เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ “บ้านใหม่-เพื่อนใหม่”

เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ “บ้านใหม่-เพื่อนใหม่”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

จะเพราะแมรีมีแผนให้ลูกเติบโตในสังคมของชนชั้นกลางก็ดี หรือเพราะอยากตัดไฟเสียแต่ต้นลม มิให้น้าชายเล่าเรื่องผจญภัยในดินแดนตะวันออกให้หลานคนเล็กฟังก็ดี ในวันหนึ่งเมื่อวิลเลียมอายุสิบขวบ เขาก็ตามแม่ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานีแกรนโบโร ห่างจากลอนดอนออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเกือบ 53 ไมล์ แล้วนั่งรถม้าไม่มีหลังคาต่อไปยังหมู่บ้านนอร์ทมาร์สตัน มณฑลบักกิงแฮมเชอร์ โดยมีกระเป๋าเดินทางบรรจุเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นมาเพียงใบเดียว

รถม้าพาลัดเลี้ยวขึ้นเนินซึ่งเห็นยอดโบสถ์เซนต์แมรีอยู่ลิบๆ จนถึงจุดหมาย คือโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กับโบสถ์นั่นเอง

“ยินดีต้อนรับสู่ ชอร์น คอลเลจ”

นักบวชผู้หนึ่งซึ่งยืนคอยอยู่แล้วกล่าวต้อนรับเมื่อรถม้าจอดสนิท

วิลเลียมมัวแต่สนใจทิวทัศน์แปลกตา เด็กในวัยเดียวกันและโตกว่าในเครื่องแบบของโรงเรียนวิ่งเล่นอยู่ในสนาม บางคนก็สะกิดกันดูเขา โบกมือให้เป็นการทักทาย เขาจึงแอบโบกมือน้อยๆ ตอบกลับไป เพราะยังต้องรักษาท่าทีสงบเสงี่ยมขณะที่มารดายังพูดกับนักบวชผู้มารอต้อนรับ รู้ตัวอีกครั้ง มารดาก็เอ่ยฝากฝังว่า

“ดิฉันฝากคุณพ่อด้วยนะคะ”

“ไม่ต้องกังวล มิสซิสบรูค ที่นี่เรามีกฎระเบียบเคร่งครัด เพื่อฝึกฝนให้นักเรียนรู้จักการประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัย การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ ที่นี่จะทำให้รู้จักการเข้าสังคม การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี หากทำผิดระเบียบก็ต้องถูกทำโทษ คุณทราบดีใช่ไหมว่า Spare the rod, spoil the child (1) สงวนไม้เรียว จะทำให้เด็กเสียคน”

“ดิฉันทราบดีค่ะ”

แมรีตอบรับ หล่อนรู้ว่าระเบียบของโรงเรียนประจำแห่งนี้เคร่งครัดเข้มงวดอย่างไร มันเป็นเหตุผลหนึ่งที่หล่อนเชื่อมั่นว่าจะเป็นสถานที่หล่อหลอมให้วิลเลียมเติบโตไปในทางที่ดี เพราะสังคมที่นี่เป็นสังคมของชนชั้นกลาง นักเรียนในโรงเรียนนี้ล้วนเป็นลูกผู้ลากมากดีในสังคมอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตระกูลนายทหารใหญ่ ตระกูลคหบดี หรือแม้แต่ตระกูลนักบวชนิกายแองกลิกัน

วิลเลียมรู้ตัวแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในขณะที่ยังสับสนกึ่งยอมรับความจริงอยู่นั้น แม่ก็เอ่ยถ้อยคำทำนองให้รู้ว่าจากนี้ไปจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จงเรียนรู้และผูกมิตรกับเพื่อนให้มาก เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า ทว่าวิลเลียมแทบจะจำถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ มันไหลผ่านหูไปเหมือนสายน้ำ

ประโยคสุดท้ายที่แม่บอกและเขาจำได้คือ

“แม่จะมารับกลับบ้านตอนปิดเทอมนะจ๊ะ”

 

ความโศกเศร้าเหงาหงอยที่ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่ในสถานที่ใหม่กินเวลาเพียงสั้นๆ วิลเลียมก็พบความสนุกเข้ามาแทนที่ เริ่มจากการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่วัยเดียวกันและเป็นลูกไล่ของรุ่นพี่ที่โตกว่า กิจวัตรประจำวันดำเนินไปอย่างมีแบบแผนกำหนดไว้ชัดเจนทั้งเวลาตื่นนอน อาบน้ำ รับประทานอาหาร เข้าชั้นเรียน หรือแม้แต่เวลาปิดไฟนอน กึ่งบังคับให้หลับกลายๆ ก็อยู่ในตารางเวลาที่เคร่งครัด กิจวัตรและกิจกรรมหลายอย่างในโรงเรียนประจำต้องทำเป็นหมู่คณะ แม้กระทั่งเวลาทำผิดต้องถูกลงโทษก็โดนกันเป็นกลุ่ม

“Spare the rod, spoil the child”

คุณพ่อมักจะทวนให้ได้ยินทุกครั้งก่อนทำโทษเพื่อย้ำว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ ในขณะที่มือก็ดัดไม้เรียวแล้วฟาดลมให้เสียงดัง…ขวับ ขวับ…ข่มขวัญนักเรียนผู้ยืนกอดอกเรียงแถวให้ผวาก่อนที่ไม้เรียวจะสัมผัสก้นจริงๆ เสียอีก

“ถ้ามัวแต่สงวนไม้เรียว เด็กก็เสียคน หากไม่ลิ้มรสความเจ็บเสียก่อน ก็ยากที่จะหลาบจำ”

วิลเลียมเคยแอบคุยกับเพื่อนเรื่องถูกทำโทษด้วยไม้เรียวตีก้นนี้ว่า ไม่เคยโกรธที่ถูกคุณพ่อตี เพราะรู้ว่าตนทำผิดจริง แต่อยากรู้ว่าคุณพ่อฝึกฝนอย่างไร จึงลงน้ำหนักมือได้สม่ำเสมอตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว คนแรกถึงคนสุดท้าย ไม่รู้สึกว่าใครถูกตีเบาหรือแรงไปกว่าใครเลย

หลังทำโทษแล้ว คุณพ่อก็แจกขี้ผึ้งตลับใหญ่ แล้วนักเรียนที่ถูกทำโทษด้วยกันนั่นเองก็ถลกกางเกงเรียงต่อเป็นแถวทาขี้ผึ้งให้กัน

วันเวลาในโรงเรียนประจำจึงผ่านไปอย่างไม่มีช่วงเวลาให้เหงา ยามฤดูหนาวก็ชวนกันไปเล่นฟุตบอลและรักบี้เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและแข็งแรง เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนก็ออกมายืดเส้นยืดสายทำกิจกรรมกลางแจ้ง และเมื่อเข้าสู่ช่วงดอกไม้บาน ก็ถึงฤดูกาลสำหรับเล่นคริกเก็ต ซึ่งเป็นสิ่งที่วิลเลียมโปรดปรานที่สุดในบรรดากีฬาที่เขาเล่นได้ดี

แม่ไม่ได้มารับกลับบ้านในช่วงปิดเทอมปีแรกตามที่บอกไว้…วิลเลียมไม่ถือว่าเป็นสัญญา มีเพียงจดหมายสั้นๆ บอกว่าให้ใช้เวลาปิดเทอมที่โรงเรียนประจำไปก่อน วิลเลียมก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะในยามนั้นมีเรื่องชวนสนุกผ่านเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ดึงเอาเวลาที่จะคำนึงถึงบ้านไปจนหมดสิ้น

จนกระทั่งได้รับจดหมายฉบับล่าสุด เนื้อหาแม้ไม่มากนักแต่ก็ยาวกว่าฉบับที่ส่งมาก่อนหน้านี้ และบอกให้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

วิลเลียมไม่เคยรู้ว่า เมื่อกลับถึงลอนดอน แม่ได้ยื่นคำขาดกับน้าอีวานให้ออกไปจากบ้านด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่าย วิลเลียมไม่รู้ว่าการเจรจาระหว่างแม่กับน้าอีวานเป็นไปด้วยดีหรือมีปากเสียงรุนแรงอย่างไร เพราะไม่มีโอกาสได้ถามเรื่องนี้จากใครสักคน

จดหมายสั้นๆ ของแม่มีสาระสำคัญอยู่ว่า

ขณะนี้แม่และแอชตันพี่ชายคนโตย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่มิดเดิลเซ็กส์ แม้จะห่างจากบ้านเดิมไม่มาก แต่บ้านหลังใหม่ก็มีขนาดเล็กลง มีสมาชิกเพียงสามคนคือแอชตัน แม่ และหญิงรับใช้อีกหนึ่งคนเท่านั้น

 วิลเลียมจึงเริ่มรับรู้กลายๆ ว่า สถานะทางบ้านของเขากำลังแย่ลง

และในวันหนึ่ง พี่ชายคนโตก็มารับเขากลับไปอยู่ที่บ้านใหม่

 

วิลเลียมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นชืดไร้ชีวิตชีวาเมื่อก้าวขาเข้าไปในบ้านใหม่ แม่โผเข้ามากอดอย่างรักใคร่และคิดถึง ซึ่งถ้าหากว่าวิลเลียมรู้ความกว่านี้ เขาคงกังขาว่าเหตุใดเมื่อแม่คิดถึงเขามากขนาดนี้จึงไม่ไปหาที่โรงเรียนประจำเลย

เพียงเวลาไม่นานในบ้านใหม่ วิลเลียมก็ได้รู้ว่า

“น้าอีวานของลูกจากพวกเราไปแล้ว” แมรีบอกเศร้าแต่น้ำเสียงมิได้อาวรณ์นัก “ใครจะทนลำบากอยู่อย่างนี้ได้”

“ฮิวจ์ล่ะครับแม่ ฮิวจ์อยู่ห้องไหน” วิลเลียมส่ายตาแลหาไปทั่ว หวังจะพบประตูสักบานหนึ่งที่เป็นห้องนอนของพี่ชาย

แมรีซับน้ำตาที่หยาดไหลลงมา บอกลูกชายเสียงสั่นว่า

“ฮิวจ์ไปพบพระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

วิลเลียมอึ้งและพลันสมองว่างเปล่าเมื่อได้รู้ว่าพี่ชายคนที่สามจากไปไม่มีวันกลับ ทำไมทุกคนเก็บเงียบ ไม่บอกเรื่องนี้เลย ผลก็คือวิลเลียมเศร้าซึมไปอีกหลายวันจนแมรีรู้สึกว่าหล่อนคิดผิดที่ไม่บอกเรื่องนี้แก่ลูกชาย ในจดหมายของแม่ เขาก็มิได้เอะใจว่าแม่ไม่พูดถึงฮิวจ์ เพราะคงคิดว่าการบอกให้รู้อาจมีผลเสียมากกว่าดี

“พี่โทมัสล่ะครับ” วิลเลียมถามพี่ชายคนโต เพราะอีกคนหนึ่งที่หายไปจากบ้านคือพี่ชายคนรอง

“โทมัสอยู่ที่แคนาดา”

แอชตันบอกน้องชายสั้นๆ แต่คงไม่เพียงพอจะทำให้วิลเลียมหายสงสัย ผู้เป็นมารดาจึงบอกต่อไปว่า

“แอชตันลาออกจากเสมียน มาเรียนด้านการศาสนาที่คิงส์ คอลเลจ และกำลังจะย้ายไปที่ออกซ์ฟอร์ดปีนี้ ส่วนโทมัสก็ไปเรียนด้านศาสนาเหมือนกันที่เล็นนอกซ์วิล์ล”

วิลเลียมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนั้นมาก่อน แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าแม่ปลื้มมาก

“โทมัสเข้าเรียนที่วิทยาลัยของบิชอป” แอชตันเป็นคนบอกให้รู้เกี่ยวกับที่นั้น และเข้าประเด็นสำคัญทันที “พี่กับแม่ตกลงใจว่า จะให้น้องไปอยู่กับโทมัสที่นั่น”

“ที่นั่น…” วิลเลียมทวนคำเพราะยังจำชื่อแปลกใหม่นั้นไม่ได้

แอชตันพยักหน้าอย่างจริงจังเมื่อบอกว่า

“เล็นนอกซ์วิล์ล เมืองควิเบก แคนนาดา”

และแมรีเป็นผู้สำทับอย่างปลาบปลื้มแก่ลูกชายว่า

“ตรงนั้นก็เป็นอีกที่หนึ่ง ที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ”

 

วิลเลียมอายุ 15 ปีเมื่อต้องเดินทางไกลออกจากอังกฤษเป็นครั้งแรก ในปีนั้นแอชตันจบการศึกษาด้านศาสนาจากออกซ์ฟอร์ดแล้ว หลังจากบวชเป็นบาทหลวงก็ถูกส่งไปประจำที่เมืองยอร์กทางตอนเหนือของอังกฤษ หากกระนั้นเขาก็ยังเดินทางมาที่ลิเวอร์พูลเพื่อส่งน้องชายคนเล็ก

เช่นเดียวกับพี่ชายคนรอง โทมัสก็สำเร็จด้านการศาสนาแล้วบวชเป็นบาทหลวงจากอาร์คบิชอปแห่งออนตาริโอ แคนาดา

แม้ว่าแมรีจะต้องส่งลูกชายคนเล็กเดินทางไกลไปอยู่กับลูกคนรองในแคนาดา ทว่าหล่อนมิได้อาลัยอาวรณ์นัก ด้วยว่าการที่บุตรชายทั้งคู่บวชเป็นบาทหลวงเจริญรอยตามพ่อและตา ทำให้แมรียังรักษาสถานภาพของชนชั้นกลางไว้ได้ และยังขยับขึ้นไปเป็นชนชั้นกลางระดับสูง

“พี่ๆ ควรช่วยดูแลน้องแทนแม่ได้แล้ว” แมรีพูดในวันหนึ่งที่อยู่กันพร้อมหน้า เมื่อตกลงกันว่าควรส่งวิลเลียมไปอยู่กับโทมัสที่แคนาดา แอชตันก็เขียนจดหมายถึงน้องชาย ไม่นานก็ได้คำตอบว่าเขาไม่ขัดข้อง

กลางปี 1892 แมรีจึงฝากลูกคนเล็กที่กำลังโตเป็นหนุ่มไปกับคณะบาทหลวงที่จะเดินทางไปกับเรือเที่ยวนั้นพอดี หากกระนั้น หล่อนก็ยังซื้อตั๋วโดยสารชั้นซาลูน หรือตั๋วชั้นหนึ่งซึ่งมีราคาสูงถึง 12.4 ปอนด์ หรือราว 60 ดอลลาร์ โดยไม่เสียดายว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

เรือกลไฟที่แมรีซื้อตั๋วให้ลูกชายเดินทางชื่อ เอส เอส เลค ซูพีเรีย (SS Lake Superior) เป็นเรือใหม่และทันสมัยที่สุดในขณะนั้น หล่อนให้เหตุผลแก่ลูกชายที่ยอมจ่ายในราคาเกินจำเป็นว่า

“ถ้าเราจะรักษาสถานภาพตัวเองให้อยู่ในชนชั้นใด เราก็ไม่ควรลงไปเกลือกกลั้วกับชนชั้นที่ต่ำกว่า นอกจากให้ความเมตตาช่วยเหลือในบางเรื่องเท่านั้น”

วิลเลียมตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ที่ได้พบ นับแต่บรรยากาศคึกคักที่ท่าเรือลิเวอร์พูล ผู้โดยสารแต่ละชั้นมีทางขึ้นแยกกัน และได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน ผู้โดยสารชั้นหนึ่งแทบทุกคนเป็นชนชั้นสูงและคนติดตามที่ถูกอบรมมาอย่างดี มีแต่ความพินอบพิเทาปรากฏขึ้นอยู่ทุกนาที ในขณะที่ผู้โดยสารชั้นสามเหมือนเป็นพาหะของโรคร้าย ก่อนขึ้นเรือต้องอ้าปากให้ตรวจฟันและสางผมเพื่อตรวจดูว่าไม่เป็นเหา

เสียงหวูดดังพร้อมกับปล่อยควันสีดำออกมาจากปล่องใหญ่ วิลเลียมตามคณะนักบวชขึ้นไปเกาะระเบียงเรือเพื่อโบกมือลาคนที่มาส่ง เขาพยายามเพ่งจับจุดที่แม่และพี่ชายยืนอยู่ จนร่างของทั้งคู่ค่อยๆ เล็กลงและกลืนหายไปกับฝูงชน ผู้โดยสารแยกย้ายกันเข้าห้องพัก วิลเลียมจึงขออนุญาตบาทหลวงผู้นำคณะว่า เขาขอสำรวจส่วนต่างๆ บนเรือลำนี้ ท่านก็ไม่ขัดข้อง เพียงแต่ให้ตรงเวลาเมื่อถึงเวลาสวดมนต์และรับประทานอาหาร

เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องพักส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง จดจำตำแหน่งแห่งที่จนมั่นใจว่าจะไม่หลงแล้วออกมา สองขาพาขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือเพื่อมองทิวทัศน์เวิ้งว้างกว้างไกลของผืนน้ำและผืนฟ้า เขาเตร่เข้าไปใกล้วงสนทนาวงใหญ่ จากการแต่งกายและท่าทีงามสง่าทุกอิริยาบถก็ทำให้รู้ว่าเหล่านี้คือชนชั้นสูง ใกล้เข้าไปอีกนิดจึงเห็นว่าคนเหล่านั้นรายล้อมบุรุษสูงวัยหนวดเคราขาวในเครื่องแบบเต็มยศคนหนึ่งอยู่ ราวกับเขาเป็นตัวเอก ทุกคนเรียกเขาว่า กัปตัน

เลดี้ผู้หนึ่งหันมาเห็นวิลเลียมพอดี ท่าทางเด๋อด๋าวางตัวไม่ถูกของเด็กหนุ่มทำให้หล่อนกรีดพัดลูกไม้ป้องปากเพื่อซุบซิบกับสตรีที่อยู่ข้างๆ ในขณะที่หางตาของหล่อนยังปรายมาทางวิลเลียม หล่อนพยักหน้าสองสามทีเมื่อได้รู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นใคร เมื่อลดพัดลูกไม้ลง จึงเห็นรอยยิ้มประดับที่ริมฝีปากของหล่อน

แม้ว่ามันจะเป็นการยิ้มที่ดูไม่จริงใจ เหมือนเป็นการแสดง แต่ก็เป็นการเปิดประตูให้วิลเลียมได้เดินเข้าไปร่วมวง

“ท่านดัชเชสบอกว่า เธอมากับคณะของท่านสาธุคุณจอห์นหรือจ๊ะ”

“ใช่ครับ ผมจะไปหาพี่ชายที่แคนาดา พี่โทมัสเป็นบาทหลวงอยู่ที่อาร์คบิชอป”

คำตอบของวิลเลียมทำให้เจ้าหล่อนพอใจ รอยยิ้มหล่อนกว้างขึ้นในขณะที่มือกุมสร้อยเส้นยาวที่คล้องกางเขนไว้ หน้าตาท่าทางและน้ำเสียงของหล่อนละมุนละไมเมื่ออวยพรว่า…ขอพระเจ้าคุ้มครอง…ก็ยังทำให้วิลเลียมอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนกำลังแสดงบทบาทสตรีผู้เคร่งครัดในศาสนา

“บนดาดฟ้านี้ ผู้โดยสารชั้นอื่นขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหมคะ กัปตัน”

คำถามของหล่อนมีริ้วของความคอขาดบาดตาย หล่อนอาจหายใจไม่ออกถ้ามีผู้โดยสารชั้นอื่นขึ้นมาแปมปน

“ไม่มีทางเลยครับ เลดี้ ชั้นเฟิร์สคลาสนี้ สงวนพื้นที่ไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งเท่านั้น”

“กัปตันรับรองเองอย่างนี้ ดิฉันก็โล่งใจค่ะ คนเยอะมากจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดิฉันพลอยจะหายใจไม่ออก” หล่อนหันไปยังสุนัขพันธุ์วิปเป็ตร่างเพรียวขนสีดำเป็นมันเงาที่คนรับใช้สาวคุกเข่าจูงอยู่ไม่ห่าง “เบลล์ก็ชอบวิ่งในที่กว้างๆ คนไม่พลุกพล่าน”

วิลเลียมอยากจะขมวดคิ้วเกาหัวแกรก บนดาดฟ้านี้กว้างขวางพอจะเล่นคริกเก็ตได้ ต่อให้มีผู้โดยสารชั้นอื่นขึ้นมา ก็ยังมีที่ว่างเหลือเฟือ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีปัญหาอากาศไม่พอหายใจ จนกระทั่งได้ยินหล่อนสรุปในตอนท้าย ซึ่งอีกนาน…กว่าวิลเลียมจะเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของหล่อน

“ถึงจะอยู่บนเรือแค่ไม่กี่วัน เราก็ควรได้สูดแต่อากาศบริสุทธิ์ใช่ไหมคะ”

 

“เรือลำนี้กว้างแค่ไหนครับ” วิลเลียมถามกัปตัน

“เอส เอส เลค ซูพีเรียร์ ใหญ่เกือบร้อยสามสิบเมตร ใหม่และทันสมัยที่สุดจากอู่ต่อเรือที่กลาสโกลว์” ผู้เป็นกัปตันตอบ แต่เลดี้เจ้าปัญหาไม่วายมีเรื่องขัด

“แปดปีแล้ว ยังนับว่าใหม่อยู่หรือคะ กัปตัน”

“เทียบกับเรือกำปั่นใบล้วนแล้ว ยังไม่มีเรือลำใดใหม่และทันสมัยเท่าลำนี้ครับ เลดี้” กัปตันชี้ไปยังปล่องควันใหญ่กลางลำและเสากระโดงสูงสำหรับติดใบเรือ “สิ่งนั้นช่วยเสริมกำลังของเครื่องจักรไอน้ำ ทำให้ขับเคลื่อนได้ดีขึ้น สังเกตไหมครับว่าเรือของเราแล่นนิ่งมาก ทั้งที่มีคลื่นและลมแรง”

“มันจะจมไหมครับ”

วิลเลียมถามอย่างพาซื่อ เพราะนึกถึงของชิ้นใหญ่น้ำหนักมาก โยนลงน้ำทีไรก็จมทุกที

“ไม่มีวันจมหรอก หนุ่มน้อย” น้ำเสียงกัปตันค่อนข้างมั่นใจ “จุดอันตรายที่เราต้องคอยระวังในการเดินเรือข้ามแอตแลนติกนี้มีอย่างเดียวคือภูเขาน้ำแข็ง แต่จากประสบการณ์ของฉัน ฉันขอรับรองว่าเราจะถึงฝั่งโดยปลอดภัย”

“ถ้าตอนเข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็ง ผมขึ้นมาดูที่ดาดฟ้านี้ได้ไหมครับ” วิลเลียมขออนุญาต “ผมอยากเห็นตอนที่เราผ่านภูเขาน้ำแข็ง”

สตรีที่อยู่ในวงสนทนาหัวเราะน้อยๆ ขำขันให้ความสนใจที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของวิลเลียม เช่นเดียวกับกัปตันที่พลอยหัวเราะตามไปด้วย หากก็อนุญาตพร้อมแนะนำว่า

“หาเสื้อหนาๆ มาใส่คลุมด้วยก็ดี เพราะเธออาจจะหนาวมากจนแข็งไปเสียก่อน หนุ่มน้อย”

เก้าวันบนเรือกลไฟจากท่าเรือลิเวอร์พูลสู่ท่าเรือเมืองมอลทรีออลของแคนาดาไม่นานเกินไปที่จะทำให้วิลเลียมเบื่อ เขาสำรวจไปในพื้นที่ต่างๆ ที่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งเข้าไปได้ และได้สิทธิพิเศษในการเข้าไปในบางพื้นที่เมื่อเขาบอกว่ามากับคณะของสาธุคุณจอห์น

ครั้นเรือเทียบท่าวิลเลียมก็พบโทมัส พี่ชายคนรองในชุดบาทหลวงยืนคอยอย่างสงบ

สาธุคุณโทมัสกล่าวขอบใจสาธุคุณจอห์นที่ดูแลน้องชายมาตลอดการเดินทาง ขนสัมภาระขึ้นรถแล้วก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าสู่เมืองพอร์ตโฮป ออนตาริโอ พาน้องชายไปฝากไว้ที่โรงเรียนประจำซึ่งเขาติดต่อล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว นั่นก็คือ ทรินิตี คอลเลจ

โทมัสวางตัวเป็นผู้ปกครองน้องชายก็จริง แต่ก็เอื้อเฟื้ออยู่ห่างๆ มิได้ประคบประหงม เมื่อวิลเลียมถูกส่งต่อให้อยู่ในความปกครองของโรงเรียนแล้ว สาธุคุณโทมัสก็ไม่อ้อยอิ่งอยู่ต่อไป ปล่อยให้น้องชายผจญชีวิตในโลกใบใหม่ด้วยตัวเอง…โทมัสคิดว่า นี่คือหนทางแห่งการเติบโตที่แข็งแกร่งสำหรับเด็กชายชาวอังกฤษ

ครูผู้ปกครองพาวิลเลียมไปแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ในชั้นเรียน หลายคนซุบซิบกันเมื่อเห็น ทำให้วิลเลียมรู้ว่าเด็กเหล่านั้นรู้ล่วงหน้าถึงการมาของเขา และคงตั้งตารอดูว่าเขาจะเป็นอย่างไร วิลเลียมกวาดสายตาไปทั่วห้องก็สะดุดที่เด็กหนุ่มผู้มีผมสีดำเป็นเงาเหมือนขนราเวนส์ (2) ที่เลี้ยงในทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน

“สวัสดีทุกคน ฉันชื่อวิลเลียม…วิลเลียม บรูค” แนะนำตัวแล้วก็เสียงอ่อยลงในตอนท้าย “มาจากอังกฤษ”

เสียงพึมพำดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าไปทางดีหรือร้าย วิลเลียมยังไม่มีโอกาสได้ใส่ใจครุ่นคิด ครูก็บอกให้ไปนั่งโต๊ะที่ว่าง ข้างๆ เด็กหนุ่มผมดำ

“สวัสดี” วิลเลียมทักทายอีกครั้งเป็นการส่วนตัว “ฉัน…วิลเลียม บรูค”

“ฉัน…ลีรอย บลูมเมอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

ช่วงพักเที่ยง นักเรียนกรูกันออกจากห้องเรียนไปที่โรงอาหาร มีรุ่นพี่มาคอยกำกับดูแลความเรียบร้อย วิลเลียมสังเกตลีรอยอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าเขาคงมีอะไรบางอย่างในใจ เพราะขณะที่คนอื่นวิ่งออกไปนั้น ลีรอยจะทำรีรอแล้วออกไปเป็นคนสุดท้าย คล้ายว่าเขาต้องทำเจียมตัวอยู่ในที แต่วิลเลียมยังไม่กล้าถามออกไปตรงๆ คงลอบสังเกตเงียบๆ

จนกระทั่งในตอนเย็น ครูผู้ปกครองก็บอกเรื่องหอพัก

“เป็นอันว่าเธอสองคนเข้ากันได้ คุณบรูค คุณบลูมเมอร์”

วิลเลียมเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าที่ผ่านมาทั้งวันครูผู้ปกครองสังเกตห่างๆ ว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนใหม่หรือสังคมของที่นี่ได้หรือไม่ ฟังครูผู้ปกครองพูดถึงหอพักต่อไป

“เราอาศัยร่วมกันในแฟลต แบ่งเป็นแฟลตบนและแฟลตล่าง แต่ละแฟลตจะมีครูผู้ปกครองและรุ่นพี่คอยดูแล”

ลีรอยกระซิบบอกวิลเลียมเบาๆ ว่า

“ฉันอยู่ที่แฟลตบน”

ท่าทางนั้นไม่พ้นสายตาของครูผู้ปกครอง เขายิ้มน้อยๆ เมื่อมอบหมาย

“คุณบลูมเมอร์ พาเพื่อนใหม่ของคุณไปรายงานตัวที่แฟลต ส่วนสัมภาระของคุณบรูค อยู่ที่นั่นแล้ว”

“ครับ” ลีรอยรับคำสั่ง ไม่บ่งชัดว่าเต็มใจหรือขัดใจ

“นายมาจากที่ไหนเหรอ” วิลเลียมถามเพื่อนใหม่ระหว่างเดินไปยังแฟลตบน หวังว่าจะได้ยินชื่อเมืองแปลกๆ สักแห่งหนึ่ง แต่กลับผิดคาด

“ฉันมาจากบ้านเด็กกำพร้า”

นี่เองคือปมในใจของลีรอย บลูมเมอร์

เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้ว่าผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงคือใคร ลีรอยอาจจะเป็น ‘คนอังกฤษ’ แบบที่แม่ชอบย้ำอยู่เสมอว่าแตกต่างจากคนผิวขาวชาติอื่นๆ หากผมสีดำขลับเหมือนขนราเวนส์ของลีรอย คงกลายเป็นปมด้อยที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแกะหลงฝูง

“ฉันดีใจที่ได้เจอนาย” วิลเลียมเอ่ยขึ้นมา

ลีรอยประหลาดใจและยังตั้งตัวไม่ติดว่าวิลเลียมคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเขาเอ่ยต่อไป ใบหน้าของลีรอยก็ค่อยกระจ่างขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ตอนที่เดินทาง ฉันยังกลัวว่าจะหาเพื่อนที่นี่ได้ไหม แล้วก็โชคดีเป็นบ้าเลยที่เพื่อนใหม่ของฉันเป็นคนพิเศษ เพราะมีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง”

ลีรอยเอียงหน้าอย่างไม่เข้าใจ วิลเลียมจึงเอ่ยต่อไปว่า

“ฉันก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน ฉันไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย นอกจากในรูปถ่าย กับเรื่องที่แม่และน้าอีวานเล่าให้ฟัง ยังกะนิทานแน่ะ แต่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด นายรู้จักอินเดียไหม”

“เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นหรอก” ลีรอยตอบพลางส่ายหน้า

“ไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง รับรองว่าฟังแล้ว นายต้องอยากไปเห็นอย่างที่ฉันอยากเห็น ฉันตั้งใจว่าจะต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งหนึ่ง นายอยากไปด้วยกันไหม”

ลีรอยยิ้มแทนคำตอบ แล้วถามก่อนที่วิลเลียมจะเลยไปไกล

“แล้วอะไร ที่นายว่าแตกต่าง”

“ก็ผมสีดำของนายไงเล่า พิเศษกว่าใคร มองไปทางไหนก็มีแต่คนผมสีทอง”

“นายไม่คิดว่ามันประหลาดหรือดูแปลกแยกหรอกหรือ”

“ไม่เลย ในร้อยคนจะมีสักกี่คนที่เป็นแบบนี้ แล้วจะว่าประหลาดได้ยังไง ต้องว่า ‘พิเศษ’ ไม่เหมือนใครสิ ถึงจะถูก”

“แต่ก็ไม่มีใครยอมรับฉัน” น้ำเสียงของลีรอยสลดลงไป พอดีมาถึงหน้าแฟลต วิลเลียมจึงทั้งปลอบและถาม

“อย่างน้อยตอนนี้นายก็มีฉันเป็นเพื่อนแล้วหนึ่งคน อืม…เราจะได้นอนห้องเดียวกันไหม”

ลีรอยตอบไม่ได้ในทันที แต่โชคดีที่เตียงข้างเขาว่าง วิลเลียมจึงได้เป็นเจ้าของเตียงนั้น

ก่อนถึงเวลาเข้านอน วิลเลียมยังกระซิบถามเพื่อนใหม่ถึงเรื่องที่คุยค้างไว้

“มีวิธีไหนที่จะทำให้คนที่นี่ยอมรับเราได้บ้าง”

“เราต้องเป็นตัวแทนแฟลต แข่งครอสคันทรี” ลีรอยบอก “แล้วเราต้องชนะ”

“แข่งกับใคร แฟลตล่างน่ะเหรอ” วิลเลียมถาม ครั้นลีรอยพยักหน้า เขาจึงบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ถ้าอย่างนั้น นายกับฉัน…เราต้องเป็นตัวแทนแฟลตบน เอาชนะแฟลตล่างให้ได้”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” ลีรอยว่า ชวนกวาดสายตาไปทั่วให้เห็นจำนวนคนที่อยู่ร่วมแฟลต “ถึงแม้แฟลตเราจะชนะ แต่เราก็ต้องเข้าเส้นชัยเป็นห้าคนแรกของแฟลตด้วย”

“ไม่เห็นจะยากตรงไหน ยังไงเราต้องเป็นหนึ่งในห้า เชื่อฉันสิ”

ลีรอยรู้ดีว่าการแข่งครอสคันทรีนั้น นักกีฬาต้องฝึกฝนและทนต่อความวิบากยากเข็ญแค่ไหน แต่เขายังไม่อยากดับฝันของเพื่อนใหม่ในตอนนี้จึงนิ่งเสีย ถ้าวิลเลียมลองดูแล้วสู้ต่อไม่ไหว ตอนนั้นก็คงถอดใจเลิกไปเอง

 

เชิงอรรถ : 

(1) ตรงกับสำนวนไทยว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี

(2) ราเวนส์ (Ravens) คือนกกาที่เลี้ยงไว้ที่ Tower of London กินเนื้อสดเป็นอาหาร และเชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์ราชินี

 



Don`t copy text!