
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 19 : สาสน์สั่งเสีย
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
หลอดไฟทุกดวงในห้องเก็บเครื่องดนตรีเก่าเปิดสว่างไสว ภาพความสามัคคี ความห่วงใยเกิดขึ้นอีกครั้งในบ้านหลังนี้ อีกทั้งยังมีความรักของเพื่อนเก่าที่กลับมาเป็นเหมือนครั้งยังเยาว์ ห้องเก็บเครื่องดนตรีเก่าที่คีตะกับคณณัฐเคยเข้ามารื้อค้นไม่นานมานี้ยังคงสภาพเดิม เหลือตู้ให้ค้นอีกสามสี่ตู้ คณินทร์ คีตกานต์ สุทธิภัทร คณณัฐ เข้าไปเปิดตู้ที่เหลือ สลิลทิพย์มองหาซอด้วงในตู้กระจก
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย มีใครได้ยินผมไหม” สลิลทิพย์ได้ยินเสียงคีตะตะโกนเรียกก็รีบขาน
“คีร์ ทิพย์ได้ยิน คีร์อยู่ไหน” ทุกคนในห้องต่างมองสลิลทิพย์ด้วยความสงสัย
“ลูกได้ยินเสียงคีร์เหรอ” สุทธิภัทรรีบเข้ามาถาม
“ค่ะ ทุกคนได้ยินไหมคะ” ไม่มีใครในห้องนี้ได้ยินเสียงคีตะเรียกเลยสักคนเดียว ทุกคนมุ่งมั่นหาเอกสารหรือประวัติอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับปู่นพและครอบครัวของคณินทร์ สลิลทิพย์เดินตามหาเสียงคีตะจนพบซอด้วงโบราณที่อยู่ในตู้กระจก เธอยกตู้มาให้ทุกคนดูกลางห้อง
“ทิพย์ได้ยินเสียงคีร์มาจากในนี้ค่ะ”
“คีร์ได้ยินพ่อไหม คีร์” คณินทร์เป็นห่วงคีตะมาก เขาพยายามเรียกลูกชายตัวเองแต่เหมือนเขากำลังเป็นบ้าที่กำลังคุยกับเครื่องดนตรีโบราณ
“ทิพย์ คีร์ได้ยินทิพย์ ช่วยคีร์ด้วย” เสียงคีตะตะโกนให้ช่วยอีกครั้ง
“ใจเย็นๆ นะคีร์ ทุกคนกำลังหาทางช่วยคีร์ ตอนนี้คีร์อยู่ที่ไหน”
“คีร์ก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะติดอยู่ระหว่างภพ” สลิลทิพย์ได้ยินก็ตกใจไม่กล้าบอกทุกคน คีตกานต์เห็นหน้าสลิลทิพย์ก็จับสังเกตได้
“คีร์อยู่ในอดีตใช่ไหมหนูทิพย์” สลิลทิพย์พยักหน้าแทนคำตอบ ทุกคนยิ่งเป็นห่วงคีตะ
กูจะขังมันไม่ให้เจอมึงอีกทั้งชีวิตและวิญญาณ
คราวนี้สลิลทิพย์ได้ยินเสียงผู้ชาย เธอได้ยินคำสาปแช่งของเที่ยงที่พูดขึ้นมา
‘กูจะขังมันไม่ให้เจอมึงอีกทั้งชีวิตและวิญญาณ’ เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“นี่ไงเจอแล้ว ประวัติของปู่นพในหนังสืองานฌาปนกิจ มีรูปและประวัติอยู่”
คณินทร์หยิบหนังสือสีดำปกหนาขึ้นมา ทุกคนรีบมามุ่งดูที่โต๊ะกลางห้อง คณินทร์เปิดหนังสือไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพตึกฝรั่งสมัยโบราณ ในภาพมีบุคคลอยู่เพียง 3 คน เป็นชายหนุ่มกำลังจับมือหญิงสาว และชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาว สลิลทิพย์เห็นภาพตึกฝรั่ง เริ่มคิดถึงความฝันที่เธอฝันประหลาดเหมือนมีคนขอให้เธอช่วย แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยฝันอีกเลย ชายคนนั้นวิ่งเล่นอยู่หน้าตึกคล้ายตึกในรูปนี้มาก
“ทิพย์เคยฝันเห็นตึกแบบนี้ด้วยค่ะ ต้องใช่ที่นี่แน่ๆ คนในภาพคือใครเหรอคะคุณลุง”
“เป็นภาพตอนปู่นพได้แต่งงานกับคุณย่าสายพิณ ข้างๆ นี่คือพ่อของเธอเหมือนจะชื่อเจ้าคุณอะไรสักอย่าง” คณินทร์ก็จำไม่ค่อยได้
คีตกานต์เห็นใต้ภาพเขียนชื่อไว้ “เจ้าคุณนรพงศ์ค่ะ” เธอชี้ให้ทุกคนได้เห็น
“คุณย่าสายพิณหน้าเหมือนน้องทิพย์เหมือนกันนะครับ” คณณัฐมองดูภาพนั้นใกล้ๆ “ส่วนปู่นพก็มีความคล้ายผม แต่ดูไปๆ มาๆ จะเหมือนคีร์มากกว่า”
“ใช่ๆ ตอนคีร์เด็กๆ อาณีเคยบอกว่าลูกเราหน้าเหมือนพี่ชายคนโตของเธอ” คีตกานต์นึกขึ้นได้
“นี่คงไม่ใช่เรื่องกลับชาติมาเกิดอะไรนั่นหรอกนะ” สุทธิภัทรไม่อยากจะเชื่อเท่าไร
“ตอนนี้ก็คงต้องได้แต่ทำใจให้เชื่อไปก่อน” คณินทร์พูดทั้งๆ ที่ในใจก็แทบจะไม่เชื่อ
คณณัฐเปิดหนังสือหน้าต่อๆ ไปจนไปพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาคุ้นมากเหมือนเคยเห็นที่ไหน ในภาพเป็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ ฉากด้านหลังเป็นโถงกว้างๆ เห็นห้องบางส่วน ชายในภาพนั่งพับเพียบในทางท่าองอาจตัวตรง หลังตรง ในมือถือซอด้วงและคันซอในท่วงท่าสง่างาม เขาเพ่งดูภาพนั้นอย่างละเอียด
“ผี!” คณณัฐตะโกนเสียงดังจนทุกคนตกใจ
“พี่ณัฐ ตกใจหมด” สลิลทิพย์ตีแขนคณณัฐเบาๆ
“น้องทิพย์ คนนี้แหละที่เข้าสิงพี่” สลิลทิพย์เห็นภาพก็รู้สึกคุ้นหน้า เหมือนคุ้นเคยคล้ายคนรู้จัก
“ท่านนี้เขาเป็นครูดนตรีไทยชื่อดังในสมัยนั้นและเป็นเพื่อนรักของปู่นพ หนูทิพย์จำได้ไหมที่หนูเคยบอกว่าชอบครูดนตรีที่เล่นซอด้วงเพราะๆ ในยุครัชกาลที่หก ท่านนี้แหละ” คณินทร์อธิบาย สลิลทิพย์นึกขึ้นได้ถึงภาพที่คีตะเคยพาเธอไปดูชีวประวัติในงานนิทรรศการ
“หนูว่าเรื่องนี้เริ่มปะติดปะต่อได้ค่ะ” ทุกคนต่างมองสลิลทิพย์ “วันที่หนูไปดูงานนิทรรศการคีร์เคยบอกว่า ตัวจริงของครูคนนี้ก็หน้าเหมือนในรูป คนนี้แหละค่ะที่คีร์ได้เจอในอดีตและสอนคีร์เล่นซอด้วง”
“นั่นสิ พ่อก็ไม่เคยสอนมันเล่นนะ”
“อย่าบอกนะว่า ครูดนตรีคนนี้เป็นผีที่เข้าสิงพี่แล้วจะเอาชีวิตน้องพี่ไป แล้วเป็นคนฆ่าคนในตระกูลของเรา”
ป๊อก…ป๊อก…ป๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์หวาดกลัว เสียงกรี๊ดของสลิลทิพย์และคีตกานต์ดังขึ้นก่อนใครเพื่อน ชายหนุ่มทั้งสามถึงขั้นผงะถอยหลังชิดกำแพง
“ป้าเห็นว่าทุกคนกำลังเครียดค่ะ เลยเอาน้ำเอาของว่างมาให้” ป้าแก้วเดินยิ้มในมือถือถาดน้ำของว่างมาวางไว้ใกล้ๆ
“ป้าแก้ว!” ทุกคนต่างพูดชื่อป้าแก้วโดยพร้อมเพรียงกัน ป้าแก้วยิ้มแห้งๆ แล้วรีบเดินกลับห้องตัวเองไป
“ทิพย์ ระวังครูเที่ยง ระวังครูเที่ยง” สลิลทิพย์ได้ยินเสียงคีตะอีกครั้ง
“ทุกคนคะ คีร์บอกว่าให้ระวังครูเที่ยง”
“หนูได้ยินเสียงคีร์อีกแล้วเหรอ คีร์เป็นยังไงบ้าง” คีตกานต์เริ่มน้ำตาคลอ
“หนูได้ยินไม่ตลอดค่ะคุณป้า พอได้ยินบ้างเป็นบางช่วง” สลิลทิพย์จับมือคีตกานต์ให้กำลังใจ ยามนี้เวลานี้กำลังใจของทุกคนที่มีให้กันและกันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
“ถ้าลูกได้ยินเสียงคีร์จากซอด้วง” สุทธิภัทรพยายามเปิดตู้กระจกที่เก็บซอด้วงโบราณชิ้นนี้ แต่กระจกที่ถูกยึดไว้กับฐานนั้นแข็งมาก คณินทร์ คณณัฐมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ คณณัฐจับฐานเพื่อให้พ่อและสุทธิภัทรดึง แต่ก็ไม่เป็นผล
“ทิพย์ยกได้ยังไง มันหนักมากเลยนะ” คณณัฐสงสัยเพราะเขาเชื่อว่าตู้กระจกนี้สลิลทิพย์ไม่น่าจะมีแรงยกขึ้น
“ไม่หนักนะพี่ณัฐ” เธอเดินเข้ามาแล้วยกกระจกออกจากฐานตู้อย่างง่ายดาย เหมือนไม่มีอะไรยึดติดไว้ตั้งแต่แรก ทุกคนต่างมองกันอย่างไม่เชื่อสายตา ผู้ชายสามคนไม่สามารถแยกกระจกออกจากตู้ได้ แต่สลิลทิพย์ดึงขึ้นมาได้เหมือนกระจกเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น
“รอยสีน้ำตาลเข้มจนออกแดง ต่างจากสีไม้ตรงอื่น” สลิลทิพย์ตั้งข้อสังเกต
“เดี๋ยวนะคะ ถ้าเป็นซอด้วงนี้จริงรอยตรงนี้น่าจะเป็นรอยเลือด” คีตกานต์พูดขึ้นมา สลิลทิพย์ที่กำลังพิจารณาอยู่ใกล้ๆ ถึงขั้นชะงัก “ก็ซอด้วงตัวนี้ตกทอดมาจากคุณปู่นพ คนเล่นเหมือนจะเสียชีวิตตอนกำลังสีซอด้วงคันนี้อยู่”
คีตกานต์หันไปหาคณินทร์ คณินทร์เริ่มจำได้รางๆ เป็นเหมือนคำบอกเล่าของคนในตระกูลที่ส่งต่อกันมาเรื่อยๆ ความทรงจำของเขาในตอนเด็กที่พ่อเคยพูดให้ฟัง
“ผมจำได้ว่าพ่อห้ามเล่นซอด้วง แล้วก็บอกว่ามันมีคำสาป สาปคนในตระกูลเรา” สิ้นคำพูดนี้ คณินทร์ก็เงียบ คิ้วทั้งสองขมวดชิดติดกัน มือของเขาที่กำแน่นเหวี่ยงไปที่ผนังบ้านเต็มแรงจนทุกคนตกใจ
“ผมผิดเอง ผมปกป้องลูกไม่ได้ เรื่องสำคัญขนาดนี้ผมกลับลืม” คณินทร์ทุบหัวตัวเอง คีตกานต์กับ สุทธิภัทรเข้ามาห้าม
“พ่ออย่าโทษตัวเองเลยนะครับ พ่อไม่ผิด คนที่สาปตระกูลเรานั่นแหละที่ผิด” คณณัฐเข้ามากอดพ่อ คณินทร์ร้องไห้ ทุกคนหยุดพักหายใจกันครู่ใหญ่ก่อนที่คณินทร์จะค่อยๆ ดีขึ้น
“พ่อเคยห้ามไม่ให้เราเล่นดนตรีไทยกับดนตรีสากลพร้อมกัน” คณินทร์พูดขึ้น
“ห้ามทำไม” สุทธิภัทรสงสัย
“เหมือนมันจะเป็นคำสาปอะไรสักอย่างนี่แหละ”
“แต่ณิน นายก็เคยเล่นกับเรานะ ตอนนั้นนายเล่นเปียโน เราเล่นระนาดที่บ้านสมัยณัฐเกิด” สุทธิภัทรนึกขึ้นได้
“นั่นสิคะคุณ ตอนนั้นก็ไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไรเลยค่ะ”
“ถ้าสาปตระกูลเรา พ่อผมน่าจะหมายถึงไม่ให้คนในตระกูลเล่นพร้อมกันหรือเปล่า” คณินทร์ตั้งข้อสังเกต และเหมือนทุกคนจะคิดตามได้พร้อมๆ กันในวันที่คีตะและคณณัฐเล่นดนตรีไทยคู่กับดนตรีสากลและเป็นวันที่อาปราณีเสียชีวิต และที่พ่อของคณินทร์เสียก็เช่นเดียวกัน
“งั้นผมก็…” มือคณณัฐสั่น “ผมเป็นคนฆ่าย่าณี” เสียงคณณัฐสั่นเครือ
“ถ้าจะมีใครผิดก็ต้องเป็นคนที่สาปแช่งตระกูลเรา ผีตนที่เขาสิงลูกนั่นแหละ” คณินทร์กอดลูกชายตัวเองไว้ เป็นภาพที่คีตกานต์คาดหวังมาทั้งชีวิตที่จะเห็นสามีของเธออ่อนโยนกับลูกของเขาบ้าง คณณัฐรู้สึกเสียใจอย่างอธิบายไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเข้าใจว่าเป็นคำสาปแต่ถ้าเขารู้ก่อนก็คงจะไม่มีใครเสียชีวิตเพราะเขาแน่นอน
“ทิพย์ว่าทุกคนอย่าเพิ่งโทษตัวเองกันเลยนะคะ ไม่มีใครอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เรามาช่วยคีร์แล้วก็หาทางถอนคำสาปกันดีกว่าค่ะ” สลิลทิพย์แววตามุ่งมั่น
“มันต้องมีทางออกสิเพื่อน” สุทธิภัทรกอดคอคณินทร์ สลิลทิพย์พิจารณาดูซอด้วงยกขึ้นมาดู จู่ ๆ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งหลุดมาจากช่องแยกของหนังหน้าซอกับกะโหลกซอ
“ทุกคนคะ” สลิลทิพย์หยิบกระดาษให้ทุกคนดู เธอค่อยๆ คลี่กระดาษอย่างเบามือ กระดาษแผ่นนั้นบอบบาง เก่า สภาพเหมือนกำลังใกล้จะย่อยสลายได้ในไม่ช้า ด้านในมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหยาบๆ ไว้
“…ข้าไม่รู้ว่า คำพูดสุดท้ายของเที่ยงเพื่อนที่ข้ารักที่สุดจะเป็นจริงหรือไม่ เพราะข้าคงตายไปเสียก่อน ข้าไม่อยากให้บาปของข้าส่งต่อให้กับลูกหลาน ข้าขอให้มันไม่เป็นจริง
ยามใดที่เครื่องดนตรีไทยแลดนตรีฝรั่งบรรเลงคู่
ยามใดที่ครอบครัวของเพื่อนทรยศบรรเลงคู่ประสาน
ยามนั้นถึงฆาตชะตาขาด...”
นพ
สลิลทิพย์อ่านข้อความที่นพเขียนไว้ให้ทุกคนฟัง สุทธิภัทรสงสารคณินทร์ คณณัฐ คีตกานต์จับใจ ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว เสียใจ คณินทร์แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สลิลทิพย์สังเกตเห็นเหมือนกระดาษยังมีข้อความแปลกๆ ต่อท้าย เธอจึงกางออกมา เป็นกระดาษแผ่นไม่ใหญ่มากถูกประกบทับ แทบจะแนบสนิทเป็นแผ่นเดียวกับข้อความข้างต้น ด้านในเป็นโน้ตเพลงมีบรรทัด 5 เส้นอยู่เพียง 2 บรรทัด ในนั้นมีตัวโน้ตไล่เขียนไว้คล้ายบันไดเสียง
“คุณพ่อคะ นี่มัน…” สลิลทิพย์ส่งกระดาษโน้ตเพลงให้สุทธิภัทร เขาพิจารณาดูถึงอายุ ลายมือ และโน้ตที่มีเพียงไม่กี่เสียง
“ใบนี้น่าจะไม่ได้มาพร้อมกับข้อความของปู่นพนะณิน” สุทธิภัทรยื่นให้คณินทร์ดู
“นั่นสิ ยุคนั้นน่าจะยังไม่มีบันไดเสียงหรือบรรทัดห้าเส้น” สุทธิภัทรดูที่มุมล่างสุดของกระดาษซึ่งมีข้อความแปลกๆ เขียนไว้
“โน้ตเพลงนี้พรากชีวิตของคนที่ฉันรัก” คีตกานต์อ่าน “ลายมือคล้ายผู้หญิงนะคะ” เส้นลายมือดูแตกต่างจากปู่นพในใบแรก ใบนี้มีความอ่อนช้อยและตวัดกว่า เส้นข้อความดูบางเรียวและอ่านง่าย
“เราลองเล่นดูไหมคะ” สลิลทิพย์เสนอความคิดเห็น
“ถ้าลองเล่นแล้วมีคนตายอีกล่ะ จะทำยังไง” คณณัฐไม่อยากได้ยินเสียงเพลงพวกนี้อีก เขากลัวที่จะเป็นต้นเหตุให้คนที่เขารักเสียชีวิต
“ถ้าลุงเล่นก็ไม่น่าจะมีปัญหา” สุทธิภัทรเสนอ เพราะเขาไม่ใช่คนในตระกูลอัฏฐกรเมธา คำสาปคงไม่น่าจะส่งต่อมาถึงเขาเป็นแน่ สุทธิภัทรหยิบซอด้วงโบราณที่วางอยู่ขึ้นมา เขานั่งพับเพียบพร้อมกับยกมือไหว้ครู ไหว้เครื่องดนตรีเพื่อเป็นการขอขมาและทำความเคารพ คันซอเริ่มลงน้ำหนักที่สายซอ นิ้วของเขาไล่เรียงตามโน้ตบนกระดาษแผ่นนั้น ไล่เป็นทำนองทีละโน้ต
สลิลทิพย์ยืนนิ่ง นัยน์ตากำลังเห็นภาพนิมิต ภาพเรือนไทยสวยงามโอ่อ่า ชานเรือนดูกว้างขวาง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี มีศาลาริมน้ำเล็กๆ เธอเห็นภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังวิ่งมาทางเธอ ในมือมีร่มคันเล็กๆ ที่ชายคนนั้นกำลังกางให้หญิงสาว ทั้งสองวิ่งเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าชัดเจน สลิลทิพย์ตกใจเหมือนเธอได้เห็นตัวเองในอดีตและข้างๆ เธอคือ คีตะ ที่กำลังกางร่มให้ ไม่นานนักภาพเหล่านั้นก็ฉายอย่างรวดเร็วคล้ายคนกำลังกรอเทป สลิลทิพย์เห็นชายหนุ่มดวงตาลึกโบ๋ ร่างกายทรุดโทรม เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกกำลังเล่นซอด้วงพร้อมกับขับกลอน
สายทำนอง ดีดสี สะกดจิต เพียงสายพิณ สายนี้ สะกดรัก
สลักจิต ประทับทรวง มิแปรพักตร์ สลักรัก สายซอพี่ คู่สายพิณ
สลิลทิพย์เห็นตัวเองและคีตะในอดีต จับมือกันเดินมาถึงชานเรือนที่ชายน่ากลัวคนนี้นั่งสีซอด้วงอยู่ ชายที่คล้ายคีตะกำลังจะเดินขึ้นมาที่ชานเรือน เสียงซอด้วงหยุดเล่นทันที สายตาแดงก่ำ คิ้วขมวดชนชิดติดกัน ร่างผอมแห้งจนติดกระดูก ยกก้านซอชี้มาที่ชายหนุ่ม น้ำเสียงหนักแน่น ทว่าแหบพร่า เอ่ยคำช้าๆ คล้ายสะกดจิต
“ยามใดที่เครื่องดนตรีไทยแลดนตรีฝรั่งบรรเลงคู่ ยามใดที่ครอบครัวของเพื่อนทรยศบรรเลงคู่ประสาน ยามนั้นถึงฆาตชะตาขาด”
“ทิพย์ ลูก!” สลิลทิพย์ได้สติหลังจากยืนนิ่งสงบไป จนสุทธิภัทรต้องจับตัวลูกสาว เขาเรียกสติอยู่นาน
สายพิณจำพี่ได้แล้ว
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 20 : กงล้อเวียนบรรจบ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 19 : สาสน์สั่งเสีย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 18 : ทำนองที่หายไป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 17 : เงาแค้นคืบคลาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 16 : ความรักที่ซุกซ่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น