อาคันตุกะ บทที่ 9 : อัตลักษณ์

อาคันตุกะ บทที่ 9 : อัตลักษณ์

โดย : ดารัช

Loading

อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว

ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ

เริ่มตั้งแต่พิธีแต่งงาน แห่ขันหมาก และทำพิธีทางศาสนาในตอนเช้า รัดเกล้าสวมชุดไทยศิวาลัยสีเงินขับผิวให้ผุดผาด เสื้อเขนยาวคอปก ห่มสไบเฉียงปักลายไทย คาดเข็มขัดทองลายประณีต เกล้าผมประดับปิ่นทอง หญิงสาวที่มองตอบเธอจากในกระจกดูราวสตรีสูงศักดิ์

งานเลี้ยงตอนเย็นก็ยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นการ ‘ดอง’ กันของตระกูลมหาเศรษฐียักษ์ใหญ่ของประเทศ งานจัดในโรงแรมห้าดาวที่เคยรับรองคนดังระดับโลกมากมาย

รัดเกล้าสวมชุดเจ้าสาวท่อนบนเปลือยไหล่ข้างหนึ่ง กระโปรงยาวทรงเสา เน้นเรือนร่างสมส่วน เรียบแต่หรู ผมยาวสยายเกล้ามวย ประดับมงกุฎดอกไม้เล็กๆ จากแบรนด์ชั้นนำ

หญิงสาวควงแขนธีรดนย์ในชุดสูทสีขาว เดินทักทายแขกที่มาร่วมงานแต่งงาน โดยมีเสียงเปียโนของนักดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมบรรเลงคลอเป็นฉากหลัง

รัดเกล้ากวาดตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่แสดงความยินดีกับเธอ ภาพอธินสวมชุดสูทเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม ควงแขนมุกตาภาในชุดเดรสสั้นสีเดียวกันตามธีมงานแต่ง ทำให้หญิงสาวเจ็บแปลบ รัดเกล้าตั้งสติ หันมามองธีรดนย์ เขาเองก็กำลังมองเธออยู่

ดวงตาว่างเปล่าสบกับดวงตาเย็นชา

รัดเกล้าแค่นยิ้ม ถึงสามีจะไม่รู้เรื่องโรคหลายบุคลิกของพิสชา แต่เขาคงสัมผัสได้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองแต่งงานด้วยไม่ใช่กลีบบัว

จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกเย็นเยียบ เธอมองผู้คนในแวดวงชั้นสูงที่รายล้อม พิสชามีอัตลักษณ์ต่างๆ คอยปกป้อง ไปรยามีใครคนหนึ่งที่เจ้าตัวซุกซ่อนไว้ในความลับ นลมีคนรักที่ช่วยให้อะไรบางอย่างง่ายขึ้นสำหรับรัดเกล้า เด็กหญิงยาหยีมีสมุดวาดภาพเป็นหลุมหลบภัยของเธอ ส่วนกลีบบัวมีทั้งธีรดนย์และแดนไท

รัดเกล้ามองเห็นแดนไททันที เขายืนคุยกับชินดนัยและพุฒิเมธ แต่กลับเอาแต่ลอบมองเธอ ราวเป็นองครักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิง ถ้าในงานจะมีใครที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของรัดเกล้า คงเป็นผู้ชายคนนี้

แต่ละอัตลักษณ์มีความรู้สึกต่อเพื่อนสนิทของพิสชาต่างกันไป พิสชาเห็นแดนไทเป็นเพื่อนคนสำคัญ ไปรยามองเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่เธออยากลิ้มลอง นลน่าจะมองเป็นลุงที่รู้จัก กลีบบัวรัก ส่วนรัดเกล้า…เธอกลัวดวงตาคมปลาบของเขายิ่งกว่าอะไร

หญิงสาวฝันถึงการสวมชุดเจ้าสาว ควงแขนธีรดนย์ในงานแต่งมาตลอด มันคือหลักประกันชีวิตสะดวกสบายของเธอ เป็นสูตรสำเร็จที่จะเอื้อประโยชน์ทั้งในแง่ธุรกิจครอบครัวและชีวิตส่วนตัว ความรักเป็นของเกะกะ

ตอนที่ธีรดนย์หย่ากับกลีบบัว รัดเกล้าคิดว่าในที่สุด เธอก็เจอคนที่จะสามารถเข้าใจเธอได้ แต่ธีรดนย์กลับเหมือนร่างไร้วิญญาณ แถมตอนนี้สามีเหมือนพยายามมองหาเศษเสี้ยวของภรรยาเก่าในตัวพิสชา

รัดเกล้าเพิ่งรู้ว่าบนยอดเขาสูงที่เธอพยายามปีนมาให้ถึงอย่างยากลำบากคือความว่างเปล่า และเธอต้องอยู่กับมันไปสิบปี…ยี่สิบปี…สามสิบปี…หรืออาจจะชั่วชีวิต

“พิสชา หน้าซีดมากเลย โอเคไหมครับ” ธีรดนย์ประคองเธอ รัดเกล้าเพิ่งรู้ว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรงจะยืน

“พิสชาเหนื่อยน่ะค่ะ” เธอตอบ

พุฒิเมธถลันมาหาเธอทันทีที่ธีรดนย์พยักหน้าเรียก เลขาฯ ร่างท้วมยื่นขวดน้ำให้จิบ แล้วประคองเธอไปนั่งพักที่ห้องแต่งตัวเจ้าสาว ปล่อยธีรดนย์รับหน้าที่ต้อนรับแขกในงาน

พอทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมแสนสบาย รัดเกล้าก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากขดตัวงีบหลับไป การตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคง ‘ออกมา’ กลายเป็นฝันร้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รัดเกล้ารู้สึกอ่อนล้าไปจนถึงวิญญาณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาตัวรอดจากใครบางคนที่มุ่งหมายชีวิตของพิสชา

“คุณพิสชาอยากได้อะไรไหมครับ” พุฒิเมธถาม

รัดเกล้ามองเลขาฯ ส่วนตัวของธีรดนย์ เธอผุดรอยยิ้ม จริงสิ เธอมีสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวขัดเกลาตัวเองอย่างหนักเพื่อมาถึงจุดนี้ สิ่งที่เธอควรได้รับตอบแทนคือชีวิตที่สมบูรณ์แบบสิ

“ขออเมริกาโน่เย็นหน่อยสิ” เธอพูด กลิ่นหอมของกาแฟช่วยให้รัดเกล้ารวบรวมสมาธิได้ “แล้วฉันก็มีคนที่อยากเจอด้วย”

ใจหญิงสาวไพล่คิดถึงนิทรรศการน่าสนใจที่เธออยากจัด สมุดวาดภาพของยาหยี และคนรักของนล ถ้าเป็นคนคนนั้น เธอสามารถใช้ความรักเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองได้เต็มที่

เรื่องที่หนักอึ้งและทำให้ยอมศิโรราบอย่างความรัก เป็นของที่น่าสนใจมากทีเดียว

หญิงสาวลุกขึ้นยืน ไม่มีเวลาให้พักแล้ว นอกจากคนคนนั้น รัดเกล้าต้องการคนของเธอ คนที่เธอสามารถไว้ใจได้

“พิสชาเป็นยังไงบ้าง” ธีรดนย์เยี่ยมหน้ามาในห้องพัก ความห่วงใยของสามีคงเป็นอานิสงส์จากกลีบบัวที่กำลังหลับลึกอยู่ในร่างนี้

“ดีขึ้นแล้วค่ะ” เธอตอบ

ธีรดนย์เดินมาหยุดตรงหน้า เอื้อมมือมาเพื่อจะสัมผัสหน้าผาก แต่หญิงสาวปัดมือเขาออกไป

“ตรงนี้ไม่มีคนอื่น ไม่ต้องเล่นละครว่าเรารักกันหรอกค่ะ” เธอพูด “พิสชาอยากพักผ่อน ขอเวลาส่วนตัวก่อนนะคะ อีกสักพักจะออกไป” หญิงสาวอยากจัดเรียงลำดับความคิด

แววตาธีรดนย์มีทั้งความสับสนและเจ็บปวด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่เอาไว้มองคนแปลกหน้า เขาคงไม่ถึงกับสงสัยเรื่องโรคหลายบุคลิก แต่คงรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่พิสชาคนที่เขารู้สึกหวั่นไหว

ไม่ใช่กลีบบัว

จริงสิ…กลีบบัว…

รัดเกล้าผุดรอยยิ้มพราย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอพยายามสืบเรื่องของภรรยาเก่าแดนไทผ่านเพื่อนสนิทของกลีบบัว รุจิดาด่าเธอสาดเสียเทเสียขนาดไหน

ความรักเป็นของมีประโยชน์มากจริงๆ ตราบใดที่เราไม่เป็นฝ่ายตกหลุมรักเสียเอง

 

กลีบบัว ‘ออกมา’ อีกครั้งหลังงานแต่ง

เธอสวมชุดจั๊มสูทสีดำพอดีตัว ปล่อยผมสีดำยาว นั่งไขว่ห้าง จิบอเมริกาโน่เย็นในแก้วทรงสวย กลีบบัวรีบวิ่งไปบ้วนปากทันทีที่สัมผัสรสขมของกาแฟ โชคดีที่อ่างล้างมืออยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอนั่ง

กลีบบัวกวาดตามองรอบตัว พยายามประมวลความคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ซึ่งไม่ต้องใช้เวลานานเลย ครัวที่ประดับตุ๊กตาเรซิ่นและของกระจุกกระจิก ถ้วยชามลายดอกไม้ โต๊ะไม้สำหรับทานอาหารมีรอยปากกาเมจิกวาดเล่นที่ลบคราบไม่ออก

กลีบบัวคุ้นเคยกับเตา กระทะ ถ้วยชาม คุ้นแม้กระทั่งผ้าปูโต๊ะสีฟ้าที่หญิงสาวเป็นคนเลือกเองกับมือ

เธอกำลังยืนอยู่ในครัวบ้านตัวเอง!

“คุณรัดเกล้า ขอโทษที่นัดมาที่นี่นะคะ แต่พี่กฤตซักไซ้ ฉันเลยต้องเล่าเรื่องยัยบัวให้พี่กฤตฟัง” รุจิดาเดินหน้าเจื่อนเข้ามาในห้อง ตามด้วยพี่ชายของกลีบบัว

“ยัยรุ้ง! พี่กฤต!” กลีบบัวเรียกชื่อทั้งสอง วางแก้วกาแฟรสขมปี๋ลงบนโต๊ะ เครื่องดื่มที่เธอขอบายคือกาแฟ หญิงสาวไม่มีนโยบายดื่มของไม่อร่อย

“บัวเหรอ” รุจิดากะพริบตาปริบๆ

“ฉันเอง พอรู้ตัวก็มาอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นน่ะ แล้วที่แกบอกว่าพี่กฤตรู้แล้ว” กลีบบัวปราดไปจับแขนรุจิดาด้วยความคิดถึง

“พี่รู้เรื่องแล้ว” กฤตพูด มองกลีบบัวอย่างพิจารณา “เรื่องการสลับร่าง เรื่องโรคหลายบุคลิกของคุณพิสชา เรื่องงานแต่งกับธีรดนย์ แล้วก็เรื่องที่มีคนจะฆ่าคุณพิสชาด้วย…” เขามองหน้าเธอ สีหน้ากังวล “บัวโอเคไหม”

กลีบบัวน้ำตารื้น เธอและกฤตไม่ถึงกับเป็นพี่น้องที่สนิทและคุยกันได้ทุกเรื่องก็จริง แต่เธอก็รู้ว่าพี่ชายที่แสนเงียบขรึมคอยเป็นห่วงเธออยู่ห่างๆ

“ไม่โอเคค่ะ ไม่สบายดีด้วย” กลีบบัวน้ำตารื้น

กฤตยีผมเพื่อปลอบให้เธอหยุดร้องไห้อย่างที่เขาทำมาตลอด “เด็กขี้แยเอ๊ย”

“ว่าแต่ เรื่องมันยังไงกันคะ” กลีบบัวก้มมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวม “รัดเกล้ามาที่นี่เหรอคะ”

รุจิดาพยักหน้า บุ้ยปากไปยังซองเอกสารสีน้ำตาลบนโต๊ะทานอาหาร “คุณรัดเกล้าบอกว่ามีเรื่องอยากให้ช่วย พี่กฤตเลยให้ฉันพาคุณรัดเกล้ามาที่บ้าน”

“พี่อยากช่วยด้วย” กฤตพูด

กลีบบัวพอจะเข้าใจว่าทำไมรัดเกล้าติดต่อรุจิดา หญิงสาวคงไม่ไว้ใจคนรอบตัว จึงเลือกรุจิดาที่เป็นเพื่อนสนิทของกลีบบัวให้ช่วย เธอเข้าใจ แต่ก็ไม่พอใจที่รัดเกล้าทำให้คนที่เธอเป็นห่วงต้องเสี่ยงอันตราย

“ไม่ต้องห่วงนะ ที่บ้านปลอดภัย ย่าจงกลก็ไม่อยู่เพราะไปปฏิบัติธรรมให้ใจสงบ” กฤตอธิบาย

“แล้วรัดเกล้ามาคุยอะไรคะ” กลีบบัวถาม

รุจิดาชี้ไปที่ซองเอกสาร “คุณรัดเกล้าวานให้ฉันจ้างนักสืบ ตามหาบริกรที่เอาขนมที่มีถั่วผสมมาเสิร์ฟให้แกน่ะ คุณรัดเกล้าไปได้ภาพของบริกรจากกล้องวงจรปิดในงาน เลยได้รู้ว่าบริกรคนนั้นไม่ใช่คนที่ทางพี่ธีร์จ้างมา”

“แล้วใครจ้าง” เธอถาม

“ยังไม่รู้ แต่เสื้อผ้า การปฏิบัติตัวในงานอะไรก็ดูแนบเนียนเหมือนได้รับการฝึกมา” รุจิดาพูด “ที่สำคัญนะ…”

“อะไรเหรอ” กลีบบัวขยับตัวเข้าใกล้เพื่อน

“คนคนนี้คือคนเดียวกับที่แทงฉันตอนไปเที่ยวกับแก”

กลีบบัวหยิบซองเอกสารมาดู ในนั้นมีภาพผู้ชายร่างสูง ตาโหลลึก แก้มตอบ มีทั้งภาพที่สวมชุดบริกรและตอนไปชิงกระเป๋าและแทงรุจิดาด้วยมีด

“เขาเป็นใครนะ” กลีบบัวไม่เข้าใจ เธอไม่คุ้นหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด

“ตอนแรกฉันก็ถามแบบนี้ แต่คุณรัดเกล้าบอกว่าฉันถามผิด” รุจิดาพูด

“ถามผิด” กลีบบัวทวนคำ

“อืม จริงๆ ต้องถามว่าใครจ้างมา”

 

ยามโพล้เพล้ รถยนต์มือสองสีแดงของกฤตแล่นมาจอดหน้าเรือนหอของธีรดนย์และพิสชา ซึ่งเป็นบ้านชั้นครึ่งขนาดใหญ่ แยกโซนพักผ่อนจากส่วนกลางเป็นบ้านสองหลัง เชื่อมต่อกันด้วยลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่

“ไปนะพี่กฤต” หญิงสาวโบกมือลาพี่ชาย

“บัว” ดวงตาที่มองลอดแว่นทอประกายกังวล “หรือว่าจะหนีดี ไปต่างประเทศไหม พี่พอมีเงินเก็บนะ”

กลีบบัวยิ้มให้อีกฝ่าย “ศัตรูคือใครยังไม่รู้เลย แล้วจะให้หนีจากใครล่ะคะ” กลีบบัวทำเสียงมั่นใจยิ่งกว่าที่ตัวเองรู้สึก “ไม่ต้องห่วงนะพี่กฤต คุณรัดเกล้าฉลาดจะตาย ถ้าร่วมมือกับคุณรัดเกล้า จะต้องหาตัวคนร้ายได้แน่”

หญิงสาวยืนโบกมือกระทั่งรถเก๋งสีแดงของพี่ชายลับไปจากสายตา เธอสูดลมหายใจลึก เดินตรงไปยังบ้านหลังใหม่ อันที่จริงก่อนแต่งงาน กลีบบัวเคยมาดูเรือนหอกับธีรดนย์แล้ว เธอจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แถมเธอและธีรดนย์ตกลงกันมั่นเหมาะว่าจะแต่งงานกันแค่ในนาม ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ และจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน พวกเธอแยกห้องนอนกัน โดยกลีบบัวนอนในห้องนอนใหญ่ชั้นบนของบ้าน

แต่เนื่องจากกลีบบัวหลบไป ‘ข้างใน’ ตั้งแต่ช่วงงานแต่ง นี่จึงเป็นการมาบ้านใหม่เป็นครั้งแรกของเธอ

ไฟในบ้านมืดสนิท พอเปิดไฟ กลีบบัวจึงตกใจที่เห็นธีรดนย์นั่งพิงโซฟาตรงห้องรับแขก บนพื้นมีขวดเหล้าวางเกลื่อน

หญิงสาวค่อยๆ เดินไปหาธีรดนย์ที่กำลังนั่งสัปหงก เธอทรุดตัวนั่งข้างๆ สามี เอามือจิ้มแขนเขาเบาๆ

“พี่ธีร์ พี่ธีร์คะ อย่ามานอนตรงนี้สิ ไปนอนในห้องดีๆ ค่ะ”

ธีรดนย์กุมมือเธอ แล้วดึงตัวหญิงสาวไปในอ้อมกอด ร่างเล็กบอบบางของพิสชาไม่สามารถต้านแรงของชายหนุ่มได้เลย

“บัว กลีบบัว…คิดถึงเหลือเกิน…” เขาพึมพำเหมือนคนละเมอ

กลีบบัวรีบยันตัวถอยห่างจากอีกฝ่าย “พี่ธีร์เมามากแล้ว ไปนอนเถอะค่ะ” เธอกึ่งลากกึ่งจูงธีรดนย์ให้ยืนขึ้น แต่ไม่เป็นผล

ให้ตายเถอะ รัดเกล้าจะไม่ช่วยดูแลธีรดนย์เลยสักหน่อยหรือไรนะ ถึงอย่างไรพิสชากับธีรดนย์ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือ

กลีบบัวถอนหายใจ เตรียมผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ธีรดนย์ เพื่อให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น

ธีรดนย์ลืมตามองเธอ “พิสชา”

“ค่ะ พิสชาเอง” หญิงสาวตอบเสียงขึงขัง “สร่างเมาหรือยังคะ ไปนอนดีๆ…”

ธีรดนย์ดึงตัวเธอไปในอ้อมกอดอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มกอดแน่นราวจะไม่มีวันปล่อย

“พี่ธีร์ นี่พิสชานะคะ ปล่อยนะคะ”

“พิสชาคนไหน” เขาพูด

“ว่าไงนะคะ” กลีบบัวตะลึง หรือว่าธีรดนย์จะรู้

“พี่ไม่เข้าใจเลย บางทีพิสชาก็เย็นชา แต่บางทีก็ใจดีกับพี่”

“พี่ธีร์เมาแล้วนะคะ” กลีบบัวพยายามเรียกสติอีกฝ่าย

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงพูดเหมือนบัว ดูแลพี่เหมือนบัว ทำให้พี่รู้สึกเหมือนได้บัวกลับมา” เขาไม่สนใจคำพูดของเธอ เอาแต่กอดกลีบบัวแน่นขึ้น “พิสชาเป็นบัวให้พี่เถอะ นะ…นะ…พี่จะดีกับพิสชาให้มากๆ เลยนะ”

กลีบบัวดันตัวชายหนุ่มออกด้วยแรงทั้งหมด ผลักธีรดนย์จนเซไปด้านหลัง

“พิสชาจะไปนอนแล้วค่ะ” เธอรีบลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าถือ เตรียมหนีเข้าห้องนอน

แต่ธีรดนย์ไวไม่แพ้กัน เขาจับแขนเธอไว้ ดวงตาฉายแววไม่พอใจ “ทำไมล่ะ กลัวแดนไทโกรธหรือ”

“อะไรนะคะ”

“อย่าคิดว่าพี่ดูไม่ออกนะว่าพิสชาชอบแดนไท” เขาพูดเสียงลอดไรฟัน “แต่พิสชาแต่งงานแล้ว เป็นคนของพี่ ได้ยินไหม”

หญิงสาวพยายามสะบัดตัวออก ธีรดนย์ทั้งเมา ทั้งสับสน และคิดถึงกลีบบัวที่ตายไป เธอจะหนีไปขังตัวในห้องนอน รอให้ชายหนุ่มได้สติ

ธีรดนย์จับตัวเธอแน่นราวคีมหนีบ เขาขยับตัวมาใกล้ ราวตั้งใจจะไม่ปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้น

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ชะงัก เขาสร่างเมา ตะลึงลานมองเธอ

กลีบบัวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ หญิงสาวสัมผัสถึงอัตลักษณ์ต่างๆ ในตัวที่พยายามออกมาและกลับเข้าไป ราวกับทำนบบางอย่างในตัวพังทลาย เหมือนกับตอนแรกทุกคนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ฉับพลัน มีบางอย่างเขย่าห้องนั้นด้วยแรงมหาศาล ทุกอัตลักษณ์ในห้องจึงพยายามดันตัวออกจากประตูบานแคบที่มีที่พอให้ออกมาได้แค่ทีละคน

กลีบบัวทรุดตัวลงไปนั่งแหมะบนพื้น เธอไม่มีแรงจะยืนดีๆ ด้วยซ้ำ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงรัดเกล้า ไปรยา ยาหยี นล รวมทั้งพิสชา พร้อมกันนั้น ความเศร้าล้ำลึกถาโถมจนกลีบบัวรู้สึกราวกับมันมีน้ำหนักมหาศาลที่สามารถกดทับให้เธอจมลงไปในมหาสมุทรน้ำตาเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดได้จริง

หญิงสาวไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จากนั้นทุกอย่างก็จบลง กลีบบัวกลับมาสัมผัสพื้นหินอ่อนเย็นเยียบ เสียงติ๊กต่อกของนาฬิกาคุกคูขนาดใหญ่ริมผนังด้านหนึ่ง ความเงียบของบรรยากาศรอบตัว และธีรดนย์ที่มองเธอด้วยสีหน้าหวาดกลัว

กลีบบัวรวบรวมเรี่ยวแรงคว้ากระเป๋าถือ แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน เธอต้องไปจากที่นี่ ความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะฉีกหัวใจเธอเป็นชิ้นๆ เมื่อครู่คือสิ่งที่พิสชารู้สึกมาตลอดเช่นนั้นหรือ เพราะอย่างนั้น รัดเกล้าจึงกำชับว่าห้ามให้พิสชาตื่นขึ้นมาเด็ดขาดใช่ไหม

“ดื่มน้ำรากบัวเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะหนูพิสชา” ย่าฤดีวางน้ำสีโทนเหลืองน้ำตาลตรงหน้า หญิงสาวสูดกลิ่นหอมของดอกบัว รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

เธอกลับมาอยู่ในครัวบ้านแดนไท นั่งบนเก้าอี้ริมเคาน์เตอร์ตรงข้ามกับมุมทำอาหาร โดยมีแดนไทยืนหน้าเตา รินน้ำรากบัวที่เพิ่งต้มเสร็จใส่แก้วให้ตัวเองและย่าฤดี

กลีบบัวลอบมองเขา เธอโทร.หาแดนไท และเขาก็มารับเธอหน้าบ้านโดยไม่ถามอะไรสักคำ กลีบบัวบอกว่าอยากเจอย่าฤดี ชายหนุ่มจึงพาเธอมาที่บ้าน

แดนไทลอบมองเธอ แววตาห่วงใย กลีบบัวยิ้มให้ ชายหนุ่มยิ้มตอบ เพียงแค่นั้น เรื่องน่ากลัวที่กลีบบัวได้เจอก็ดูเหมือนจะพอรับมือได้

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ยังไงหนูพิสชานอนเสียที่นี่เถอะนะจ๊ะ คืนนี้ยัยหนึ่งเข้าเวรที่โรงพยาบาล หนูใช้ห้องยัยหนึ่งได้เลยนะจ๊ะ” ย่าฤดีชวน หญิงสูงวัยคงพอดูออกว่ากลีบบัวกำลังรู้สึกหลงทางและไร้ที่ไปเหลือเกิน

“รากบัวมีประโยชน์ต่อร่างกายเยอะมากเลยนะจ๊ะ” เสียงนุ่มๆ ของหญิงสูงวัยอธิบายเมื่อแดนไทยื่นน้ำรากบัวให้ท่าน ส่วนตัวเขาเดินมานั่งที่เก้าอี้สตูลข้างๆ กลีบบัว

“ดอกบัวเป็นดอกไม้โปรดของคุณย่าน่ะ” แดนไทกระซิบ

“แหม…ก็ดอกบัวมีประโยชน์ทุกส่วนเลยนี่จ๊ะ อย่างรากบัวช่วยแก้ร้อนใน กระหายน้ำ อ่อนเพลีย อาเจียน พุพอง ใช้ละลายยาแก้สะอึก บำรุงกำลัง แก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ” ย่าฤดีกล่าวยิ้มๆ

“แล้วกลีบบัวล่ะครับ”

หญิงสาวแอบสะดุ้ง หันไปมองแดนไท แต่ชายหนุ่มทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“กลีบบัวมีรสฝาดหอม ทำอาหารได้หลายชนิด แถมช่วยบำรุงครรภ์ ทำให้คลอดลูกง่าย แก้ไข้รากสาด ไข้ที่มีพิษร้อน แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ” หญิงชราตอบ

กลีบบัวรู้สึกตัวอีกทีก็พบตัวเองนั่งในห้องนั่งเล่น ในมือถือสีไม้ กำลังระบายบนสมุดภาพที่มีรูปเจ้าหญิงแสนสวยเต็มไปหมด

เธอกวาดตามองรอบตัวโดยอัตโนมัติ เริ่มจากสำรวจเครื่องแต่งกายซึ่งยังเป็นชุดเดิม เวลาบนนาฬิกากลมตรงผนังห้องก็ล่วงเลยจากตอนที่กลีบบัวนั่งดื่มชาในห้องครัวราวยี่สิบนาที

แดนไทนั่งบนโซฟาข้างๆ เธอ เขาดูเหม่อลอยราวจมลงไปในภวังค์ความคิด คิ้วขมวดมุ่น กลีบบัวเอื้อมมือไปจิ้มหว่างคิ้วชายหนุ่มให้คลายตัว แดนไทเลิกคิ้ว มองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนกลีบบัวรีบดึงมือออกด้วยความเขิน

“ขอโทษ คือ…” คืออะไรล่ะ เธอจะแก้ตัวว่าอะไรดี

“ยาหยี?” แดนไทเรียก “ไปรยา? รัดเกล้า? นล?”

กลีบบัวจ้องชายหนุ่มตาค้าง ทำไมแดนไทจึงรู้จักชื่อบุคลิกต่างๆ ของพิสชาได้

“กลีบบัว?” เขาลังเล ก่อนจะเรียกชื่อเธออีกครั้ง “กลีบบัวใช่ไหม”

สีไม้ร่วงจากมือกลีบบัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หญิงสาวตัวแข็งทื่อ “ทำไม…”

ดวงตาของแดนไทเจือรอยยิ้ม “กลีบบัวจริงๆ ด้วย”

“ทำไมถึง…”

“อะไรเหรอ” แดนไทถาม

กลีบบัวลังเล “ก็เมื่อกี้แดนเรียกเราว่า…”

“พิสชา” เขารีบตอบจนดูตั้งใจเกินไป

หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอควรคาดคั้นหรือเออออไปด้วย แต่อาจเพราะวันนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะเป็นคนอื่น กลีบบัวแค่อยากได้ยินชื่อของตัวเอง ได้เป็นตัวเอง

เธอมองเขา “แดนเรียกเราว่าพิสชาจริงๆ เหรอ”

ชายหนุ่มมองเธออย่างจริงจัง ราวจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ากำลังคุยอยู่กับใคร

“กลีบบัว” น้ำเสียงเขาลังเล

“แต่ทำไมล่ะ” เธอไม่เข้าใจจริงๆ “ทำไมแดนรู้จักชื่อนี้ ไหนจะคนอื่นๆ”

“เรารู้มาสักพักแล้วละว่าพิสชาเป็นโรคหลายบุคลิก” แดนไทอธิบาย “แต่ดูเหมือนในบรรดาอัตลักษณ์ทั้งหมด มีแค่รัดเกล้าที่พอจะระแคะระคายอาการของตัวเอง แต่เราไม่กล้าบอก เพราะไม่รู้ว่ารัดเกล้ารู้อะไรมากแค่ไหน”

“แดนรู้มาตลอดเลยเหรอ รู้จักแม้กระทั่งนล” แม้แต่รัดเกล้ายังไม่รู้ชื่อของนล แค่สัมผัสได้ว่าบางทีอาจมีอีกอัตลักษณ์ซ่อนอยู่เท่านั้น

“เคยเป็นคู่ซ้อมมวยกันน่ะ” แดนไทยักไหล่

ประโยค ‘ลุงเป็นพวกของไอ้เวรนี่เหรอ’ ที่นลพูดกับแดนไท ตอนกลีบบัวโดนทัตพลทำร้าย แล้วนล ‘ออกมา’ ปกป้องร่างแทน แวบมาในหัว ที่แท้สำหรับเด็กหนุ่ม แดนไทคือลุงที่รู้จักนั่นเอง

“แล้วทำไม…” กลีบบัวไม่กล้าถามต่อ…ทำไมเขายังมองพิสชา…มองเธอด้วยแววตาทอประกายพราวเช่นนั้นอีก

แดนไทคงเห็นเธอเงียบไปนาน จึงอธิบายต่อ “ตอนที่พิสชาประสบอุบัติเหตุ แล้วเราเจอบัว ตอนแรกคิดว่าเป็นอัตลักษณ์ที่เกิดใหม่ จากผลกระทบทางจิตใจ แต่พอยิ่งรู้จัก กลีบบัวก็ยิ่งดูไม่เหมือนเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง แต่เหมือนเป็นอีกวิญญาณหนึ่งไปเลย”

“ทำไมถึงรู้จักเราล่ะ”

แดนไทยิ้ม “ก็บัวซ่อนความลับไม่ได้เรื่องเลยน่ะสิ รู้ตัวไหมว่าเผลอพูดทั้งชื่อตัวเอง ทั้งเรื่องของตัวเองบ่อยขนาดไหนเวลาอยู่กับเรา”

กลีบบัวชะงัก จะว่าไป เวลาอยู่กับแดนไท เธอรู้สึกสบายใจจนเผลอแสดงด้านที่เป็นกลีบบัวออกไปเยอะมากจริงๆ

“เราก็เลยลองสืบเรื่องบัวดูน่ะ” แดนไทมองเธอด้วยแววตาขอโทษ “เราสงสัยว่าบัวเป็นใคร เราเคยไปเยี่ยมที่เก็บโกศใส่กระดูกของบัว เจอคุณย่าบัวด้วยนะ ย่าจงกลน่ารักแล้วก็ใจดีมากๆ ท่านยังบอกเลยว่าจะไปปฏิบัติธรรมให้จิตใจสงบ”

เขามองเธอนิ่ง ไม่คาดคั้น เพียงแค่รอคอย

แล้วกลีบบัวก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้แดนไทฟัง ตั้งแต่ตอนที่สลับร่างกับพิสชา จนเรื่องที่ตัวเองหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากเรือนหอ

จากนั้นหญิงสาวต้องรอพักใหญ่ เพื่อให้แดนไทไปสงบสติอารมณ์นอกบ้าน แววตาของเขาก่อนจะหลบออกไปราวจะฆ่าคนได้

นานจนกลีบบัวไม่แน่ใจว่าเธอควรไปตามชายหนุ่มหรือเปล่า แดนไทก็เดินกลับมาทรุดนั่งตรงหน้าเธอ แววตายังคงกรุ่นโกรธจนกลีบบัวหายโมโหเรื่องที่ตัวเองได้เจอไปเลย เพราะคนตรงหน้าดูจะโกรธแทนเธอไปหมดแล้ว

รอจนประกายตาคู่นั้นสงบลง เปลี่ยนเป็นแววห่วงใยและครุ่นคิด แดนไทจึงกล่าว “แปลก”

เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เรื่องที่ทุกอัตลักษณ์ปรากฏตัวออกมาพร้อมกันน่ะ” อีกฝ่ายตอบ

จะว่าไป กลีบบัวเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

การที่ธีรดนย์เมาจนลวนลามเธอเป็นเรื่องน่าตกใจก็จริง แต่มันส่งอิทธิพลกระทั่งสั่นสะเทือนทุกอัตลักษณ์ให้ตื่นตระหนกจนปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ ออกมา ‘ข้างนอก’ ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

พอคิดย้อนไป ธีรดนย์คงตกใจมากที่จู่ๆ กลีบบัวแสดงสีหน้าหลากหลายเปลี่ยนไปมา

“โรคหลายบุคลิกเกิดจากการมีบางอย่างที่หนักหนามากๆ ไปกระทบจิตใจผู้ป่วยใช่ไหม” กลีบบัวครุ่นคิด “บางทีถ้ามีวิธีช่วยดึงความทรงจำของคุณพิสชาได้ พวกเราอาจรู้ต้นตอของปัญหาก็ได้นะ”

แดนไทไม่เห็นด้วย “เรากลัวว่าถ้าพวกเราเข้าถึงความทรงจำที่พิสชาพยายามลืม อาจทำให้จิตใจของพิสชาแตกเป็นเสี่ยงมากกว่าเดิม แล้ว…” เขามองเธอ สีหน้ากังวล

“แล้ว…” เธอทวนคำ

“เรากลัวว่ากลีบบัวจะหายไป”

 



Don`t copy text!