ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 18 : ทำนองที่หายไป

ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 18 : ทำนองที่หายไป

โดย : สิรี กวีผล

Loading

ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co

เสียงซอด้วงขึ้นนำบรรเลง ประสานทำนองเข้ารับกับระนาดเอก สอดรับเข้ากับเสียงฆ้องวงใหญ่ ตะโพนมอญ ฉิ่ง มีเสียงปี่มอญบรรเลงขึ้นช่วงกลางทำให้ทำนองที่ได้ยินโศกเศร้าขึ้นจับใจ เสียงซอด้วงถูกสีจนสุดคันซอ มือตีระนาดรัวไม้แข็งคล้ายจะขาดใจเป็นจังหวะสุดท้ายเพื่อตัดเพลงจบอย่างสิ้นหวัง แสงสีขาวสว่างจางหายคล้ายหมอกควันที่จางลง คีตะหรี่ตาปรับแสงเผยให้เห็นเรือนไม้คล้ายเวทีแสดงดนตรี

“เอ็งแข่งกับข้าไปก็ไม่เกิดผลอะไรหรอกไอ้นพ”

เรือนไม้ฝั่งตรงข้ามเริ่มบรรเลงเครื่องสายผสม บนเวทีมีทั้งบาทหลวงฝรั่งและคนไทย บาทหลวงฝรั่งกำลังเล่นเครื่องสายฝรั่ง ทั้งปี่คลาริเน็ต แตร ไวโอลิน เชลโล่ ประสานกับดนตรีไทยทั้งซอด้วง ระนาด ปี่ ฆ้อง เป็นเสียงดนตรีประสานค่อนข้างสมัยใหม่ ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างกรูกันเข้ามาดู มาฟัง บ้างอยู่ข้างดนตรีไทย บ้างก็ชื่นชมดนตรีฝรั่ง เมื่อบรรเลงจบเสียงปรบมือให้กับกลุ่มเรือนของนพกลับหนาหูกว่า

“พวกมึงก็ขี้ข้าฝรั่งกันทั้งนั้น” เที่ยงลุกขึ้นยืนชี้หน้าด่า

“ดนตรีไม่มีพรมแดนนะเว้ยไอ้เที่ยง” นพเริ่มทนไม่ไหว ยืนขึ้นมาประจันหน้ากับเพื่อนรัก สายพิณเข้ามายืนอยู่ข้างนพ พร้อมทั้งเอามือจับที่แขนนพเบาๆ เพื่อปรามไม่ให้เพื่อนรักทะเลาะกัน สายตาของเที่ยงเคียดแค้นที่คนรักของเขา กลับไปรักเพื่อนสนิทของเขามากกว่าตัวเขาเอง

“พี่เที่ยงใจเย็นๆ ไม่มีใครดีกว่าใครหรอกนะ” สายพิณช่วยพูด

“หึ ใช่สิ พิณก็พูดได้ รักกันนิ เข้าข้างกันเข้าไป คนไร้สกุลอย่างข้าจะไปสู้คนมีสกุลอย่างพวกเอ็งได้ยังไง”

เที่ยงหันไปจ้องหน้าสายพิณ “เห็นความรักของมันดีกว่าพี่ ค่าความรักของพี่มันคงมีไม่พอ” เที่ยงประชด เสียใจที่ความรักของเขาไม่สมหวัง

“พิณคิดกับพี่เที่ยงเหมือนพี่ชายคนนึงของพิณมาตลอด พิณไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย” สายพิณพูดจากใจจริง

“งั้นพี่ก็ผิดเองที่คิดไปคนเดียว ที่เห็นว่าพิณมาทำดีกับพี่ มาห่วงใยใส่ใจพี่ ก็คงไม่มีความหมายไม่มีค่าอะไร” เจ้าคุณนรพงศ์เดินออกมาดูที่เรือนประชันดนตรีเห็นกว่าทั้งสามคนกำลังมีปากเสียงกัน เที่ยงเห็นหน้าเจ้าคุณนรพงศ์ก็ยิ้มแบบมีเลศนัย

“ที่ยกลูกสาวให้ไอ้นพ เพราะหวังสกุลของมันสินะ หรือจะให้สกุลมันช่วยกลบเกลื่อนความเสื่อมโสมมของตัวเองดีล่ะ” เจ้าคุณนรพงศ์เดินเข้ามากระชากคอเสื้อเที่ยง

“มึงจะพูดอะไร” เจ้าคุณนรพงศ์เห็นลูกสาวตัวเองและนพยืนอยู่ก็เกร็งๆ เพราะแท้จริงแล้วเจ้าคุณนรพงศ์สิ้นเนื้อประดาตัว แต่ไม่กล้าบอกลูกสาว แถมยังเจ้าชู้หลายมีทำให้ภรรยาตนเองตรอมใจตาย

“ความลับของเจ้าคุณจะสู้ค่าตัวลูกสาวได้ไหม” เที่ยงกระซิบข้างๆ หู เจ้าคุณนรพงศ์จึงปล่อยมือจากเที่ยง

“จะเอาอะไรก็ว่ามา ข้าเองก็ไม่อยากให้มีเรื่องกันคนกันเองทั้งนั้น ข้าให้เจ้าได้หมดไอ้เที่ยง ข้าให้สัญญา”

“ไว้ข้าจะเอาอะไรข้าจะมาบอก” เที่ยงหัวเราะสะใจ เดินออกไปจากเรือนแสดงดนตรี

คีตะมองดูภาพเบื้องหน้าทั้งหมด ยืนหันซ้ายทีขวาที พยายามพูดคุยทักทายกับผู้คนที่อยู่แถวนั้น พยายามเรียก ครูเที่ยง ครูนพ ครูสายพิณ รวมทั้งเจ้าคุณนรพงศ์ ต่างก็ไม่มีใครได้ยิน พลันเห็นสินเดินหลังไวๆ อยู่ข้างๆ เจ้าคุณนรพงศ์ คีตะรีบวิ่งไปแตะไหล่สิน แต่กลับทะลุผ่านสินไปทั้งตัว

“อะไรวะเนี่ย”

หลายสัปดาห์ผ่านไป คณะครูเที่ยงประชันกับพวกของครูนพ เจ้าคุณนรพงศ์ ต่างดูไม่มีวี่แววจะสิ้นสุด ผู้คนที่แวะเวียนมาดูกลับกลายเป็นเดินผ่าน เห็นเป็นเรื่องปกติ คีตะที่ถูกดึงดูดเข้ามาในอดีตเริ่มวิตกกังวล กลางคืนเขาไม่ได้หลับ กลางวันก็ไม่ได้นอน เพราะเขาเองก็ถูกแรงดึงดูดไปทางนั้นทีทางนี้ที เผยให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรือนการเวกและตึกฝรั่ง แต่ภาพที่ติดตาและจำได้ของเขาคือ ครูสายพิณที่เป็นคนรักของครูเที่ยง บัดนี้กลับกลายเป็นคนรักของครูนพ

นิสัยที่อ่อนโยน ใจเย็น ช่างเจรจา จากที่เคยสัมผัสจากครูเที่ยงกลับกลายเป็นนิสัยและบุคลิกของครูนพไปเสียหมด แต่นิสัยที่ขี้โมโห โวยวาย อารมณ์ร้อน ใจร้อน กลับกลายเป็นของครูเที่ยงไปเสียอย่างนั้น คีตะไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็นทั้งหมดในตอนนี้ จนกระทั่งเขาเห็นครูเที่ยงทะเลาะกับครูนพ พูดจาว่าร้ายและไม่ให้เกียรติผู้หญิงอย่างครูสายพิณ แถมต่อยเข้าที่หน้าครูนพอย่างจัง และยังต่อยครูสายพิณอีก คีตะมองหน้าครูเที่ยงอย่างไม่เข้าใจ สายตาของเที่ยงเคียดแค้นทั้งสองคน ครูเที่ยงเก็บของออกจากเรือนเพียงซอด้วงตัวเดียวเท่านั้น

“นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย แล้วที่ผ่านมาคืออะไร” คีตะพึมพำกับตัวเอง

“ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้นะ” เสียงเจ้าคุณนรพงศ์ดังขึ้น คีตะรีบมองซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียง เขาเห็นเจ้าคุณนรพงศ์ในชุดขาวสะอาดตาอยู่ไกลๆ

“ข้าทำให้เจ้าตาสว่างได้เท่านี้” เจ้าคุณนรพงศ์พูดจบก็เดินหายตัวไป คีตะพยายามเรียกแต่ก็ไม่เป็นผล สักครู่หนึ่งเขาถูกกาลเวลาดึงร่างไปอีกสถานที่หนึ่ง เสียงทำนองซอด้วงที่เขาเคยได้ยินมาตลอด คีตะจำได้ บัดนี้ครูเที่ยงกำลังเล่นซอด้วงพร้อมกับขับกลอนไปด้วย

สายทำนอง ดีดสี สะกดจิต                  เพียงสายพิณ สายนี้ สะกดรัก

สลักจิต ประทับทรวง มิแปรพักตร์                    สลักรัก สายซอพี่ คู่สายพิณ

คีตะเห็นครูนพ ครูสายพิณเดินเข้ามาได้ยิน ครูนพกำลังจะเดินขึ้นมาที่ชานเรือน เสียงซอด้วงหยุดเล่นทันที สายตาแดงก่ำ คิ้วขมวดชนชิดติดกัน ร่างผอมแห้งจนติดกระดูก ยกก้านซอชี้ไปยังคนตรงหน้า น้ำเสียงหนักแน่น ทว่าแหบพร่า เอ่ยคำช้าๆ คล้ายสะกดจิต

“ยามใดที่เครื่องดนตรีไทยแลดนตรีฝรั่งบรรเลงคู่ ยามใดที่ครอบครัวของเพื่อนทรยศบรรเลงคู่ประสาน ยามนั้นถึงฆาตชะตาขาด”

เลือดกระอักออกจากปากเที่ยง พุ่งกระจายเต็มตัว ชโลมซอด้วงที่อยู่บนตักจนกลายเป็นสีเลือด เลือดในร่างกายค่อยๆ ปะทุออกจากทวารทั้ง 7 ดูน่ากลัวสยดสยอง ร่างที่ซูบผอมค่อยๆ ล้มนอนลง มือนั้นจับซอด้วงไว้แน่น ไม่นานนักมือที่ยึดติดก็คลายลง ซอด้วงตกลงกับพื้นกลิ้งมาหยุดตรงหน้านพ เนื้อตัวคีตะเต็มไปด้วยเลือดที่กระอักออกมาจากครูเที่ยง หลังจากนั้นภาพที่เขาเห็นคือ ครูนพและครูสายพิณพยายามวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ นพอุ้มร่างเที่ยงขึ้นมา รีบวิ่งมาที่ตึกฝรั่ง เจ้าคุณนรพงศ์เข้ามาเห็นเที่ยงก็ตกใจ

เที่ยงคว้าข้อมือเจ้าคุณนรพงศ์ที่อยู่ข้างๆ

“วิญญาณมึงต้องรับใช้กู!”

สัญญาข้อเดียวที่เที่ยงต้องการจากเจ้าคุณนรพงศ์มาพร้อมกับแรงเฮือกสุดท้ายที่ไม่มีใครคาดคิดของเที่ยง นพวิ่งไปเรียกหมอมารักษาอาการของเที่ยงแต่สายไป นพกอดศพเที่ยงร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ

“มึงคือเพื่อนรักคนเดียวของกู มึงเกลียดดนตรีฝรั่งกูเข้าใจ กูยอมไม่สอน ไม่เล่นเพื่อมึงได้นะเว้ย กูรักมึงเที่ยง ตื่นขึ้นมาคุยกับกูก่อน เที่ยง” เสียงตะโกนเรียกร่างที่ไร้วิญญาณของนพดังไปทั่วตึกฝรั่ง สายพิณที่อยู่ข้างๆ กอดให้กำลังใจเขา เธอร้องไห้เช่นเดียวกับเขา ความรักที่เที่ยงมีให้เธอ เธอไม่เคยรับรู้ ความรู้สึกผิดและโทษตัวเองจู่โจมสายพิณทันที หลังจากงานศพเที่ยงไม่นานนัก สายพิณบอกเลิกนพ เพราะเธอรับไม่ได้กับการจากไปของเที่ยง โลกของนพแตกสลายขึ้นมาในพริบตา เขาสูญเสียทั้งเพื่อนรักและคนรัก นพหนีไปบวชเรียนอยู่หลายพรรษา จนกระทั่งเจ้าคุณนรพงศ์เสียชีวิต เขาได้สึกออกมาและพบสายพิณอีกครั้ง ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งที่แล้ว นพโตขึ้นและเข้าใจทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น สุดท้ายเขาก็พิชิตใจสายพิณได้อีกครั้ง และเริ่มต้นชีวิตใหม่

คีตะยืนดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเก็บข้อมูล เขารู้สึกว่าตัวเขาเริ่มมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป มือของเขาสวมแหวนทองที่นิ้วนางข้างซ้าย

“เฮ้ย มาได้ยังไง” จู่ๆ สายพิณก็เดินเข้ามาหาคีตะพร้อมกับจับมือของเขาไปไว้ที่หน้าท้อง

“ลูกคนแรกของเราค่ะ” คีตะตกใจหน้าซีด สายพิณนึกว่านพดีใจจนพูดไม่ออก คีตะขยี้ตารีบไปดูตัวเองในกระจก ภาพในกระจกของเขาคือนพ คนที่เขารังเกียจมาตลอด

“ชาติที่แล้วเราคือครูนพเหรอ” คีตะยังไม่เชื่อตัวเอง เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรง “โอ๊ย”

“พี่ตบหน้าตัวเองทำไม” สายพิณรีบเข้ามาหา คีตะไม่รู้จะพูดยังไงได้แต่ตามน้ำไป

“พี่ดีใจนึกว่าฝันไปน่ะจ้ะ” เขาตบหน้าตัวเองอีกครั้ง วิญญาณคีตะกระเด็นออกมาจากร่างนพ คีตะเข้าไปดูหน้านพใกล้ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ

“ถ้าเราคือนพ สายพิณก็คือทิพย์ งั้นเหรอ” คีตะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว “งั้นครูเที่ยงก็คือ…”

 

มึงเพิ่งนึกออกเหรอ ไอ้นพ

“ไอ้เพื่อนทรยศ กูจะไม่ยอมให้มึงสมหวังกับสายพิณเหมือนเมื่อก่อนอีก มึงต้องอยู่ที่นี่กับกูไปจนตาย” เที่ยงปรากฏตัวต่อหน้าคีตะ เขาหัวเราะสะใจ สายตาอาฆาตพยาบาทรุนแรงเกินคีตะจะต้านทานดวงตานั้น

“ผมคีตะนะครูเที่ยง ไม่ใช่นพเพื่อนรักของครูหรอก” คีตะพยายามอธิบาย

“กูรอเวลานี้มานานเหลือเกิน รอให้พวกมึงกลับมาชดใช้ความผิดที่มึงทำไว้กับกู ทำไว้กับดนตรีไทย”

“ครูนพไม่ได้ทรยศใคร เขายังหลงใหลดนตรีไทยนะครูเที่ยง”

“หลงใหล” เที่ยงหัวเราะด้วยแรงประชด “มึงหันหลังให้ดนตรีไทย ให้ไอ้อีฝรั่งมาเล่น ยังเอาดนตรีฝรั่งเข้ามาเหยียบเรือน แถมยังพรากคนรักของกูไปอีก มึงก็รู้กูรักพิณ มึงก็รู้” คีตะเหมือนตัวเองรู้สึกถึงความรู้สึกของนพได้ เขารู้อยู่เต็มอกว่าเที่ยงรักสายพิณ เขาเองพยายามที่จะไม่รักเธอ แต่ความรักมีอิทธิพลเหนือสิ่งใด

“มันปล่อยให้กูตาย นี่น่ะเหรอเพื่อนรัก”

“ไม่จริง ครูนพไม่เคยปล่อยให้ครูเที่ยงตาย เขาเสียใจมากที่เขามาช้าไป”

“มึงจะรู้อะไร มึงจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มึงทำ” คีตะพยายามอธิบายเท่าไรเที่ยงก็ไม่ฟัง วิญญาณเที่ยงหายไปทันที กลายเป็นม่านหมอกควันสีดำที่กักขังคีตะเอาไว้ เขาพยายามร้องให้คนช่วย ในใจของเขาคิดถึงสลิลทิพย์ คิดถึงพี่ชาย พ่อแม่ คีตะเริ่มหมดแรงตะโกน

“ช่วยด้วย ทิพย์ ช่วยคีร์ด้วย”

 

สลิลทิพย์นั่งมาในรถคณณัฐได้ยินเสียงคีตะร้องขอความช่วยเหลือ คณณัฐขับรถอย่างเร็วเลี้ยวเข้าบ้าน เบรกเสียงดังสั่น ทุกคนในบ้านรีบออกมาดู เห็นคณณัฐ สลิลทิพย์ลงมาจากรถก็สงสัยว่าคีตะหายไปไหน

“น้องล่ะลูก” คีตกานต์รีบถาม สีหน้าทุกคนวิตกกังวล

“เข้าในบ้านก่อนเถอะครับ” คณณัฐประคองสลิลทิพย์ให้รีบเดินเข้าบ้าน ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างใจคอไม่ดี คณณัฐเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในรถของเขาให้พ่อกับแม่และสุทธิภัทรฟัง ป้าแก้วที่นั่งอยู่ไม่ไกลต่างตกใจ คีตกานต์ได้ยินก็เป็นลมด้วยความเป็นห่วงลูกมาก ป้าแก้วรีบเข้ามาดูแลทั้งยาดมยาหม่อง สลิลทิพย์คอยช่วยพัดให้อาการดีขึ้น

“ณิน เล่ามาให้หมด นายรู้อะไรบ้าง” สุทธิภัทรพยายามเค้นถาม เพราะคณินทร์เป็นคนไม่พูดเรื่องครอบครัว มีอะไรชอบเก็บและคิดอยู่คนเดียว สายตาทุกคู่ต่างมองไปที่คณินทร์ด้วยความหวังที่เขาจะสามารถช่วยคีตะได้

“คนที่รู้เรื่องดีที่สุดคือ คุณอาปราณี แต่ท่านเสียไปไม่กี่เดือนก่อน”

“ลูกพี่ลูกน้องนายน่าจะพอรู้เรื่องก็ได้นะ เชนไง เขาเป็นแม่ลูกกันน่าจะเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้าง” สุทธิภัทรจำคเชนทร์ได้ เพราะสมัยเด็กๆ เคยวิ่งเล่นด้วยกันก่อนที่ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป คณินทร์รีบโทร.หาลูกพี่ลูกน้องของตน คีตกานต์ได้สติขึ้นมา

“เป็นยังไงบ้างคะคุณ” คีตกานต์เห็นคณินทร์วางสายจากคเชนทร์ก็รีบถามด้วยความอยากรู้ คณินทร์ได้ฟังเรื่องราวจากลูกพี่ลูกน้องแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“เชนเล่าว่า ก่อนที่อาณีจะเสีย อาณีบอกเชนว่าได้ยินเสียงดนตรีไทยและดนตรีสากลกำลังเล่นอยู่ พยายามบอกให้เขาเบาเสียงให้หน่อย แต่เชนบอกว่าในห้องนอนแม่ไม่ได้เปิดอะไรทิ้งไว้ ไม่รู้ว่าอาณีได้ยินมาจากที่ไหน หลังจากที่เสียงเพลงจบอาณีก็มีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกและเสียชีวิต เชนบอกว่าก่อนหน้านี้ตอนที่พ่อของพี่เสีย พ่อก็พูดอย่างเดียวกับอาณีแต่เชนจำเรื่องราวไม่ได้ เพราะนานมากแล้ว” คณินทร์เศร้าลงเล็กน้อย ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ

“วันที่อาณีเสียคือวันที่เราจัดงานแถลงข่าวแล้วคีร์กับณัฐก็เล่นดนตรีไทยแล้วก็ดนตรีสากล” คีตกานต์นึกถึงก็รู้สึกประหลาดใจ

“ไม่น่าเกี่ยวกันหรอกมั้ง” คณินทร์พยายามปลอบภรรยาตนเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้เช่นกัน

“เชนยังบอกอีกว่า อาณีเคยเล่นดนตรีไทยกับอาลพ”

“ใครน่ะ” สุทธิภัทรไม่เคยได้ยินชื่อ

“พี่ชายอาณี น้องชายคนเล็กของตระกูลพ่อคณินทร์ค่ะ อาลพไม่ค่อยถูกกับคุณปู่เราเท่าไรเลยไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน” คีตกานต์เสริม

“อาณีเล่นระนาดอยู่กับอาลพที่เล่นเปียโน ในคืนที่ปู่ของเราเสีย ตอนนั้นทั้งสองคนยังอายุยี่สิบกว่าๆ ตอนนั้นพ่อเพิ่งสามขวบ คุณพ่อของพ่อก็เสียชีวิต เหมือนจะเป็นคืนนั้นด้วยเหมือนกัน” คณินทร์เล่าเรื่องต่อจากที่ได้ฟังคเชนทร์มา

“เราว่ามันไม่ปกติแล้วละ ดูเหมือนจะบังเอิญแต่บังเอิญเกินไป” สุทธิภัทรตั้งข้อสงสัย

“ทิพย์ได้ยินเสียงซอด้วงก่อนที่คีร์จะหายตัวไปค่ะ” สลิลทิพย์พูดขึ้น ทุกคนต่างหันมามองเป็นตาเดียว

“จริงครับ ผมยืนยันได้ ในรถก่อนที่น้องจะหายไป น้องได้ยินเสียงซอด้วง ทิพย์ได้ยินแต่ผมไม่ได้ยินอยู่คนเดียว” คณณัฐเสริม

“หรือจะเป็นซอด้วงโบราณตัวนั้น” คีตกานต์นึกถึงซอด้วงที่ตกทอดมาจากตระกูลของคณินทร์ “ขึ้นไปดูกันเถอะค่ะ เผื่อว่าเราจะได้รู้อะไรมากขึ้น”

 



Don`t copy text!