ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป

ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป

โดย : สิรี กวีผล

Loading

ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co

เก้าอี้ในโรงละครถูกจับจองเต็มพื้นที่ ผู้คนต่างพากันเดินเข้ามาหาที่นั่งของตนเองกันอย่างคึกคัก นักดนตรี และเหล่าคนเบื้องหลังต่างเตรียมตัวเพื่อให้พร้อมกับงานแสดงในคืนนี้ นักดนตรีทั้งหลายซักซ้อมกำหนดการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเริ่มแสดง

“คีร์ รอบนี้ใครมาดูมึงวะ” เบสเข้ามาตบไหล่เขา คีตะรู้สึกถึงความโชคดีของเพื่อนคนนี้มาก พ่อแม่ของเบสมักจะไปดูเบสเล่นดนตรีหรืองานแสดงเกือบตลอดทุกงาน แตกต่างกับเขาที่ไม่เคยมีใครมานั่งดู เก้าอี้ที่เขาเคยจองให้พ่อกับแม่กับพี่ชายว่างเปล่ามาตลอดตั้งแต่เด็กๆ  คีตะยิ้มอ่อน คอตก เดินหันหลังให้เบสไปอย่างเงียบๆ เบสรู้ทันทีว่าครอบครัวของเพื่อนเขาไม่มาอีกตามเคย

“เอาน่ะ เราเล่นเพื่อให้คนมีความสุข และเราก็มีความสุขที่ได้เล่นไม่ใช่เหรอวะ” เบสกอดคอให้กำลังใจเพื่อน เบสเกือบจะเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่รู้เรื่องครอบครัวของเขา เพราะเบสเคยเรียนประถมที่เดียวกันกับคีตะ แต่พอขึ้นมัธยมทุกคนต่างแยกย้ายกันไป และกลับมาเจออีกครั้งที่มหาวิทยาลัย เบสจะเห็นแววตาเศร้าสร้อยของคีตะอยู่เสมอเวลาที่มีงานโรงเรียน หรืองานแสดงต่างๆ ที่คีตะไม่เคยมีพ่อแม่มาร่วมงานเลยสักครั้งเดียว เขายังเคยเห็นคีตะในตอนเด็กๆ แอบไปร้องไห้เงียบๆ

“อือ กูชินแล้ว ถ้ามาสิแปลก” คีตะแดกดัน

การแสดงบนเวทีเริ่มต้นขึ้นจากการเดี่ยวระนาดเอก ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มีการเดี่ยวเครื่องดนตรีทุกประเภทเพื่อเป็นการนำเสนอความเป็นดนตรีไทย ทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนเครื่องดนตรีเสียงปรบมือจะดังสนั่นโรงละคร ครั้งนี้คีตะเล่นเดี่ยวซอด้วง เขาสีได้จับใจคนฟังจนทุกคนปรบมือกันดังต่อเนื่องเป็นพิเศษ เขาเล่นเดี่ยวซอด้วงเป็นคนสุดท้าย เพื่อเปิดท่อนเพลงให้เข้ากับการบรรเลงร่วมกันของทุกเครื่องดนตรี ไม่นานนักแสงไฟก็ต่างสาดส่องไปยังนักดนตรีคนอื่นๆ ที่ขึ้นมาเดี่ยวกันก่อนหน้าทุกคนต่างร่วมกันประสานเสียง จนเกิดท่วงทำนองอันไพเราะ เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้องอีกครั้งเมื่อจบองค์แสดงแรก

“คีตะ” สุทธิภัทรปรากฏตัวหลังเวที

“สวัสดีครับคุณลุง”

“เธอน่าจะเปลี่ยนวิชาเอกเป็นเอกเครื่องสายมากกว่านะ”

“ผมเพิ่งหัดเรียนซอด้วงได้ไม่นานเองครับคุณลุง”

“คนสอนเธอน่าจะฝีมือดีมาก”

“แล้วคุณลุงมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ พอดีกรมศิลป์ไหว้วานให้ครูมาช่วยดูภาพรวมการแสดงอีกทีน่ะ แต่ลุงว่าคงไม่ต้องแล้ว”

“ทิพย์ไม่มาด้วยเหรอครับ” คีตะชะเง้อมองหาสลิลทิพย์ สุทธิภัทรเงียบไม่ตอบ

“ทิพย์เตรียมงานสวดอยู่ที่วัดน่ะ เดี๋ยวลุงก็ต้องตามไป คีร์แสดงเสร็จก็ตามไปได้นะ” สุทธิภัทรเดินหายไปจากหลังเวทีทันที

องค์แสดงรอบสองเริ่มต้นขึ้น องค์นี้จะมีเครื่องดนตรีประกอบการขับร้อง ตั้งแต่การขับเสภา ร้องเพลงฉ่อย ร้องเพลงลูกกรุง และเพลงไทยประยุกต์ร่วมสมัย การแสดงในรอบนี้จะเน้นไปที่นักขับร้องเสียมากกว่านักดนตรี แต่ทั้งสองฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนเองออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ การแสดงครั้งนี้ทำให้คนดูประทับใจกันเป็นจำนวนมาก เมื่อการแสดงสิ้นสุดลงคนดูต่างยืนขึ้นปรบมือให้กำลังใจและขอบคุณนักดนตรีนักขับร้องทุกคน ต่างคนเริ่มทยอยกันกลับ นักดนตรีก็พากันกลับหลังเวที

“กลับก่อนนะเบส ต้องรีบไปงานศพแม่ทิพย์”

“เออ ขับรถดีๆ ถึงแล้วยังไงก็ไลน์บอกกันไว้ด้วย” เบสเป็นห่วงคีตะ

ยังไม่ทันพ้นโรงละคร เสียงซอด้วงคุ้นหูคีตะดังขึ้นเบาๆ คราวนี้เป็นเสียงเหมือนครั้งแรกที่เขาได้เดินทางข้ามภพเข้าไป ทำนองคุ้นหูที่ดูโหยหา เฝ้าคิดคำนึงถึงใครบางคน ฟังดูเหมือนเพลงรักแต่กลับเศร้าเสียจนจับใจเขา คีตะพยายามไม่สนใจเสียงที่ได้ยิน เพราะวันนี้เขาไม่พร้อมจะกลับไปที่เรือนการเวก สลิลทิพย์รอเขาอยู่ แต่ยิ่งเขาฝืนร่างกายเขากลับขยับตัวไม่ได้ จะก้าวไปข้างหน้าก็ก้าวไม่ออก

มึงหนีข้าไม่พ้นหรอก

 

“คีร์ ตื่นๆ คีตะ” สินพยายามปลุกคีตะเท่าไรคีตะก็ไม่ตื่น สินเขย่าตัวแรงๆ คีตะสะลึมสะลือค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

“คีร์เป็นอะไรหรือเปล่า” สินรีบเข้ามาพยุง คีตะตกใจรีบลุกขึ้นนั่ง เขามองไปรอบๆ เขากลับมาในอดีตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรือนการเวก

“คีร์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“สินต้องถามคีร์มากกว่า มาสลบอยู่บันไดหน้าตึกได้ยังไง” คีตะไม่เข้าใจ เขาเริ่มรู้สึกเจ็บที่หัว พอเอามือขึ้นไปจับถึงขั้นร้องโอ๊ย มือของเขาเปื้อนเลือดเล็กน้อย

“สินมาเห็นไม่ทันรับตัวคีร์ หัวคีร์เลยฟาดลงที่พื้น” สินเล่าเหตุการณ์เท่าที่ตนเองเห็นให้คีตะฟัง

“ฟื้นแล้วหรือจ๊ะ พี่คีร์” เสียงอิงอรดังแหลมเล็กมาแต่ไกล เธอถือน้ำ ถือขนมเข้ามาให้ พร้อมกับเข้ามาอ้อล้อ หยอกเอินเขา เนื้อตัวประชิดติดกัน อิงอรดูแผลคีตะใกล้ๆ จนจมูกใกล้ชิดแก้มของเขา คีตะขยับตัวออกมาเล็กน้อย

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว อรมีอะไรหรือเปล่า” คีตะมองหน้าอิงอร

“แหม ก็คิดถึงพี่คีร์ ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวัน” อิงอรไม่อ้อมค้อม สินเบื่อหน่ายมารยาของอิงอร จนสีหน้าเขาแสดงออกชัดเจน คีตะเห็นก็นึกขำ

“อะไรจะขนาดนั้น อิงอร” เสียงทุ้มต่ำ หนักแน่นดังเข้ามาในห้อง เจ้าคุณนรพงศ์เดินเข้ามาหาคีตะ อิงอรชะงักรีบเอาตัวออกห่าง

“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ลงไปกินข้าวกันได้เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก” พูดจบพลางเดินออกจากห้องไปทันที เจ้าคุณนรพงศ์ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ด้วยที่ว่าอิงอรเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของเขา หรือเรียกว่าเป็นเมียอีกคนหนึ่งอย่างลับๆ ที่อยู่ใต้อาณัติของเจ้าคุณนรพงศ์และเที่ยง

“สินบอกคีร์แล้วนะว่าอย่ากลับมาอีก” สินพยายามเตือน

“คีร์ห้ามตัวเองไม่ได้ นี่ที่บ้านคีร์ก็มีเรื่องแล้วคีร์หายมาแบบนี้คงวุ่นวายน่าดู” คีตะรู้ว่าคนที่วุ่นวายไม่น่าใช่ที่บ้านของเขา น่าจะเป็นตัวเขาที่หายไปไม่ไปร่วมงานศพทิพย์ปภามากกว่า

“คีร์กินข้าวบนนี้แหละ เดี๋ยวสินให้คนเอามาให้ คีร์จะได้พักผ่อน” คีตะไม่เถียงเพราะเขาเองก็ยังปวดหัวที่เป็นแผลอยู่ไม่ใช่น้อย

เสียงลมดังปะทะหน้าต่างไม้โบราณปลุกคีตะให้ตื่นขึ้น เขาเผลอหลับไปหลังจากกินข้าวเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงฟ้าร้องคำรามดังมาเป็นระยะๆ ลมกรรโชกแรงเหมือนมีพายุ ไม่นานนักลมก็พัดพาน้ำฝนมารดพื้น ทุกอย่างเปียกชุ่มในพริบตา เสียงลมฝนกระทบหน้าต่างแรงจนเปียก คีตะรีบเดินไปงับบานหน้าต่างเข้ามาให้สนิท พลันสายตามองออกไปเห็นเรือนการเวก เรือนการเวกดูโทรมกว่า ดูน่ากลัวกว่าที่เขาเคยเห็น เรือนไม้สวยงามแต่บัดนี้กลายเป็นลายไม้ที่ดูพุพัง สึกกร่อน ใบไม้ปลิวว่อนเต็มไปทั่วเรือน

“คีร์ทำอะไร” เสียงสินดังขึ้นมา พาให้คีตะตกใจ

“พอดีฝนสาด สินมาดูนี่สิ เรือนการเวกวันนี้ดูโทรมมาก” สินตกใจที่คีตะเริ่มเห็นในสิ่งที่ใกล้เคียงความเป็นจริง

“เรือนไม้ก็เป็นอย่างนี้แหละ พอโดนฝนเข้าหน่อยก็เปียกจนไม้เปลี่ยนสี ไหนๆ ผุพังตรงไหน” สินตัดสินใจเดินเข้าไป เมื่อคีตะชี้ให้สินดู เรือนไม้ก็กลายเป็นภาพปกติ มีใบไม้ปลิวตามธรรมดาที่โดนพายุ เรือนก็ดูเปียกปอนตามธรรมชาติ คีตะเริ่มสงสัย ที่นี่ต้องมีอะไรแปลกๆ หรือเปลี่ยนไปเป็นแน่ และการที่เขาได้ข้ามภพมาในแต่ละครั้งก็มักจะเกิดเรื่องไม่ดีในปัจจุบันที่เขาอยู่ เหมือนเรื่องบังเอิญแต่ดูบังเอิญจนเกินไป

“ครูเที่ยงอยู่ที่เรือนการเวกคนเดียวเหรอ”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน วันนี้ทุกคนอยู่กันแต่ตึกฝรั่ง”

“ทำไมล่ะ”

“เวลาครูเที่ยงมีธุระ เขาจะไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่าม คืนนี้คีร์ก็นอนที่นี่นะ พรุ่งนี้เช้าค่อยหาทางกลับบ้านอีกที” สินยังคะยั้นคะยอให้คีตะกลับ

มึงไม่ได้กลับไปง่ายๆ หรอก

 

ที่งานศพทิพย์ปภา แขกเหรื่อยังทยอยกันมางานเหมือนเช่นเดิม บางคนมาเป็นวันที่ 2 บางคนเพิ่งได้มีโอกาสมาเคารพ คณณัฐพาพ่อกับแม่มาที่งาน สลิลทิพย์ออกมาต้อนรับ เธอพาคณินทร์และคีตกานต์ไปนั่งที่ประธาน คณณัฐเดินออกจากศาลาไป ในมือของเขามีธูป 7 ดอก พร้อมพวงมาลัยเล็กๆ เขาเดินไปยืนจุดธูปคนเดียวริมประตูรั้ววัด สองมือพนมยกมือขึ้นไหว้พร้อมดอกไม้ ความเชื่อในการขอเจ้าที่เจ้าทางให้นำพาดวงวิญญาณเข้ามาในสถานที่ เพื่อให้ดวงวิญญาณได้เข้ามาฟังพระสวด คณณัฐเองก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาทำ แต่ในใจเขาคิดเพียงแค่เพื่อให้คุณน้าทิพย์ปภาเข้ามาได้เท่านั้น แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้วิญญาณของเที่ยงสามารถเข้ามาในวัดได้เช่นกัน หลังจากคณณัฐปักธูปลงพื้น เที่ยงก็เข้าสิงเขาทันที

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับน้องทิพย์” คณณัฐเดินเข้ามากระซิบข้างๆ หู สลิลทิพย์ตกใจเอามือป้องกระเถิบตัวออกห่าง

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ณัฐ พี่ณัฐไปนั่งกับคุณพ่อคุณแม่ดีกว่าค่ะ” สลิลทิพย์รู้สึกว่าคณณัฐทำตัวไม่ชอบมาพากล “เอ่อ พี่ณัฐคะ แล้วคีร์ล่ะคะ”

“งานแสดงเสร็จแล้ว เดี๋ยวคงมา” น้ำเสียงคณณัฐไม่ค่อยพอใจนักที่ในใจของสลิลทิพย์มีแต่คีตะตลอดเวลา พระ 4 รูปเดินเข้ามาเพื่อทำพิธีสวด พระอาวุโสรูปหนึ่งมองเห็นคณณัฐก็หน้าถอดสี แต่ยังคงสวดพระอภิธรรมต่อไป สุทธิภัทรเข้ามาช้ากว่าคนอื่นๆ สลิลทิพย์มองหน้าพ่ออย่างไม่พอใจนัก

“ทำไมมาช้าจังค่ะคุณพ่อ” สลิลทิพย์กระซิบถาม

“พ่อก็มีงานของพ่อที่ต้องจัดการ ทางนี้ลูกก็จัดการเองได้ไม่ใช่เหรอ” สุทธิภัทรเย็นชากับลูก จนสลิลทิพย์แปลกใจและยังคงไม่เข้าใจ

หลังจากเสร็จงาน พระอาวุโสรูปนั้นเข้ามาหาคณินทร์กับคีตกานต์ ระหว่างที่คณณัฐเดินออกไปกับสลิลทิพย์

“โยม นั่นใช่ลูกชายโยมหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ หลวงพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ” คีตกานต์ยกมือไหว้ ในใจเป็นกังวลที่หลวงพ่อทัก พระอาวุโสหยิบกรอบพระพุทธรูปองค์หนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้ คณินทร์ยื่นมือออกไปรับ

“ให้ลูกชายโยมพกติดตัวไว้อย่าให้ห่าง” พระอาวุโสให้พระกับคณินทร์เสร็จก็เดินจากไป ทำเอาคณินทร์และคีตกานต์ต่างเป็นกังวล

“คีร์หายไปไหนไม่รู้คะพี่ณัฐ”

“พี่เองโทรหาก็ไม่รับสาย ทำไมเหลวไหลแบบนี้ก็ไม่รู้ ไม่รู้หรือยังไงว่าทิพย์คอยอยู่” คณณัฐเริ่มใส่ไฟคีตะ ภายในของเขาคือเที่ยงที่กลับมาเพื่อหาคนที่เขารักและต้องการเปลี่ยนใจเธออีกครั้ง คีตะไม่เคยเงียบหายไปโดยไม่บอกเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้โทรศัพท์มาบอกเธอแล้วว่างานแสดงเสร็จเรียบร้อย ซึ่งก็น่าจะมาถึงทันเวลางานศพแม่ของเธอ

บรรยากาศในงานเงียบลงเมื่อทุกคนกลับกันไปจนหมด ศาลาว่างเปล่า สุทธิภัทรนั่งจ้องมองโลงศพตรงหน้า มองรูปทิพย์ปภา แววตาของเขาดูว่างเปล่า ไม่แสดงอารมณ์ทุกข์โศกใดๆ คณินทร์เห็นเพื่อนนั่งอยู่คนเดียวเห็นเป็นจังหวะที่ดีที่เขาจะเข้าไปคุยด้วย

“ภัทร โอเคไหม”

“กูสบายดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ มึงไม่ต้องห่วง” สุทธิภัทรเปลี่ยนสรรพนามเรียกเพื่อนตนเอง คณินทร์    คีตกานต์ตกใจที่สุทธิภัทรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

คณินทร์ไม่ยอมแพ้ เขาแตะตัวสุทธิภัทร “ภัทร ตั้งสติกลับมาเป็นภัทรคนเดิมได้แล้ว” สุทธิภัทรสะบัดมือคณินทร์ออกอย่างแรง

“นี่ไงกูก็เป็นคนเดิม กูก็เป็นของกูแบบนี้”

“ภัทรที่กานต์รู้จักใจดี อ่อนโยน สุภาพ และอบอุ่น ไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้” คีตกานต์เริ่มทนไม่ไหว สุทธิภัทรเดินเข้าหาคีตกานต์แทบประชิดหน้า

“กานต์อยากรู้จักภัทรให้ดีกว่านี้ไหมละ” ครั้งนี้คณินทร์ไม่ยอม เขาผลักไหล่สุทธิภัทรจนเซ คว้าคอเสื้ออย่างเหลืออด

“มึงจะมากไปแล้วนะ กูเคยอดทนกับมึงมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้กูจะไม่ยอมกับการกระทำแย่ๆ ของมึงอีก” คณินทร์เกรี้ยวกราด โมโหมากจนคีตกานต์ต้องมาห้ามไว้

“มึงก็ไม่ต้องอดทน เพราะครั้งนี้กูจะทำให้สำเร็จ” แววตาของเขามองมาที่คีตกานต์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แววตานั้นเหมือนต้องการจะกลืนกินเธอ เหมือนชายหนุ่มที่กำลังอยากได้ของเล่นใหม่

“ภัทร!” คีตกานต์เอามือป้องอก “เราทุกคนต่างเติบโต มีครอบครัวกันหมดทุกคน ทำไมเธอถึงคิดไม่ได้ ทิพย์ปภาเพิ่งตายไป เธอก็ทำตัวเหลวไหล เธอลืมลูกสาวเธอไปแล้วเหรอ”

“แล้วใครจะทำไม ทิพย์จะได้มีแม่ใหม่เร็วๆ” สุทธิภัทรเดินเข้าหาคีตกานต์ คณินทร์ไม่ทนกับพฤติกรรมของเพื่อนรักตนเองอีกต่อไป เขาเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เต็มกราม สุทธิภัทรหน้าหัน เลือดซึมที่มุมปากเล็กน้อย เขาไม่ยอมให้คณินทร์ต่อยเขาแต่ฝ่ายเดียว ทั้งคู่ต่างเหวี่ยงหมัดเข้าหากันเหมือนวัยรุ่นทะเลาะกัน คีตกานต์พยายามเข้าไปห้ามแต่ไม่เป็นผล แถมหมัดของสุทธิภัทรเหวี่ยงเข้าเต็มหน้าเธอ จนเธอกระเด็นไปชนประตูเสียงดังสนั่น จนสลิลทิพย์กับคณณัฐหันมาดู ทั้งคู่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันก็รีบวิ่งเข้ามา คณินทร์เข้าไปดูคีตกานต์ เธอหัวแตกเล็กน้อยแต่พอได้สติอยู่บ้าง คณินทร์เลือดขึ้นหน้ากำลังจะเข้าไปชกหน้าสุทธิภัทร แต่เขาหลบทัน คณินทร์ก้าวขาออกไปเหยียบพรม รองเท้าหนังที่ใส่มาพาร่างกายของเขาลื่นไถลไปกับพื้นบนศาลา หลังเขาหงายลงกับพื้น พาให้หัวฟาดไปกับแท่นพิธีจนสลบไป เลือดไหลนองเต็มพื้น คีตกานต์ตกใจมาก สลิลทิพย์และคณณัฐตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

คำสาปเริ่มทำงานสักที ข้ารอเวลานี้มานาน



Don`t copy text!