พ่อเรียกเธอว่า ‘นังเด็กโง่’ เพราะเธอทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ไม่ได้แม้จะจ้างครูสอนพิเศษมาสอนก็ตาม พี่ชายมาปลอบ ซื้อชุดลายกระต่ายให้ และเรียกเธอว่ายาหยี

‘ยาหยีที่รักของพี่ น้องน่ารักที่สุดในโลกเลย’ พี่ชายกอดเธอไว้แน่น จริงๆ ก็แน่นเกินไป แต่ยาหยีรักพี่ชายมาก เธอจึงอดทนแม้จะอึดอัด

เด็กหญิงเริ่มกังวลที่ตัวเองมาอยู่ในที่แปลกๆ คนเดียว เธอมองหาพี่ชายอีกครั้ง

พลันสายตาของยาหยีไปสะดุดกับผีเสื้อแสนสวย เด็กหญิงวิ่งตามผีเสื้อ ลัดเลาะไปจนถึงสระน้ำไกลออกไป นางไม้สองคนนั่งอยู่ริมสระน้ำ ยาหยีนึกถึงนิทานเรื่องพระสุธน-มโนราห์ที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟัง นางกินรีมาอาบน้ำที่สระ พรานป่าเห็นจึงแอบเอาปีกและหางของกินรีไปซ่อน

นางไม้นางหนึ่งหันมาทางยาหยี เด็กหญิงตกใจรีบวิ่งออกมา ไม่แน่ใจว่านางไม้เห็นเธอหรือเปล่า ยาหยีไม่อยากโดนนางไม้จับตัวไป เธออยากอยู่กับพี่ชาย

ยาหยีวิ่งเลยสวนต้นไม้ไปยังปราสาทหลังใหญ่ แต่ด้วยอารามรีบเลยสะดุดล้ม เด็กหญิงเบะปาก พร้อมกับที่ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา แสงอาทิตย์ส่องทางด้านหลัง จนเด็กหญิงเห็นเขาเป็นเงาขนาดใหญ่ สูงทะมึน น่ากลัวเหมือนยักษ์ในนิทานที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟัง

เธอต้องหนีไปซ่อนตัว เธอไม่อยากโดนจับตัวไป ยาหยีอยากเจอพี่ชายเหลือเกิน

 

“ขอบคุณที่มาทานข้าวเป็นเพื่อนแม่นะจ๊ะหนูพิสชา”

กลีบบัวกะพริบตา เธอยืนหน้าบ้านธีรดนย์ สองมือพนมค้าง ตรงหน้าคือนาถนพิน ทรงชัย ธีรดนย์ และพุฒิเมธ ตัวบ้านเปิดไฟสว่าง ฟ้ามืดแล้ว ทั้งที่หญิงสาวเพิ่งจะไปชมสวนต้นไม้ของนาถนพินเมื่อครู่นี้เอง

“กลับบ้านดีๆ นะจ๊ะ” นาถนพินพูด “ไว้มาทานข้าวกับป้าอีกนะ” จากนั้นก็หันไปบอกธีรดนย์ “พาน้องกับคุณบงกชไปส่งบ้านดีๆ ล่ะตาธีร์”

กลีบบัวหันไปมองรถเก๋งสีดำที่จอดหน้าบ้านติดเครื่องรอไว้ บงกชนั่งรอในรถข้างที่นั่งคนขับแล้ว ระหว่างกำลังสับสน ธีรดนย์ก็เปิดประตูที่นั่งด้านหลังให้

“แต่…ไหนบอกชวนมาทานอาหาร” เธองง

“พิสชาพูดว่าอะไรนะ” ธีรดนย์จ้องหน้าเธอ

กลีบบัวไม่ตอบ ตอนนี้เธออิ่มตื้อทั้งที่ไม่ได้ทานอะไรเลยสักคำ หญิงสาวขึ้นไปนั่งบนรถ พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของธีรดนย์กับบงกชเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งดูเหมือนว่ากลีบบัวไปเดินชมสวนกับนาถนพินและบงกช และเพลิดเพลินเสียจนขอชมสวนต่อคนเดียว ธีรดนย์ไปตามเธอตามมาทานมื้อกลางวัน กลีบบัวนั่งคุยกับธีรดนย์ในห้อง กระทั่งค่ำ ธีรดนย์จึงพาเธอและบงกชมาส่ง

เธอทำเวลาบางส่วนหายไปแน่นอน ที่สำคัญคือกลีบบัวไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาที่หายไปนั้นเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวลอบมองธีรดนย์ เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้ร่างของพิสชามีสองวิญญาณ ตอนที่เธอไม่รู้ตัวคือตอนที่พิสชาครอบครองร่าง

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่ากลีบบัวคือวิญญาณร้ายที่มาสิงร่างพิสชา โดยไม่ยอมไปผุดไปเกิดเช่นนั้นเหรอ!

แต่ทำไมเธอสัมผัสถึงพิสชาไม่ได้เลย เธอกลับรู้สึกเหมือนร่างนี้เป็นของเธอ แต่มักมีรูโหว่ขนาดใหญ่ของเวลา ช่วงเวลาเคลื่อนผ่าน โยนหญิงสาวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งจนชวนสับสน

ธีรดนย์แล่นรถมาจอดหน้าบ้าน แม่บ้านผกายืนรอบงกชและกลีบบัวอยู่ก่อนแล้ว

บงกชก้าวลงจากรถ เซถลาเล็กน้อยราวไร้เรี่ยวแรงจะยืน ดีที่แม่บ้านผกาประคองไว้ทัน

“คุณแม่ ไม่สบายหรือเปล่าคะ” กลีบบัวถลันไปหาหญิงสูงวัย ใบหน้าของบงกชซีดเผือดราวมีเรื่องกังวลใจ

“พิสชา” บงกชมองเธอ “ตอนอยู่ในสวนหลังบ้าน…”

“คะ” เธองุนงง

“ไม่มีอะไรจ้ะ” บงกชตอบ ก่อนหันไปพูดกับแม่บ้านผกา “ผกา เธอประคองฉันไปพักในห้องหน่อย ฉันเวียนหัว”

กลีบบัวมองแม่บ้านประคองแม่ของพิสชาไกลออกไป เหลือแค่เธอและธีรดนย์ หญิงสาวลอบมองเขา อีกฝ่ายมีสีหน้าเย็นชาจนกลีบบัวไม่กล้าเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงพฤติกรรมของตัวเองในตอนที่เธอจำไม่ได้

“พี่ธีร์ทานน้ำก่อนไหมคะ” เธอรั้งไว้ตอนเขาเปิดประตูรถเตรียมจะกลับ

ธีรดนย์มองเธอ แค่นยิ้ม “ไม่ต้องหาเรื่องคุยหรอก เรื่องระหว่างพี่กับกลีบบัวจบไปแล้ว และงานแต่งของเราก็ยังมีเหมือนเดิม แต่ขอให้จำไว้ด้วยนะว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักเลยสักนิดเดียว!”

พูดจบ ชายหนุ่มก็กระแทกประตูรถปิดดังปัง แล้วแล่นรถจากไปด้วยท่าทางรังเกียจราวกับกลีบบัวเป็นแมลงที่มีพิษร้ายอย่างไรอย่างนั้น

“หรือว่าคุณหนูพิสชามายึดร่างคืน แล้วพูดอะไรแปลกๆ งั้นเหรอ” กลีบบัวกลืนน้ำลาย “แล้วถ้าพิสชารู้ตัวว่าเราเป็นผีมาสิง แล้วให้พระมาสวดไล่ เราจะทำยังไงดีนะ มันจะน่ากลัวไหมเนี่ย”

กลีบบัวเริ่มคิดว่าตัวเองเป็นผีที่มาสิงพิสชาจริงๆ เธอเองก็ไม่ได้อยากอยู่ร่างนี้ แต่ไม่รู้จะออกไปอย่างไร แถมยังกลัวด้วยว่าถ้าออกจากร่างพิสชาไป ตัวเองจะกลายเป็นผีเร่ร่อนหรือเปล่า

“หรือว่าเราเป็นวิญญาณที่มีห่วง เลยไม่ยอมไปผุดไปเกิดกันนะ” หญิงสาวคิดจนปวดหัว “แถมป้ายมทูตก็หายไปเลย จะปรึกษาใครดีล่ะเนี่ย”

ในตอนที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก็มีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าในโปรแกรมไลน์ กลีบบัวมองภาพโปรไฟล์ผู้ติดต่อซึ่งเป็นภาพตัวอักษร T ตัวพิมพ์ใหญ่ ชื่อในไลน์ก็ใช้ชื่อว่า T

ในข้อความส่งโลเคชันมาให้ พอกดดูก็พบว่าเป็นคอนโดฯ แห่งหนึ่ง

 

สัมผัสแรกที่กลีบบัวรู้สึกตอนลืมตาตื่นคือเตียงนอนที่สัมผัสไม่เหมือนเตียงที่บ้านพิสชา เธอทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เตียงนอนมีผ้าปูเตียงสีดำ โทนเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ในห้อง เลยจากเตียงนอนเป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อิน กั้นฉากโซนโซฟา ทีวีจอแบนติดผนัง มุมทานอาหาร

กลีบบัวรู้สึกโล่งโจ้งแปลกๆ เธอมองเงาตัวเองในกระจก ตอนนี้หญิงสาวปล่อยผมยาวสยาย สวมชุดนอนบางเบาจนแทบมองทะลุเสื้อผ้าได้ แถมข้าวของบนโต๊ะเป็นของใช้ของผู้ชาย!

เธอไม่มีเวลามาวิเคราะห์ว่าพิสชามายึดร่างคืน แล้วแอบมาหาคนรัก หรือแม้กระทั่งวันนี้วันอะไร หญิงสาวรีบหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่วางบนพื้นมาแต่งตัวด้วยความไวแสง พอคว้ากระเป๋าถือได้ ก็รีบพุ่งไปยังประตูห้อง

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก กลีบบัวชะงัก

“เมื่อคืนจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย หวังว่าเราคุยกันเข้าใจดีแล้วนะ คุณห้ามมายุ่งเกี่ยวกับรุ้งเด็ดขาด เข้าใจไหม”

น้ำเสียงคุ้นๆ และชื่อเพื่อนสนิทของกลีบบัวทำให้เธอหันขวับไปมอง

ทัตพล แฟนหนุ่มของรุจิดายืนจังก้า สวมกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว เปลือยอก โชว์กล้ามเป็นมัดๆ ใบหน้าคมเข้มของเขาแข็งกร้าว

“อย่าให้เห็นนะว่าคุณแอบมาสะกดรอยตามผมกับรุ้ง อย่าคิดว่าผมไม่เห็นว่าคุณแอบมาด้อมๆ มองๆ ตอนผมกับรุ้งไปลองชุดแต่งงานนะ ผมเห็นคุณแอบที่ร้านกาแฟ รู้ไว้ซะด้วย!”

กลีบบัวชะงัก เธอไปแอบดูรุจิดาลองชุดเจ้าสาวจริงๆ หญิงสาวจำวันที่และร้านได้เพราะรุจิดาย้ำนักย้ำหนา

“คุณเป็นอะไรกับพิส…กับฉัน” กลีบบัวคุมเสียงไม่ให้สั่น บุคคลที่ใช้ชื่อว่า T และส่งโลเคชันมาให้พิสชาในไลน์คือทัตพลนี่เอง

“อย่ามาเล่นลิ้นได้ไหม ผมบอกคุณไปตั้งแต่แรกแล้วไงว่าผมมีแฟนแล้ว คุณเองก็โอเคนี่นา ที่จะมาสนุกกัน” ทัตพลตวาด “ตอนนี้ผมกำลังจะแต่งงานกับรุ้ง และรุ้งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก เพราะฉะนั้น เรามาจบเรื่องของเรากันได้แล้วนะ ไปรยา…เรื่องเมื่อคืนถือว่าแค่เผลอไผล และผมขอให้เราเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย”

“ไปรยา…” กลีบบัวทวนคำ

“ก็คุณขอให้ผมเรียกคุณด้วยชื่อนี้เอง พวกไฮโซก็อยากสร้างความตื่นเต้นด้วยการเป็นคนอื่นไม่ใช่เหรอ”

กลีบบัวจ้องมองอีกฝ่าย ตอนนี้เธอสับสนไปหมด

“ไปได้แล้ว ไปซะทีเหอะวะ!” ทัตพลกึ่งลากกึ่งผลักเธอจากห้อง แฟนหนุ่มท่าทางขี้อายของเพื่อนรัก กลายเป็นผู้ชายน่ากลัวที่จ้องมองเธอด้วยแววตารำคาญ

กลีบบัวรีบวิ่งออกจากคอนโดฯ อย่างไร้จุดหมาย เธอหารองเท้าไม่เจอจึงวิ่งออกมาเท้าเปล่า หญิงสาวมองโทรศัพท์ แต่ไม่รู้จะโทร.หาใคร แถมชุดที่เธอสวมก็รัดรูปจนกลีบบัวอดกังวลกับสายตาคนรอบข้างที่มองมาไม่ได้ เธอเดินไปตามถนนจนเจอม้านั่งรอรถเมล์ มีกลุ่มนักศึกษาชายหญิงยืนคุยกันอยู่ไม่ไกล

กลีบบัวเอามือดึงชายประโปรงสั้นจู๋ให้ปิดต้นขา ทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้รอรถเมล์ ปกติเวลามีอะไร กลีบบัวจะโทร.หารุจิดาที่เป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวของเธอ แต่ตอนนี้เธอโทร.หาเพื่อนรักไม่ได้อีกแล้ว

หญิงสาวสับสนไปหมด เธอเป็นผีมาสิงพิสชาจริงๆ เหรอ เสื้อผ้าหลายสไตล์ในห้องนอนพิสชาคืออะไร แล้วทำไมทัตพลเรียกเธอว่าไปรยา อีกอย่าง ผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แถมมีคู่หมั้นที่คู่ควรอย่างพิสชา จะมาเป็นชู้กับแฟนคนอื่นจริงๆ ละหรือ

กลีบบัวก้มมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวม พอนึกภาพว่าร่างนี้อยู่ในอ้อมกอดของแฟนเพื่อนสนิทตัวเอง และอาจจะทำอะไรๆ มากกว่านั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก

มืออันสั่นเทาของหญิงสาวเลื่อนดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ แต่ไม่รู้จะโทร.หาใคร เธอเห็นชื่อแดนไทเป็นรายชื่อติดต่อบ่อยที่สุด หญิงสาวนึกถึงชายหนุ่มร่างบึกบึน คิ้วเข้ม ผู้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ แล้วกดโทร.ออกโดยไม่รู้ตัว

 



Don`t copy text!