อาคันตุกะ บทที่ 4 : มีคนจะฆ่าพวกเรา

อาคันตุกะ บทที่ 4 : มีคนจะฆ่าพวกเรา

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

“เทน้ำเปล่าลงในหม้อ ตามด้วยผงวุ้นหนึ่งช้อนชา ค่อยๆ คนให้ผงวุ้นเข้ากับน้ำเปล่า แล้วแช่ทิ้งไว้สักสิบนาที ให้ผงวุ้นอิ่มตัวจ้ะ”

กลีบบัวตั้งใจฟังน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนสายน้ำรินของย่าฤดี พลางสูดกลิ่นหอมของส่วนผสมสำหรับทำวุ้นกะทิ เธออยู่ในครัวที่จัดวางอุปกรณ์อย่างเป็นระเบียบ…บรรยากาศของครัวช่างมีชีวิตชีวาและเป็นที่รัก

ที่นี่ชวนให้หญิงสาวคิดถึงบ้านเหลือเกิน วันหยุด กลีบบัวชอบเข้าครัวทำขนมกับย่าจงกล โดยมีกฤตและรุจิดาเป็นลูกมือ หญิงสาวชอบฟังเสียงน้ำเดือดปุดๆ สูดดมกลิ่นหอมของขนม ฟังเสียงติ๊งของเตาอบ ชอบภาพโต๊ะเตรียมอาหารที่มีข้าวของวางเต็มโต๊ะ รอให้คนปรุงอาหารเจียระไนให้เป็นอาหารรสเลิศ ห้องครัวจึงเป็นที่ปลอดภัยของกลีบบัวเสมอมา

และกลีบบัวก็หลงรักครัวที่บ้านแดนไทตั้งแต่แรกเห็น

หญิงสาวลอบมองแดนไทที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ริมตู้เย็น มองย่าฤดีและเธอทำขนม แววตาของเขาทอประกายพราวจนกลีบบัวใจสั่น ทำไมเธอจะเดาไม่ออก กลีบบัวพอจะรู้ใจแดนไทตั้งแต่ตอนฟื้นมาในร่างพิสชา ทั้งมือที่กุมมือพิสชาไว้แน่น แววตาอ่อนโยน และรอยยิ้มที่มีให้เสมอ

เธอเตือนตัวเองว่าคนที่แดนไทมองเห็นคือพิสชา ไม่ใช่เธอ แต่เสียงเตือนนั้นเบาลงทุกที

ตอนที่กลีบบัวโทร.หาแดนไท เขาถามสถานที่แล้วรีบมาหา ส่งเสื้อคลุมให้โดยไม่พูดอะไร แล้วพาหญิงสาวมาที่บ้าน หลังเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งและกางเกงที่ต้องพับขาหลายตลบของแดนไท ย่าฤดีก็ชวนเธอมาทำขนมด้วยกัน

กลีบบัวขอบคุณเหลือเกินที่คนทั้งสองไม่ถามอะไร และยังมอบที่หลบภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการอย่างที่สุดในตอนนี้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเดินโซซัดโซเซกลางทะเลทราย คอแห้งผาก แสบผิวเพราะแสงอาทิตย์แผดเผา แล้วมาเจอโอเอซิสโดยไม่คาดฝัน

ย่าฤดีเอาผงวุ้นมาตั้งไฟ ส่วนกลีบบัวคอยเติมกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น ตามจังหวะที่หญิงสูงวัยบอก เหมือนนักดนตรีบรรเลงเครื่องเล่นตามจังหวะของวาทยกร

กลีบบัวปิดเตา ตักแบ่งวุ้นมาผสมสี แล้วค่อยๆ เทใส่แม่พิมพ์รูปกลีบดอกบัว สีเหลืองสำหรับเกสร ส่วนดอกหญิงสาวใช้สีชมพูอ่อน ระหว่างรอให้วุ้นดอกบัวเซตตัว ใจของหญิงสาวค่อยๆ สงบลง

“จากนั้นเอาไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาสักครึ่งชั่วโมงจ้ะ” ย่าฤดียื่นถาดใส่แม่พิมพ์ให้ กลีบบัวส่งต่อให้คนหน้าตู้เย็นที่ยังคงมีรอยยิ้มในดวงตาตอนมองเธอ

“วุ้นกะทิดอกบัวเป็นเมนูโปรดของแดนเขาเลยนะ” หญิงสูงวัยกล่าว

กลีบบัวลอบมองแดนไท ระหว่างทำขนม ย่าฤดีเล่าว่าแดนไทเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารเรือนดอกบัวร่วมกับชินดนัย โดยแดนไทเป็นคนออกแบบร้านอาหาร คิดเมนู ซึ่งค่อนข้างขัดกับภาพลักษณ์แข็งแรงกำยำของชายหนุ่มหน่อยๆ หญิงสาวไพล่นึกถึงตัวร้านและเมนูอาหารที่มีดอกบัวเป็นตัวเอก

เท่าที่จำได้จากการค้นข้อมูลเกี่ยวกับคู่หมั้นของธีรดนย์ทางอินเทอร์เน็ต พิสชาแปลว่าดอกบัว…

กลีบบัวมองดวงตาพราวของแดนไท รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ

วุ้นดอกบัวสวยๆ ที่แดนไทหยิบจากตู้เย็นมาเทใส่จานทำให้เธอลืมความกลัว ความตกใจ ความสับสนทั้งหมด หญิงสาวจ้องมองดอกบัวสีชมพูอ่อนหอมกลิ่นกะทิอวดโฉม คลี่กลีบบานน่าทะนุถนอม

“ขอบคุณที่สอนทำขนมนะคะ สวยจนบัว เอ้ย! พิสชาไม่กล้าทานเลยค่ะ” เธอกล่าว

“หนูพิสชามาที่นี่อีกได้เสมอเลยนะจ๊ะ” ย่าฤดีส่งยิ้มอารี

“คิดถึงคุณย่าจัง” หญิงสูงวัยและบรรยากาศมีชีวิตชีวาของครัวชวนให้คิดถึงย่าจงกลเหลือเกิน

“คุณย่าเหรอ” แดนไทขมวดคิ้ว “คุณย่าของพิสชาเสียตั้งแต่พิสชายังไม่เกิดเลยนะ”

กลีบบัวสะดุ้ง เธอลืมว่าตัวเองอยู่ในร่างพิสชาอีกแล้ว หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้ดูปกติ ส่งยิ้มแก้เก้อให้แดนไท “ถึงไม่เคยเจอ แต่ก็คิดถึงไง เราว่าถ้าคุณย่าของเรายังอยู่ ท่านคงน่ารักและใจดีเหมือนย่าฤดีแน่ๆ เลย”

“วุ้ย อย่ามาแกล้งชมให้คนแก่ดีใจอยู่เลย ลองชิมขนมกันเถอะจ้ะ ไม่งั้นตาแดนกินหมดแน่ๆ”

กลีบบัวหัวเราะเต็มเสียงเป็นครั้งแรกนับแต่ตื่นมาในร่างพิสชา

 

แม่สวมชุดสีขาวราวนางฟ้า มีที่คาดผมรูปดวงดาวประดับผมยาวสยาย ในมือถือไม้กายสิทธิ์ ส่วนหัวเป็นดาว มีแสงระยับระยับสำหรับให้พรเด็กดี พี่ชายบอกว่ายาหยีเป็นเด็กดี แล้วกอดเธอ

พ่อแม่ไม่เคยกอดยาหยีเลย

เด็กหญิงนอนคว่ำหน้าบนพื้นห้อง มีหมอนรูปกระต่ายรองตรงอก เธอกำลังวาดภาพบนสมุดวาดเขียนด้วยสีเทียน ใช้สีชมพูวาดปากโค้งขึ้น ไม่นาน ภาพนางฟ้าแสนสวยก็เสร็จสมบูรณ์

ส่วนมากยาหยีจะวาดภาพจากสิ่งที่ได้เห็น เธอเคยเห็นภาพสมัยก่อนของแม่ เป็นภาพในงานเลี้ยงหรูหรา แม่ยืนควงแขนเพื่อนสนิท สีหน้าสดใส

ยาหยีเอามือเท้าคาง เด็กหญิงกำลังคิดว่าจะวาดแม่จูงมือเธอ แม้ในความเป็นจริงท่านแทบไม่แตะตัวยาหยีเลยด้วยซ้ำ แต่พี่ชายเคยบอกว่าในภาพวาด อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่นา

พอหยิบสีเขียว ประตูห้องนอนก็เปิดออกอย่างแรกจนยาหยีสะดุ้ง แม่เดินมาหา สีหน้าหงุดหงิด

แม่มองภาพนางฟ้าข้างน้ำพุในสวนสวย แล้วก้มลงกระชากสมุดวาดเขียนจากมือเธอ

“แกวาดอะไร”

ยาหยีตกใจจนพูดไม่ออก

“ฉันว่าแล้วว่าคนในสวนต้องเป็นแก สู่รู้! สาระแน!” แววเกลียดชังในน้ำเสียงเหมือนใบมีดกรีดหัวใจเด็กหญิงจนเป็นแผลเหวอะ “แกมันสร้างแต่เรื่อง แกเห็นอะไรบ้าง วาดอะไรไปบ้าง”

ยาหยียกมือพนม คุกเข่า เธอไม่รู้ว่าแม่โกรธอะไร แต่เด็กหญิงอยากให้แม่ยิ้ม เพราะนานๆ ทีแม่ก็จะส่งยิ้มให้เธอ “หนูผิดไปแล้วค่ะ หนูขอโทษค่ะ”

อีกฝ่ายมองสมุดวาดเขียน สะดุดตากับรอยฉีกในกระดาษหลายแผ่นก่อนหน้า

“รูปก่อนหน้านี้อยู่ไหน แกวาดอะไร”

ยาหยีสั่นศีรษะ เธอแค่วาดรูป แล้วคงหลับไป พอตื่นมาอีกทีรูปที่วาดก็โดนฉีก เด็กหญิงไม่รู้ว่าใครเอาไปซ่อน ไม่มีทางใช่พี่ชายแน่ๆ เพราะมีเพียงเขาที่ใจดีกับเธอ

“ฉันถามว่าแกวาดอะไร!”

ยาหยียังคงพนมมือ ตัวสั่นเทา เด็กหญิงไม่รู้ว่าควรตอบอะไรเพื่อให้แม่ยิ้มให้เธอ

“หนูไม่รู้ค่ะ หนูผิดไปแล้วค่ะ หนูขอโทษค่ะ”

“นังเด็กเวร พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” แม่ตวาด เงื้อมือขึ้นเหมือนจะตบ ยาหยีตกใจจนร้องไห้โฮ

นางฟ้าแสนสวยตรงหน้าเธอลดมือลง ฉีกสมุดวาดเขียนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปาใส่ยาหยี แล้วเดินจากไป

แผ่นหลังของแม่เป็นภาพที่เด็กหญิงคุ้นชินเสมอมา

 

ไม่ว่าอย่างไร กลีบบัวก็ไม่ชินกับห้องนอนสุดหรูของพิสชาเสียที

หญิงสาวทรุดนั่งบนเตียงสี่เสาราวเตียงเจ้าหญิง กวาดตาไล่มองตั้งแต่ตู้เสื้อผ้าไม้ฉลุลายดอกบัวบนผืนน้ำ โต๊ะเครื่องแป้งวางเครื่องสำอางและครีมบำรุงเรียงราย โต๊ะเขียนหนังสือและเก้าอี้นุ่มสบาย เก้าอี้พักผ่อนหรือที่เรียกกันว่าเก้าอี้ขี้เกียจสีครีมวางริมหน้าต่าง เปิดออกไปจะเห็นวิวสวยสวนสบายตา

เจ้าของห้องเป็นคนอย่างไรกันแน่นะ ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกแสนสมบูรณ์แบบ มีบรรยากาศเข้มงวดเย็นชาอบอวลทั่วบ้าน ทัตพลเรียกพิสชาว่าไปรยา แถมยังน่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสอง ไหนจะช่วงเวลาที่หายวับไปราวกลีบบัวกำลังขับรถแล้วมีคนสลับมาประจำตำแหน่งแทน พอกลีบบัวมาคุมรถตรงที่นั่งคนขับอีกที ก็มาถึงสถานที่แปลกๆ ที่เธอไม่รู้จัก

หญิงสาวค้นห้องพิสชาด้วยความรู้สึกสับสน แถมยิ่งไม่เข้าใจหนักไปอีก เมื่อมายืนมองข้าวของที่ดูไม่เข้าพวกกันเลย ที่เธอทยอยเอามาวางเรียงบนโต๊ะทำงาน

ทั้งเสื้อผ้าต่างสไตล์…เสื้อผ้าโทนสีขาวสไตล์เรียบหรู ชุดสีดำในโทนสง่า ชุดสีดำแบบเซ็กซี่ กลีบบัวค้นเจอสมุดวาดเขียนของเด็กมัธยมต้น หน้าแรกเขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิดอายุ 13 ขวบ’ ในสมุดเต็มไปด้วยภาพผีเสื้อและดอกไม้สีสันสดใส แต่ลายเส้นและสไตล์ดูยังไงก็ภาพเด็กวาด ต่างจากรูปสวยๆ ในห้องวาดภาพของพิสชาลิบลับ

กลีบบัวค้นข้าวของที่ซื้อมาจนเจอสมุดบันทึกสีฟ้า หญิงสาวทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ กวาดของบนโต๊ะพอให้มีที่วางสมุด เธอเริ่มไล่ผังครอบครัวของตัวเองและธีรดนย์ รวมทั้งคนรู้จักของทั้งคู่

หน้าต่อมา กลีบบัววาดตารางด้วยมือสั่นเทา ค่อยๆ ลงรายละเอียดที่ตัวเองปะติดปะต่อได้ในสมุด

หญิงสาวมองข้อความบนสมุดด้วยความรู้สึกสับสน ตอนแรกเธอตั้งใจจะเขียนว่าพิสชาที่ตัวเองสัมผัสได้เป็นคนอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่กลายเป็นเธอกำลังพูดถึงคนสามคนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ผู้หญิงที่แต่งตัวสไตล์เซ็กซี่และคบหากับทัตพลลับๆ ดูยังไงก็เป็นคนละคนกับพิสชาในภาพลักษณ์ที่สวมชุดสีดำหรูหราแบบตอนที่กลีบบัวเจอในงานนิทรรศการภาพวาด และเป็นคนละคนกับเจ้าของสมุดวาดเขียนแน่ๆ

“มันยังไงกันเนี่ย” หญิงสาวพึมพำ ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้า

หญิงสาวนึกถึงข้อความ ‘เธอเป็นใคร’ ในห้องวาดภาพของพิสชา คราวก่อน กลีบบัวมัวแต่ตกใจกับข้อความใต้ผ้าคลุมบนขาตั้งวาดรูป จนยังไม่ได้สำรวจห้องดีๆ บางทีหญิงสาวอาจเจออะไรบางอย่างที่จะช่วยบอกว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไรอยู่

 

ห้องวาดภาพยังคงกินอาณาบริเวณกว้างขวางชวนตะลึงแม้จะเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้กลีบบัวไล่สายตาไปยังภาพวาดแต่ละภาพอย่างละเอียดจนตาล้า รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นเกมจับผิดภาพ พอดูดีๆ มีจุดแปลกๆ ในภาพวาดที่เรียงรายในห้อง แต่กลีบบัวไม่แน่ใจว่าคืออะไร

เธอทรุดนั่งบนเก้าอี้พนักพิง สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของเก้าอี้นวมที่โอบล้อมเอาไว้ ระหว่างที่กำลังหลับตาผ่อนคลาย กลีบบัวรู้สึกได้ถึงก้อนสี่เหลี่ยมนูนดันหลังเธอจากพนักพิง หญิงสาวสปริงตัวมานั่งหลังตรง ค่อยๆ ควานหารอยตะเข็บตรงพนักพิงของเก้าอี้ จนเจอช่องที่สอดมือเข้าไปได้

กลีบบัวล้วงมือไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา เป็นสมุดโน้ตขนาดเอห้าเล่มบาง ภายในมีลายมือหวัดๆ เขียนไว้

“ไดอารี่ของพิสชา!” กลีบบัวอุทาน

แต่สมุดเล่มนี้ไม่ใช่ไดอารี่ของพิสชา มีชื่อ ‘รัดเกล้า’ และภาพวาดล้อตัวเองบนหน้าปกรองใน ภาพวาดล้อเป็นรูปหญิงสาวร่างสูงโปร่ง สวมเดรสสีดำให้ความรู้สึกหรูหรา…น่าแปลก รูปการ์ตูนของคนชื่อรัดเกล้าดูเหมือนภาพลักษณ์ของพิสชาที่กลีบบัวรู้จัก

หญิงสาวนึกขออนุญาตเจ้าของสมุด ก่อนจะเปิดหน้าไดอารี่แบบเร็วๆ สมุดบันทึกจบลงช่วงก่อนกลีบบัวโดนรถชนไม่นาน เธอไล่สายตาอ่านข้อความหน้าหนึ่งในสมุดด้วยความสับสน

 

งานแต่งใกล้เข้ามาทุกที อีกไม่กี่วันต้องไปลองชุดเจ้าสาว พี่ธีร์ในชุดเจ้าบ่าวคงดูดีมากๆ เรื่องน่าหงุดหงิดคือความทรงจำหายบ่อย ชุดเดรสสีดำเซ็กซี่วางเกลื่อนทั่วห้อง ไปรยาเป็นบุคลิกที่อันตรายเสียยิ่งกว่าตัวพิสชาเองเสียอีก ไปรยาคาดเดาไม่ได้ ทำตามใจตัวเอง และอ่อนไหวเกินไป ฉันไม่เข้าใจว่าบุคลิกนี้มีประโยชน์อะไรกับร่างนี้กันแน่ ชีวิตของฉันกำลังจะสมบูรณ์แบบ จะได้แต่งงานกับทายาทนักธุรกิจที่เหมาะสม จัดแสดงผลงานศิลปะ ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำพังหรอกนะ

 

“บุคลิก” กลีบบัวทวนคำ “ยังไงกันนะ”

เธอปิดสมุดบันทึก ข้อความในนั้นชวนปวดหัวเสียจนหญิงสาวยอมยกธงขาว หญิงสาวเดินไปหน้าภาพวาดที่มีข้อความแปลกๆ เปิดผ้าคลุมภาพที่ปิดไว้เพราะอยากเทียบลายมือกับในไดอารี่ ทว่าข้อความนั้นหายไปเหมือนมีคนมาฉีกกระดาษทิ้ง แต่กลับมีข้อความใหม่เขียนด้วยพู่กัน ตัวอักษรสีดำลายมือหวัดๆ แบบเดียวกับลายมือในสมุดบันทึกไม่มีผิด

‘ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าพวกเรา’

หญิงสาวตัวแข็งทื่อ เธอถลันไปยังมุมชั้นวางของ ที่วางอุปกรณ์เกี่ยวกับการวาดรูปเอาไว้ ก่อนหน้านี้ กลีบบัวแอบติดตั้งกล้องวงจรปิด เพราะอยากรู้ว่าใครเป็นคนเขียนข้อความ ‘เธอเป็นใคร’ บนกระดาษวาดภาพ

หลังเชื่อมต่ออุปกรณ์กับโทรศัพท์มือถือ กลีบบัวก็นั่งดูภาพห้องวาดภาพว่างๆ ที่อัดไว้ กระทั่งดึกสงัด ประตูห้องเปิดออก ไฟสว่างจ้า ผู้หญิงร่างระหง ปล่อยผมยาวสยาย สวมเสื้อคลุมลายลูกไม้เรียบหรูทับชุดนอน เดินตรงมาทางกระดาษที่เขียนข้อความเอาไว้ หญิงสาวดึงระดาษออกมาฉีกแล้วขยำทิ้ง จากนั้นก็หยิบกระดาษเปล่าแผ่นใหม่มายึดกับขาตั้ง เอาพู่กันที่วางข้างๆ จุ่มสีน้ำ แล้วเขียนขอความขอให้ช่วยบนกระดาษ จากนั้นก็เดินมาปิดไฟ แล้วออกจากห้อง

กล้องวงจรปิดจับภาพใบหน้าของบุคคลปริศนาเอาไว้ถนัดถนี่

และคนคนนั้นก็คือเธอนั่นเอง!

 

 กลีบบัวติดนิสัยนับวันเวลาในยามตื่นนอน สำรวจเสื้อผ้า สิ่งของรอบตัว บรรยากาศ ผู้คน เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เผลอทำเวลาในชีวิตหล่นหายไปไหน

เธอใช้ชีวิตในฐานะพิสชาได้เก่งขึ้น เรียนรู้จะอ่านบรรยากาศเย็นยะเยือกในบ้าน ทำเหมือนไม่มีตัวตน ชินกับการทานข้าวคนเดียว และแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับพ่อแม่เวลาออกงานสังคม สิ่งที่เป็นของขวัญในการอยู่ในร่างพิสชาคือเพื่อนๆ ของหญิงสาว ย่าฤดี ห้องครัวบ้านแดนไท นัยน์ตาพราวของชายหนุ่มเป็นที่ที่กลีบบัวได้พักจากการแสร้งเป็นคนอื่น เวลาทำอาหารกับย่าฤดี หญิงสาวรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นกลีบบัวคนเดิมอีกครั้ง…คนที่กังวลกับหุ่นของตัวเอง หมุนเงินใช้ไม่ทันในบางเดือน แต่ก็มีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข ทันทีที่เข้าครัวเตรียมทำอาหาร หญิงสาวเผลอฮัมเพลง รู้สึกราวโลกทั้งใบเป็นของเธอ

กลีบบัวเจอชินดนัย หุ้นส่วนธุรกิจของแดนไทบ้างนานๆ ครั้ง เวลาแวะไปร้านอาหารเรือนดอกบัว ส่วนอธิน เพื่อนอีกคนของพิสชา ก็มักแชตคุยเรื่องต่างๆ กันในไลน์กลุ่มเพื่อนสนิท อธินคุยสนุกและมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในงานผู้ประกาศข่าวมาซุบซิบตลอด เขาทำให้เธอหายคิดถึงรุจิดาได้บ้าง แต่มุกตาภา แฟนสาวของอธินดูจะไม่ชอบกลีบบัวแปลกๆ แม้เจ้าตัวจะวางท่าเหมือนไม่มีอะไร แต่บางครั้งกลีบบัวก็อดรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กับสายตาทิ่มแทงของมุกตาภาไม่ได้

ข้อความแปลกๆ บนกระดาษ สมุดบันทึกของคนชื่อรัดเกล้า และภาพในกล้องวงจรปิดดูห่างไกลราวความฝัน

จนกระทั่งงานเปิดตัวแบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของธีรดนย์

งานเลี้ยงยามบ่ายจัดอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเองบริเวณสวนสวยด้านหลังบริษัทอาหารเพื่อสุขภาพ ใจกลางคือลานน้ำพุหินอ่อนรูปปั้นเทพคิวปิดขนาดเท่าคนจริงกำลังแผลงศร มีโต๊ะเก้าอี้จัดวางตามมุมต่างๆ ของสวนต้นไม้รอบลานน้ำพุ แซมด้วยกระถางไม้ใบสีสวย เสียงบรรเลงเปียโนสดจากนักเปียโนชวนให้รู้สึกราวตกในมายาฝัน

กลีบบัวในชุดเดรสสีขาวรัดรูปความยาวประมาณเข่า แต่งหน้าอ่อนๆ ปล่อยผมดำขลับยาวสยาย เดินตรงไปยังเจ้าของงานที่ยืนใจกลางวงล้อม ธีรดนย์โดดเด่นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ราวกับมีออร่าบางอย่างพุ่งออกมาจนชวนตาพร่า

คู่หมั้นหันมาสบตาเธอ ส่งยิ้มให้ ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เขายิ้มบ่อยเวลาเจอเธอ ทำให้อดคิดถึงช่วงเวลาตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ แววตาของธีรดนย์อ่อนโยนเกือบๆ จะเหมือนตอนนั้น น่าแปลกที่กลีบบัวไม่ถึงกับโหยหารอยยิ้มหรือแววตานั้นเท่าเก่าอีกแล้ว เพียงแค่คิดถึงเหมือนเวลานึกถึงความทรงจำเก่าๆ

ธีรดนย์ผละจากแขกในงานและพุฒิเมธ-เลขาฯ ส่วนตัว แล้วเดินตรงมาหาเธอ กลีบบัวสบตาเลขาฯ ของธีรดนย์แวบหนึ่ง พุฒิเมธขมวดคิ้ว มองเธอด้วยสีหน้าบึ้งตึงแปลกๆ เธอแทบไม่ได้คุยกับอีกฝ่ายเลย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบเธอนัก กลีบบัวอดสงสัยไม่ได้ว่าพิสชาที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ไปทำอะไรให้เลขาฯ ของคู่หมั้นไม่พอใจกันนักหนา

ธีรดนย์ยื่นมือให้เธอ กลีบบัววางมือเล็กน่าทะนุถนอมของพิสชาบนฝ่ามือแข็งแรงนั้น

“ขอบคุณที่มางานนะครับ พิสชา” คู่หมั้นยิ้มอบอุ่น กลีบบัวรู้สึกเจ็บแปลบหน่อยๆ ที่อดีตสามียิ้มให้คนอื่น แม้ว่าภายในตัวพิสชาจะเป็นเธอ แต่อย่างไรคนที่ธีรดนย์มองเห็นก็คือพิสชา

ตากล้องขอถ่ายภาพเธอและธีรดนย์รัวๆ จนกลีบบัวตาพร่า แดนไทเป็นผู้ช่วยชีวิต พาเธอไปรวมกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่รออยู่ก่อนแล้ว เธอส่งยิ้มให้อธินและชินดนัยด้วยความโล่งอกที่รอดชีวิตมาจากแสงแฟลชมหาภัยของกล้องถ่ายรูป นึกเห็นใจพิสชาที่น่าจะต้องเผชิญกับอะไรแบบนี้บ่อยๆ ในฐานะสาวสังคมที่ใครต่อใครจับตามอง

บริกรหนุ่มร่างสูง อายุสักยี่สิบต้นๆ เดินถือถาดขนมมาเสิร์ฟ กลีบบัวรับเค้กขนาดพอดีคำในจานกระดาษมาถือ กลิ่นวานิลลาหอมกรุ่นโชยมาแตะจมูก

‘อย่ากินนะ!’

เสียงผู้หญิงตะโกนอยู่ใกล้ๆ กลีบบัวตกใจจนเผลอปัดขนมไปโดนเสื้อพนักงานเสิร์ฟ เค้กหล่นลงไปบนพื้น กลีบบัวขยับจะขอโทษบริกร แต่สายตาเธอมองตามแดนไทที่ดมขนมเค้กในจานตัวเอง ตักมาชิมคำหนึ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ในนี้มีถั่ว!” แดนไทเบิกตาโพลง

บริกรหน้าซีดเผือด รีบวิ่งออกไป กลีบบัวมองตาม ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ถั่วเหรอ!” อธินโวยวาย “นี่พิสชา เธอยังไม่ได้ทานเค้กใช่ไหม”

“บริกรที่เอามาเสิร์ฟหายไปไหนแล้ว” ชินดนัยโพล่งขึ้น

ธีรดนย์คงสังเกตเห็นความวุ่นวาย จึงสาวเท้ามาหาโดยมีพุฒิเมธตามมาด้วย พอได้ยินว่าบริกรเสิร์ฟเค้กที่มีส่วนผสมของถั่ว คู่หมั้นของพิสชาก็ทำหน้าแปลกใจ

“ไม่มีทาง!” ธีรดนย์พูด “คุณแม่ช่วยคุมการจัดงานเลี้ยงแบบละเอียดสุดๆ ไม่มีทางมีอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วในงานเด็ดขาด” พูดจบก็หันมามองเธอด้วยแววตากังวล “พิสชาได้ทานเค้กไปรึยัง”

หญิงสาวส่ายหน้า

“โล่งอกไปที” คนตรงหน้าพูด แล้วหันไปสั่งเลขาฯ ส่วนตัว

“คุณเมธ ตามบริกรไปหน่อย เช็กว่าเขาเป็นคนที่เราจ้างมาจริงไหม แล้วก็ตรวจสอบเรื่องถั่วด้วย”

พุฒิเมธรับคำ มองกลีบบัวด้วยแววตาห่วงใย แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป

“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมพิสชา เจ็บคอ เป็นผื่น หรืออะไรไหม” ธีรดนย์ถามย้ำด้วยท่าทางร้อนใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ” กลีบบัวเพิ่งถึงบางอ้อว่าพิสชาคงแพ้ถั่ว “ยังไม่ได้ทานค่ะ แดนทักขึ้นมาก่อนว่าเค้กมีถั่ว อีกอย่าง…”

เธอชะงัก ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องห้ามไม่ให้ทานเค้ก อีกเรื่องที่อธิบายไม่ได้ที่สุด คือข้อความในกระดาษบนขาตั้งวาดภาพ ที่กล้องวงจรปิดเป็นตัวยืนยันว่ากลีบบัวนี่แหละเป็นคนเขียนข้อความนั้นเองกับมือ

‘ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าพวกเรา’

 



Don`t copy text!