อาคันตุกะ บทที่ 5 : อาคันตุกะ

อาคันตุกะ บทที่ 5 : อาคันตุกะ

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

กลีบบัวจ้องมองข้อความในสมุดจดที่เธอใส่รายละเอียดข้อมูลไว้ สลับกับไล่อ่านข้อความในไดอารี่ของรัดเกล้าที่ซ่อนไว้ในเก้าอี้ของห้องวาดภาพ หญิงสาวยังอยู่ในชุดนอนลายโดราเอมอน นั่งขัดสมาธิบนเตียงสี่เสาในห้องพิสชา นั่งท่านี้ตั้งแต่กลับจากผับ หลังไปงานเลี้ยงของธีรดนย์แล้วกระมัง

เธอยืดตัวตรง บิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้า รู้สึกเพลีย แต่สมองกลับตื่นเต็มที่ กลีบบัวพยายามไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่งานเลี้ยงเปิดตัวแบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพของธีรดนย์ มีเสียงตะโกนตอนที่กลีบบัวกำลังจะทานเค้กที่มีถั่วผสม พอมาคิดดีๆ เสียงนั้นเหมือนดังมาจากในหัว กลีบบัวคิดว่าใครคนนั้นคือคนเดียวกับที่เขียนข้อความ ‘เธอเป็นใคร’ และ ‘ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าพวกเรา’ บนกระดาษในห้องวาดภาพ

ชื่อ ‘รัดเกล้า’ ปรากฏขึ้นมาเป็นชื่อแรก จากไดอารี่ที่กลีบบัวอ่านคร่าวๆ รัดเกล้าบันทึกเรื่องราวของพิสชาละเอียดมากๆ ทั้งเรื่องหมั้นกับธีรดนย์ มีแม้กระทั่งเรื่องที่จ้างนักสืบมาสะกดรอยตามกลีบบัวที่เป็นภรรยาเก่าของคู่หมั้นตัวเอง เรื่องการเตรียมนิทรรศการภาพวาด แต่มีบางครั้งที่รัดเกล้าเขียนระบายเรื่องที่ช่วงเวลาของตัวเองหายไป และเขียนถึงผู้หญิงชื่อ ‘ไปรยา’ ที่มาควบคุมร่างแทน และน่าจะเป็นเจ้าของเสื้อผ้าสไตล์เซ็กซี่ในห้องนอน บางครั้งก็พูดถึงภาพวาดลายเส้นของเด็กผู้หญิงอายุราวสิบสามปีที่เจอตามุมต่างๆ ของห้องนอนและห้องวาดภาพ

ในหน้าล่าสุดของสมุดบันทึก เล่าถึงตอนไปทานอาหารที่บ้านธีรดนย์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ในบันทึกเขียนไว้ว่า

ไม่ชินกับการต้องคอยนึกว่าวันนี้วันอะไร และตัวเองอยู่ที่ไหนเอาซะเลย ไม่รู้ใครควบคุมร่าง แต่มาโผล่ที่หน้าบ้านพี่ธีร์ ผมยุ่ง หายใจหอบเหมือนวิ่งหนีอะไรมา แค่มองเล็บที่โดนกัดก็พอเดาออก ยัยขี้ตื่นยาหยีคงกลัวอะไรสักอย่างแล้วหลบไปข้างใน

ดูเหมือนจะมีดินเนอร์มื้อเย็นกับครอบครัวพี่ธีร์ คู่หมั้นสุดหล่อของฉันดูคอยห่วงใยกันแปลกๆ ฉันว่าพี่ธีร์อาจจะจับได้ว่าฉันตามสืบเรื่องภรรยาเก่าของเขาที่ชื่อกลีบบัว พอบอกไปว่าฉันไม่สนเรื่องกลีบบัวอะไรนั่น เพราะไม่ว่ายังไงพีธีร์และฉันก็ต้องแต่งงานกันตามที่พวกผู้ใหญ่ตกลงไว้ เขาก็กลับไปเย็นชาใส่แบบที่เคยเป็นมาตลอด แบบนี้สิถึงจะสบายใจ รู้ไส้รู้พุงกันอยู่แล้ว จะเล่นละครว่ารักกันปานจะกลืนกินไปทำไม

แต่ดูเหมือนใครบางคนข้างในจะออกมาแล้วทำให้พี่ธีร์มีท่าทีเปลี่ยนไป หวังว่าจะไม่ใช่ตัวปัญหาอย่างไปรยานะ หรือจะเป็นเพราะบุคลิกใหม่ บางที ถ้าหาวิธีสื่อสารกัน อาจช่วยให้เอาตัวรอดได้

กลีบบัวปิดสมุดบันทึก เธอเข้าใจสาเหตุที่ธีรดนย์มึนตึงใส่ตอนเธอไปทานข้าวที่บ้านเขาแล้ว รัดเกล้าคงมารับหน้า ดูเหมือนความสัมพันธ์ของคู่หมั้นหนุ่มและบุคลิกหลักของพิสชาจะไม่ดีนัก แถมรัดเกล้ายังดูกังวลกับการพยายามเอาตัวรอด แต่จากใครกันนะ คำว่า ‘ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าพวกเรา’ หมายถึงอะไรกันแน่

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงมานั่งมองคำที่ตัวเองค้นหาอีกครั้ง

‘Dissociative Identity Disorder : โรคหลายบุคลิก หรือโรคหลายอัตลักษณ์’

เท่าที่ไล่ค้นข้อมูล โรคหลายบุคลิกเป็นโรคทางจิตเวช ผู้ป่วยจะมีอัตลักษณ์มากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ระบบความจำ การรับรู้ ความคิด ความรู้สึกแยกขาดออกจากกัน

ทั้งรัดเกล้า ไปรยา เด็กหญิงวัยสิบสามที่ชอบวาดรูป ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ร่วมกันในร่างพิสชา ดูเหมือนจะมีเพียงรัดเกล้าที่สงสัยถึงช่วงเวลาในชีวิตของตัวเองที่ขาดหายไป และระแคะระคายถึงการมีอยู่ของบุคลิกอื่น

กลีบบัวคิดว่าไปรยาและเด็กหญิงที่ชอบวาดภาพเองก็คงสงสัยเล็กๆ ว่าทำไมตัวเองถึงไปโผล่ในสถานที่แปลกๆ แต่อาจไม่ระแคะระคาย และคิดว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป การที่กลีบบัวสลับมาในร่างพิสชา ทำให้เธอมองเห็นภาพรวมได้ชัด จนสามารถสัมผัสถึงผู้หญิงทั้งสามคนในร่างของพิสชาได้

จะว่าไป กลีบบัวเป็นเหมือนอาคันตุกะที่เข้ามาทำความรู้จักกับสมาชิกในบ้านที่ชื่อว่าพิสชา บ้านหลังนี้น่าจะกว้างใหญ่มาก บางคนรับรู้ถึงคนอื่นๆ แต่บางคนก็ไม่

ที่น่ากังวลคือสมาชิกบางคน…ซึ่งน่าจะเป็นรัดเกล้า ส่งสัญญาณเตือนว่าพิสชาตกอยู่ในอันตราย ยิ่งมาเจอเหตุการณ์ที่บริกรเสิร์ฟขนมที่มีถั่วผสม ทั้งที่คู่หมั้นเจ้าของงานอย่างพิสชาแพ้ถั่ว ยิ่งช่วยย้ำถึงความจริงจังในคำเตือนนั้น มาถึงตอนนี้ กลีบบัวมั่นใจว่ารัดเกล้านั่นเองที่เป็นคนส่งเสียงเตือนไม่ให้กลีบบัวทานขนม เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการสลับอัตลักษณ์นัก แต่คิดว่าร่างของพิสชาคงรู้ว่าจะมีภัย จึงส่งรัดเกล้าออกมาเตือนกลีบบัวเรื่องขนม

กลีบบัวเคยได้ยินเรื่องโรคหลายอัตลักษณ์ผ่านภาพยนตร์แนวระทึกขวัญที่กฤต-พี่ชายของเธอชอบดู อย่างเช่น

  • Split จิตหลุดโลก เล่าเรื่องชายที่มีอาการทางจิตเภทหลายบุคลิก ลักพาตัวเด็กสาวมาขัง
  • Identity คนสิบเอ็ดคนมาอยู่รวมกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เชื่อมโยงกับนักโทษที่กำลังรักษาโรคบุคลิกภาพซ้ำซ้อนที่แสดงออกมาเป็นสิบเอ็ดบุคลิก
  • Psycho เรื่องของหญิงสาวที่พักในโรงแรมของชายหนุ่มผู้ติดแม่

พอมาคิดดู มีภาพยนตร์และหนังสือเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหลายบุคลิก หลายๆ เรื่องดัดแปลงจากเรื่องจริง แต่ผู้คนยังเข้าใจในโรคนี้น้อยมาก อย่างกลีบบัวเองก็รู้แค่ว่าผู้ป่วยจะมีอัตลักษณ์ต่างๆ สลับกันออกมามีบทบาทในชีวิตประจำวันของร่างหลัก แต่แผลใจเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เราไม่มีทางรู้ว่าคนที่เดินสวนกันทุกวันกำลังเจ็บเจียนตายจนต้องแบ่งจิตใจเป็นเศษเสี้ยว สร้างตัวตนต่างๆ เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป

กลีบบัวเริ่มต้นค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตตั้งแต่เจอไดอารี่เล่มนี้ จนมาเจอแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยม เธอเปิดคลิปวิดีโอของแพทย์หญิงดาริกา แพทย์สาววัยสามสิบต้น ผมตรงยาว แววตาจริงจัง เจ้าของเพจเรื่องโรคหลายบุคลิกในเฟซบุ๊ก

“โรคหลายบุคลิกมักเกิดจากที่ผู้ป่วยได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงค่ะ” แพทย์หญิงนั่งพิงเก้าอี้นวม ประสานมือวางบนโต๊ะสีน้ำตาลมะฮอกกานี มีของประดับเป็นไม้ใบสีสวยในกระถาง ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย “บางครั้งเหตุการณ์นั้นอาจหนักหนาเกินจะรับไว้ ร่างกายของผู้ป่วยเลยสร้างกลไกป้องกันตัวเองขึ้นมา เปลี่ยนเป็นอีกอัตลักษณ์หนึ่งเพื่อตัดขาดจากความทรงจำและตัวตนเดิมเพื่อให้ผู้ป่วยอยู่รอดโดยที่ไม่แตกสลายค่ะ”

กลีบบัวเอนตัวพิงหมอนหนุน ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ…ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างพิสชาเจอกับเหตุการณ์อะไรมา จนทำให้จิตใจแตกเป็นเสี่ยงๆ กันนะ

“โรคทางจิตใจเป็นโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าค่ะ” แพทย์หญิงดาริกาในคลิปวิดีโอเอนตัวมาด้านหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “ต้องใช้ใจในการมองคนรอบตัวว่าเขามีอาการผิดปกติหรือเปล่า ซึ่งถ้าตรวจพบได้เร็วก็จะช่วยในการรักษาค่ะ อย่างโรคหลายบุคลิกเป็นโรคที่พบได้ยาก แต่สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย อาการมีได้ทั้งไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเลยค่ะ”

หญิงสาวปิดคลิปวิดีโอ แล้วเดินไปยังห้องวาดภาพ จดจ่อความสนใจไปยังกระดาษบนขาตั้งวาดภาพ ตอนที่เห็นข้อความขอให้ช่วย กลีบบัวเขียนข้อความตอบไปว่า ‘คุณรู้อะไรบ้าง’ ซึ่งจวบจนตอนนี้ หญิงสาวก็ยังไม่ได้รับคำตอบเพิ่มเติม

กลีบบัวทรุดนั่งบนเก้าอี้นวม รัดเกล้าที่เป็นบุคลิกหลัก น่าจะมาวาดภาพที่ห้องนี้บ่อยๆ การอยู่ในที่ที่บุคลิกนั้นๆ คุ้นเคย อาจทำให้เผยอัตลักษณ์ได้ง่ายขึ้น

หญิงสาวหาวแล้วหาวอีกจนน้ำตาไหล เธอรอสัญญาณอะไรก็ได้ เสียงในหัว การปรากฏตัวของอัตลักษณ์อื่นๆ แต่สิ่งที่ได้รับคือความปวดเมื่อยจากการนั่งนานเกินไป

กลีบบัวพักสายตา พยายามไล่เรียงความคิด

ผ่านไปราวห้านาทีกระมัง กลีบบัวลืมตา ทว่าแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านห้องวาดภาพกลับเป็นแสงยามเช้า พระอาทิตย์ส่องสว่างเหนือทิวทัศน์สวนสวยตกแต่งอย่างเป็นระเบียบนอกหน้าต่าง

มีอีกอัตลักษณ์ปรากฏตัวขึ้น!

กลีบบัวหันมากวาดตามองรอบห้องวาดภาพ เพื่อมองหาร่องรอยของใครอีกคนที่ ‘ออกมา’ ระหว่างที่กลีบบัวหายไป ซึ่งใช้เวลาไม่นานเลย

กล้องวงจรปิดที่หญิงสาวซ่อนไว้ บัดนี้วางข้างเก้าอี้ที่กลีบบัวนั่ง ข้างๆ คือสมุดจดส่วนตัวที่กลีบบัวหยิบติดมือมา ใครบางคนเปิดสมุดค้างไว้ ในนั้นมีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เติมข้อมูลเพิ่มในช่องตารางที่กลีบบัวบันทึกข้อมูล

หญิงสาวนั่งมองลายมือหวัดๆ ของรัดเกล้า เจ้าตัวคงปะติดปะต่อการมีอยู่ของบุคลิกต่างๆ มานานพอควร มันน่าจะยากที่รัดเกล้าต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเพียงบุคลิกหนึ่งในร่างพิสชา สิ่งนี้ช่วยยืนยันความหนักแน่นของอีกฝ่าย และทำให้เจ้าหล่อนกลายเป็นบุคลิกหลักของร่างนี้

“ว่าแต่…ทำไมถึงห้ามพิสชาตื่นนะ” กลีบบัวสงสัย “แล้ว…” เธอชะงัก ลังเลที่จะพูดถึงข้อสงสัยอีกข้อของตัวเอง

มันคือคำถามที่ว่า อัตลักษณ์ของพิสชาที่แดนไทหลงรัก คือบุคลิกไหนกันนะ

 

กลีบบัวผลักประตูกรุกระจกของร้านกาแฟโทนมินิมอล ใช้สีขาวเป็นธีมหลักของร้าน เป็นเรื่องบังเอิญที่นาถนพินนัดเธอมา ‘นั่งทานกาแฟด้วยกัน’ ร้านเดียวกับที่อดีตแม่สามีชวนกลีบบัวในร่างเดิมมาดื่ม ตอนที่ขอให้หญิงสาวปล่อยธีรดนย์ไป และที่บังเอิญยิ่งกว่านั้นคือวันนี้ร้านกาแฟมีลูกค้าจับจองเต็มร้าน เหลือที่นั่งตำแหน่งเดิมกับที่กลีบบัวเคยนั่งคุยกับนาถนพินก่อนหน้านี้เพียงตัวเดียว

หญิงสาววางกระเป๋าถือบนโต๊ะ จัดแจงชุดเดรสสีขาวลายดอกไม้ให้เรียบร้อย นั่งรอไม่นาน นาถนพินก็ทรุดนั่งตรงหน้า หญิงสูงวัยสวมเสื้อเชิ้ตเรียบกริบ สอดชายเสื้อในกางเกงสแล็กสีดำดูทะมัดทะแมงและเรียบหรูในเวลาเดียวกัน

พนักงานเสิร์ฟยื่นเมนูอาหาร กลีบบัวสั่งชาพีช ส่วนอดีตแม่สามีสั่งกาแฟร้อน

หญิงสาวยกมือไหว้นาถนพิน แม่ของธีรดนย์ส่งยิ้มให้ “หนูพิสชาดูซูบไปนิดๆ นะจ๊ะ ต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวได้แล้วนะ”

กลีบบัวสะอึก เธอมัวแต่วุ่นกับการคอยสังเกตว่าจะมีบุคลิกของพิสชาปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ จนลืมคิดไปเสียสนิทว่าพิสชาและธีรดนย์ต้องแต่งงานกัน

“เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว และเลิกสนใจเรื่องเก่าๆ ของตาธีร์เถอะนะจ๊ะ” นาถนพินพูดหลังจิบกาแฟที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ

“เรื่องเก่าๆ” กลีบบัวทวนคำ

“หนูพิสชาไปเจอรุ้ง เพื่อนของกลีบบัวมานี่จ๊ะ” นาถนพินพูดด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับกำลังบอกว่ากาแฟอร่อยจัง หรือคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป

หญิงสาวมองอดีตแม่สามี กลีบบัวเคยเจอกับรุจิดาแค่ครั้งเดียว ตอนเธอออกจากโรงพยาบาล แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่กับกลีบบัวด้วยเสียหน่อย

“แม่นาถให้คนสะกดรอยตามพิสชาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” กลีบบัวรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ ที่โดนจับตามอง

นาถนพินยิ้มละไม “ก็หนูพิสชาสืบเรื่องตาธีร์ก่อนนี่จ๊ะ”

กลีบบัวนึกถึงข้อความในไดอารี่ของรัดเกล้า ที่เขียนถึงตอนจ้างนักสืบมาสะกดรอยตามเธออยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนแม่สามีและว่าที่ลูกสะใภ้อย่างรัดเกล้าจะเท่าทันกันใช่ย่อย

“อดีตก็คืออดีตนะจ๊ะ หนูพิสชา ตาธีร์อาจเคยรักและแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แต่มันจบลงแล้ว ตอนนี้หนูคือว่าที่เจ้าสาวของตาธีร์นะจ๊ะ หนูไม่ต้องสนใจอะไร และเพ่งความสนใจไปที่เรื่องนี้ก็พอจ้ะ” นาถนพินกล่าว “หนูพิสชาเป็นคนฉลาดและมองการณ์ไกลนะจ๊ะ อย่ามายึดติดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ”

ฉลาดและมองการณ์ไกล ฟังดูตรงกับรัดเกล้าสุดๆ

“หนูอาจจะรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้กลีบบัว ภรรยาเก่าของตาธีร์ต้องตาย แต่ทั้งหมดคืออุบัติเหตุนะจ๊ะ” นาถนพินเสริม

“คนที่ตายไปแล้ว ก็เคยมีความทรงจำตอนมีชีวิตนะคะ ช่วงเวลาพวกนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย จนลบทิ้งไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอคะ คุณป้า” กลีบบัวน้ำตาคลอ พอรู้ตัวว่าเผลอพูดความรู้สึกของตัวเองในฐานะกลีบบัวจนหมดเปลือก หญิงสาวก็รีบหยิบกระเป๋าถือ บอกอีกฝ่ายว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย แล้วรีบเดินออกจากร้าน

กลีบบัวหยุดยืนหน้าร้านกาแฟ เธอเพิ่งจะรู้ตัวตอนที่พูดโพล่งออกมาต่อหน้านาถนพินนั่นแหละ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกน้อยใจและรู้สึกไม่ยุติธรรมขนาดไหน หญิงสาวติดอยู่ในร่างพิสชา มองคนรอบตัวอย่างอดีตพ่อแม่สามีใจดีกับเธอในฐานะพิสชา และใช้ชีวิตต่อไปราวกับแอบโล่งใจที่กลีบบัวหายไปเสียได้

หญิงสาวคิดถึงย่าจงกล กฤต และรุจิดาเหลือเกิน

 

สมุดไดอารี่ของรัดเกล้าเป็นเหมือนหนังสืออ้างอิงสำคัญสำหรับกลีบบัว หญิงสาวไล่อ่านทวนไปมาจนแทบจะท่องจำได้ แถมช่วงเวลาที่มีบุคลิกคนอื่นคุมร่างแทนรัดเกล้าน้อยมากจนแทบนับครั้งได้ การลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตพิสชาจึงค่อนข้างลื่นไหล

“โฮสต์ หรือบุคลิกหลัก คือบุคลิกที่ออกมาใช้ชีวิตประจำวันด้านนอกบ่อยที่สุดในบรรดาบุคลิกทั้งหลาย และไม่จำเป็นต้องเป็นบุคลิกเดิมเสมอไปค่ะ” เสียงแพทย์หญิงดาริกาบรรยายเรื่องโรคหลายบุคลิกดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่กลีบบัวเสียบหูฟังไว้

ถ้าในกรณีของพิสชา โฮสต์ของร่างคือรัดเกล้า นับเป็นบุคลิกหลักที่ดีเลย ฉลาด ช่างวางแผน และเยือกเย็น เท่าที่อ่านไดอารี่ มีแค่รัดเกล้าคนเดียวที่เอะใจกับมีอยู่ของบุคลิกต่างๆ และพยายามรับมือกับมันเพื่อให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้

กลีบบัวนึกถึงบุคลิกอื่นๆ ที่เธอทั้งอ่านจากไดอารี่และจับสังเกตได้ ไปรยาดูเป็นสาวรักสนุกและโหยหาความรัก ส่วนยาหยีเป็นเด็กหญิงช่างฝัน แต่มีจุดหนึ่งที่กลีบบัวเอะใจคือเวลาร่างของพิสชาบาดเจ็บ ได้รับอุบัติเหตุ หรือโดนดุว่า รัดเกล้าบันทึกไว้ว่าตัวเองไม่มีความทรงจำช่วงนั้น และพอมาประกอบกับสมุดภาพของยาหยี เด็กหญิงเคยวาดภาพยักษ์ถือไม้เรียว หรือไม่ก็ภาพตัวเองร้องไห้…

ราวกับว่า ทุกบุคลิกทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างยาหยีต้องเผชิญกับความเจ็บปวด

หญิงสาวถอนหายใจ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ในร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองสดใส แม้กระทั่งแก้วชาพีชเย็นที่มาเสิร์ฟยังเป็นสีเหลือง ทว่าในใจของเธอกลับรู้สึกหม่นลง เธอตั้งใจว่าเสร็จธุระจะซื้อสมุดวาดเขียน สมุดภาพระบายสี และสีไม้เยอะๆ ไปวางไว้ที่ห้อง เผื่อยาหยี ‘ออกมา’ เด็กหญิงจะได้เจอแต่ของที่ตัวเองชอบ

กลีบบัวมองเวลาบนโทรศัพท์มือถือ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เธอปิดสมุดจด กดหยุดคลิปวิดีโอของแพทย์หญิงดาริกา

หญิงสาวหยิบกระเป๋าถือ เดินออกจากร้านกาแฟ อีกไม่นาน รุจิดาที่ทำงานบริษัทข้างๆ ร้านกาแฟ จะเดินออกจากบริษัทในชุดพนักงานออฟฟิศ

ครั้งนี้กลีบบัวมาเจอเพื่อนสนิทในฐานะพิสชา

หญิงสาวชะเง้อมองเหล่าพนักงานบริษัทที่เดินออกจากอาคารสูงสิบสี่ชั้น พยายามทบทวนเรื่องที่อยากถามรุจิดาในหัว

ไดอารี่ของรัดเกล้ามีช่องโหว่บางอย่าง มีบุคลิกของใครบางคน ‘ออกมา’ ถี่มากๆ ในช่วงสามวันก่อนอุบัติเหตุรถชนที่ทำให้กลีบบัวเสียชีวิต กลีบบัวสงสัยว่าในตอนที่เกิดอุบัติเหตุเอง บุคลิกที่ออกมาไม่น่าใช่รัดเกล้าที่ควบคุมสติได้ดี และเยือกเย็นในทุกสถานการณ์แน่ๆ เธอยังจำรถของพิสชาที่ส่ายไปมา และแล่นสวนเลนถนนด้วยความเร็วสูงได้แม่น

คนเดียวที่กลีบบัวคิดออกคือไปรยา และถ้าไปรยาเป็นคนคุมร่างจริงๆ เจ้าตัวก็น่าจะติดต่อกับทัตพล บางที เพื่อนสนิทของพิสชาอย่างแดนไท อธิน และชินดนัยอาจจับสังเกตบางอย่าง ทำนองว่าพิสชาร่างสองโผล่มาอีกแล้ว

กลีบบัวถลันไปหารุจิดาทันทีที่เห็นเพื่อนรัก รุจิดาดูอิดโรย คงเพราะต้องเตรียมงานแต่งควบคู่ไปกับการทำงานประจำ เพื่อนรักทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเธอ

“ยังจะมาทำไมอีก” รุจิดาพูดเสียงห้วน

“รุ้ง ฉันมีเรื่องจะถาม” กลีบบัวเริ่ม

“อย่ามาเรียกชื่อเล่นเหมือนสนิทกันนะ” รุจิดาชักสีหน้า “แล้วฉันก็ไม่มีอะไรจะตอบด้วย ไม่มีอะไรจะตอบตั้งแต่คุณพยายามมาสืบเรื่องกลีบบัวจากฉันก่อนหน้านี้นั่นแหละ ฉันขอพูดคำเดิมนะว่าฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ เพราะฉะนั้นช่วยอย่ามาให้เห็นหน้าอีก”

กลีบบัวอมยิ้ม มองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกภูมิใจเสียจนอยากกอดรุจิดาแน่นๆ รัดเกล้าเคยเขียนในไดอารี่ว่าแอบสืบเรื่องของกลีบบัว แต่หญิงสาวไม่รู้เลยว่ารัดเกล้าถึงกับมาถามข้อมูลเอากับรุจิดา ท่าทางบุคลิกหลักของพิสชาจะโดนรุจิดาด่าแบบไม่ไว้หน้า จนไม่อยากเขียนความทรงจำแบบนั้นลงในไดอารี่ด้วยซ้ำ

“ยิ้มอะไรของคุณ ที่ฉันพูดมันตลกมากหรือไง” รุจิดาแหว

กลีบบัวปรับสีหน้าจริงจัง ทั้งหมดไม่ตลกเลยจริงๆ รวมถึงคำถามที่เธออยากถามอีกฝ่ายด้วย “นี่รุ้ง แก เอ้ย! คุณคิดว่าพี่ทัตฆ่าคนได้ไหม”



Don`t copy text!