ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่คีตะได้นอนหลับอยู่ในภพอดีต ตกกลางคืนเขานอนไม่หลับกระสับกระส่าย แม้อากาศจะดีหรือดาวจะสวย ดนตรีจะไพเราะกล่อมเขาหลับตอนกลางคืนเพียงใด แต่จิตใจของเขาก็กำลังเป็นกังวลคิดถึงพี่ชาย คิดถึงแม่ คิดถึงสลิลทิพย์ คีตะไม่สามารถคำนวนเวลาเดินทางไปกลับได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ควบคุมไม่ได้เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่เคยพยายามหาทางเพื่อกลับไป โดยการหาประตู หรือหากระจกแบบทวิภพที่เขาอ่าน แม้กระทั่งเตียงที่นอนอยู่ คีตะเคยคิดว่า ตนเองดูละคร อ่านหนังสือพวกนี้มากไป แต่พอถึงคราวของตนเองก็แทบจะไม่ต่างกับนิยายเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขารู้เพียงแค่เสียงซอด้วงเท่านั้นที่จะพาเขาไปและกลับได้ แต่ที่เรือนนี้มีซอด้วงเป็นสิบๆ คัน คันไหนที่จะสีแล้วพาเขากลับบ้าน
“ตื่นเช้าเสียจริง” น้ำเสียงไพเราะของสายพิณทักทายคีตะที่เดินงัวเงียออกมาจากห้อง
“เรียกว่าไม่ได้นอนจะดีกว่าครับ” คีตะขยี้ตา
“สายพิณจ๊ะ ไปใส่บาตรที่ท่าน้ำกันดีกว่า” เที่ยงเดินมาด้านหลังสายพิณ “อ้าว เจ้าคีร์ตื่นแต่เช้านะวันนี้ ตื่นแล้วก็ไปทำความสะอาดลานสอนดนตรีด้วย วันนี้ยกหน้าที่ให้เป็นพิเศษ แล้วข้าจะสอนซอด้วงให้”
คีตะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีใจที่ได้เรียนซอด้วงกับครูเที่ยง ในยุคสมัยใหม่ไม่มีครูสอนดนตรีไทยคนไหนที่จะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษหรือเฉพาะเจาะจงเท่าไรนัก ส่วนมากจะเรียนกันในโรงเรียนเสียมากกว่า และเป็นเครื่องดนตรีไทย การเรียนการสอนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีสากล อีกทั้งครูเที่ยงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ของตระกูลเขา ทำให้เขาอยากรู้จักและเรียนซอด้วง แถมสลิลทิพย์หลงใหลเสียงซอด้วงมากๆ เขาอยากเล่นซอด้วงบอกรักและขอเธอแต่งงาน
“ทำไมมาทำความสะอาดอยู่คนเดียว สินไปไหน” น้ำเสียงห้วน ไม่ชวนฟัง ไม่ชวนตอบคำถามของครูนพดังขึ้น ขณะที่คีตะกำลังก้มๆ เงยๆ ถูพื้นเรือนอย่างขะมักเขม้น
“ยังไม่ตื่นมั้งครับ” คีตะตอบแบบไม่เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของคำถาม มุ่งมั่นทำความสะอาดต่อไปเรื่อยๆ เดินไปเช็ด ปัดฝุ่นทางนั้นที ทางโน้นที นพเริ่มรู้สึกรำคาญกับพฤติกรรมไม่สบอารมณ์ของคีตะ
“หยุดทำความสะอาดสักที ข้ามีเรื่องจะถาม” น้ำเสียงโมโห เบื่อหน่าย ดังลั่นลานสอน คีตะวางผ้าขนหนูที่อยู่ในมือลงในถังน้ำ ที่เรียกว่าวางคงไม่ถูก ลักษณะท่าทางเรียกว่า ‘ปา’ น่าจะเหมาะสมที่สุด
“มีอะไรก็รีบถามครับครู ผมต้องทำความสะอาดต่อ” คีตะประจันหน้ากับครูนพ ทั้งสองมองหน้ากัน เหมือนจะเอาเรื่อง มองไปเรื่อยๆ คีตะรู้สึกเหมือนรู้จักครูนพมาก่อน รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับตนเอง “ว่าไงครับครู”
“เอ็งเป็นใคร มาจากไหน” นพลดน้ำเสียงความแข็งกร้าวลง
“ผมก็เป็นญาติห่างๆ ของครูเที่ยงมาจากพิษณุโลก” คีตะตอบไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจ
“เที่ยงมันไม่มีญาติอยู่พิษณุโลกเสียหน่อย”
“ครูนพจะถามผมทำไม ทำไมไม่ไปถามครูเที่ยง ผมตอบไปแล้วครูนพก็ไม่เชื่อ” คีตะบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากตอบคำถาม เพราะครูเที่ยงบอกให้เลี่ยงตอบคำถามจากทุกคน เพราะถ้าคนเกิดสงสัยขึ้นมาจะมีปัญหาใหญ่
“ก็ไม่ได้ไม่เชื่อ แค่ยากจะเชื่อ ข้าแอบได้ยินว่าพูดภาษาฝรั่งได้ เอ็งรู้ได้ยังไง” คีตะหน้าซีด เขารู้ว่ายุคสมัยนี้คนที่จะเรียนได้ต้องเป็นลูกท่านหลานเธอ คนในรั้วในวัง หรือลูกผู้ดีเศรษฐีเก่า เศรษฐีใหม่
“ครูพักลักจำเอา ผมมันพวกความจำดี”
“ดีอย่างไร ก็ไม่ถึงขั้นฟังออก โต้ตอบได้” นพตั้งข้อสงสัย
“จะสงสัยเจ้าคีร์ไปทำไม มันหัวดีก็ไปว่า” เที่ยงเดินหน้านิ่วเข้ามาตอบคำถามแทนคีตะ นพหันไปมองหน้าเที่ยงอย่างไม่สบอารมณ์ เที่ยงส่งสัญญาณให้คีตะไปทำความสะอาดต่อ คีตะรีบออกไปจากบทสนทนาที่น่าอึดอัด เขาแทบไม่อยากคุยกับครูนพ เพราะเขาเห็นครูนพแอบมีใจให้กับครูสายพิณ ทั้งๆ ที่เพื่อนรักอย่างครูเที่ยงไว้ใจเขามากที่สุด คีตะหยิบถังใส่น้ำเดินลงเรือนไปอย่างโล่งใจ โดยมีเสียงครูทั้งสองโต้เถียงกันลอยมาจากด้านบนเป็นระยะๆ
ผู้คนที่มาเรียนดนตรี หรือนักเรียนที่มาเรียน แอบมีพฤติกรรมแปลกๆ การเดินดูลอยๆ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งที่มีการพูดคุย หัวเราะ โต้เถียงกันเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อคีตะได้มองจากบนเรือนที่เขาอยู่กลับรู้สึกแปลกพิกล การเดินเป็นจังหวะเดียวกันเสียหมด รูปแบบการเดินวนไปวนมา หรือการเดินไปนั่งเป็นกลุ่มเหมือนถูกตั้งโปรแกรมไว้คล้ายหุ่นยนต์ มีเพียงสินคนเดียวที่จะดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดในโรงสอนดนตรีแห่งนี้
“มองอะไรอยู่หรือ” สินถาม
“ก็ดูนักเรียนคนอื่นๆ ดูธรรมชาติไปเรื่อยๆ เออ…สิน ทำไมคนพวกนี้เดินกันแปลกๆ เหมือนไร้ความรู้สึก สีหน้าแววตาดูแปลกๆ พิกล” เที่ยงมาได้ยินคีตะคุยกับสินก็หน้าเปลี่ยนสี แววตาของเขาแดงก่ำ จ้องมองข้ามหัวทั้งสองคนไป คล้ายกำลังสะกดผู้คนเหล่านั้น แต่ไฉนเลยเขากลับมีสายตาอาฆาตจ้องมาที่คีตะเพียงคนเดียว สายตาของคีตะเปลี่ยนไปเพียงกะพริบตา เหมือนต้องมนตร์สะกด
“ฉันว่าคงไม่มีอะไร ดูอีกทีก็ปกติดี สงสัยฉันจ้องพวกเขามากจนตาลายไปเอง” คีตะหัวเราะกับตัวเอง หันไปเจอเที่ยงยืนอยู่ “ครูเที่ยงมาสอนซอด้วงให้ผมแล้วหรือครับ” เที่ยงพยักหน้า แต่ไม่ตอบ คีตะดีใจยิ้มร่า เดินตามหลังเที่ยงไปติดๆ
‘เห้อ คีร์ ข้าจะช่วยเอ็งได้ยังไง’ สินคิดในใจ
“กำเริบนักนะมึง” เที่ยงหันควับมาจ้องสินขมึงถึง แววตาเกรี้ยวกราด โกรธจนเส้นเลือดปูดโปน “ถ้าเจ้าปากมาก เจ้าจะกลายเป็นเหมือนมันพวกนั้น” เสียงเที่ยงดังกังวาน หนักแน่น มาดร้าย เสียงที่ทุกคนได้ยินยกเว้นคีตะ เสียงนั้นทำสินเนื้อตัวสั่นงันงกเหมือนลูกไก่ในกำมือ เสียงร้องโหยหวนของผู้คนเหล่านั้น ร้องจนร่างที่ดูสวยงามค่อยๆ เปลี่ยนจนดูทรุดโทรม เสื้อผ้าสีสวยที่ใส่ กลับกลายเป็นเพียงผ้าขี้ริ้ว ดวงวิญญาณทั้งหลายดวงตาลึกโบ๋ว กลวง หน้าซูบซีดผอมจนติดกระดูก ถูกสั่งให้เดินวนไปวนมา บ้างก็ถูกบังคับให้เล่นเครื่องดนตรี เสียงหัวเราะแท้จริงแล้วคือเสียงร้องไห้ระงมไปทั่ว รอยยิ้มเหล่านั้นมีน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มปะปนอยู่ทั่วทุกคน
“มึงไม่มีสิทธิ์คิดสงสารใคร มึงไม่เห็นหรือว่ามันทำอะไรไว้กับข้า” เที่ยงส่งสายตาพร้อมกับร่ายมนตร์สะกดปากสินหายไปทันที “ข้าไม่ได้คิดขู่ใคร จำไว้!”
สินรีบวิ่งลงจากเรือน ยามเมื่อขาถึงบันไดขั้นสุดท้ายของร่างของสินก็หายวับไปทันที
เสียงร่ำไห้ของสินดังขึ้นจากตึกฝรั่ง น้ำตาสินไหลพรากราวกับมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก สินเป็นเพียงนักเรียนที่เคยศรัทธาในตัวเที่ยงอย่างมาก เขาเคยให้สัตย์สาบานจะจงรักภักดีกับดนตรีไทยไว้ ทำให้เที่ยงใช้ประโยชน์จากสินได้เต็มที่ สินพร่ำพรรณนาคิดถึงเจ้าคุณนรพงศ์ ครูนพ ครูสายพิณ คิดถึงแก้ว คนรักของเขา ทุกคนต่างไปเกิดในภพภูมิใหม่ มีเพียงเขาที่ยังติดอยู่ที่นี่
“ครูสายพิณ ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย”
ภาพเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในเรือนฝรั่งสีเหลืองทองอร่ามตา ภายในดูโอ่อ่าเหมือนวังโบราณ มีเปียโนเครื่องใหญ่สีดำสนิทตั้งตระหง่านอยู่กลางโถงใหญ่ ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดูคุ้นสายตากำลังเล่นเปียโนอยู่ เสียงเปียโนไพเราะสะกดให้สลิลทิพย์เดินตามเข้ามาในตึกฝรั่งนี้ เธอจ้องมองชายหนุ่มที่ดูคุ้นตา เหมือนเคยรู้จักมาก่อน ใบหน้านั้นเบลอไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เขาหยุดเล่นเปียโนยื่นมือมาให้สลิลทิพย์คล้ายเชื้อเชิญมาเล่นคู่กัน สลิลทิพย์กำลังจะยื่นมือไปสัมผัสมือของเขา เพียงแต่สินคว้ามือนั้นไปกุมที่ใบหน้า เขานั่งคุกเข่าต่อหน้าสลิลทิพย์ร้องไห้ไม่หยุด
“ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย ครูสายพิณ” เสียงสินสะอึกสะอื้น เธอพยายามดึงมือออก อารามตกใจ ชายหนุ่มที่เล่นเปียโนหายวับไป รอบๆ กายของเธอมีผู้คนนั่งพับเพียบร้องไห้ คล้ายเหมือนขอร้องอะไรสักอย่าง สลิลทิพย์ตกใจ สะดุ้งตื่นกลางดึก เธอมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใคร ห้องนอนก็เธอก็ยังคงเงียบสงบดังเดิม เพียงแค่มือของเธอกลับเปียกเหมือนเปื้อนคราบน้ำตามา สลิลทิพย์ถูมือไปมาจ้องมองมือที่เปื้อนคราบน้ำอย่างกังวล
เธอคว้าโทรศัพท์มือถือ มองดูนาฬิกา เป็นเวลาเพียงตีหนึ่งสีสิบห้านาทีเท่านั้น เธอเลื่อนมือถือดูบันทึกการโทร ดูข้อความในแอปพลิเคชัน คาดหวังว่าจะเห็นข้อความหรือสายของคีตะโทรศัพท์กลับมาหาเธอ แต่กลับไม่มีสายหรือข้อความใดๆ สลิลทิพย์คิดว่าเขาน่าจะเพลียจนหลับสนิทไปเสียมากกว่า เธอพลิกตัวนอนหลับต่อ โดยที่ไม่เห็นว่า ปลายเตียงของเธอมีเงาตะคุ่มๆ มีคราบน้ำแปลกๆ หยดอยู่ สินนั่งห่อตัว ก้มลงแทบติดพื้นนั่งร้องไห้โดยที่ไม่มีใครได้ยินและไม่มีใครเห็น
“สินหายไปไหนครับครูเที่ยง ไม่มาซ้อมซอด้วงด้วยกัน” คีตะหันไปถามครูเที่ยง
“มันน่ะชอบแต่เที่ยวเล่น สงสัยไปล้อสาวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เจ้ามาเล่นกับข้าดีกว่า ข้าจะสอนให้” เที่ยงกลับมายิ้มแย้มให้กับคีตะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เขาสร้างความรัก ความผูกพัน เพื่อที่จะให้คีตะไว้ใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่เที่ยงคาดหวังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม “ครับครู ผมอยากจะเก่งเหมือนครูเที่ยง” คีตะเชื่อใจและเคารพเที่ยงมาก ด้วยเที่ยงคอยช่วยเหลือ ดูแลให้ที่อยู่ ที่กิน โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน แถมยังคอยให้ความรู้เรื่องดนตรีไทยอย่างที่พ่อของเขาไม่เคยทำมาก่อน ความผูกพันของคีตะกับเที่ยงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ คีตะนั่งเรียนซอด้วงอยู่ข้างๆ เที่ยงมองแววตาสดใสคู่นี้พลันให้คิดถึงนพเพื่อนรักของเขา ความแค้นที่เขามีต่อนพมากเกินจะใช้คำว่าเห็นใจ หรือสงสารมาแทนที่ ยิ่งคีตะเก่งกาจขึ้นเท่าไร ความเคียดแค้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเท่านั้น
“ไม่คิดจะสอนอย่างอื่นมันบ้างเลยหรือ” ครูนพแทรกขึ้นมาระหว่างทั้งสองคน
“ก็มันไม่ได้ขอให้สอนอย่างอื่น” เที่ยงสวนกลับทันควัน สายตามุ่งร้าย นพไม่กลัว
‘คิดจะลองดีกับข้างั้นหรือ’ เที่ยงพูดดังในใจ
“ข้าจะสอนระนาดให้ ลุกขึ้นมา” คีตะมองหน้าเที่ยงเชิงขออนุญาต เที่ยงห้ามไม่ได้ต้องปล่อยเลยตามเลย นพเดินนำคีตะไปอีกฝั่งหนึ่งของเรือนการเวก
สักวันมึงจะต้องอยู่ใต้อาณัติข้า
“สิน มึงหายหัวไปไหน” เที่ยงตะโกนเรียก สินโผล่มาตรงหน้าเที่ยง “มึงตามคีตะไปเรียนระนาด ดูมันไว้อย่าให้คลาดสายตา” สินพยักหน้า แววตาเซื่องซึม ไร้ชีวิต
‘ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าคุณนรพงศ์มีอำนาจเหนือกว่าข้า อยู่ใต้อาณัติข้ามาเป็นร้อยปี’ เที่ยงคิดในใจ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครก็ตามมีอำนาจเหนือการควบคุมของเขา
คีตะนั่งเรียนระนาด นพเห็นว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์มาก เหมือนเขาตอนหนุ่มๆ ไม่มีผิด มือที่จับไม้นวมพลิ้วไหว ดูมีชีวิตชีวา น้ำหนักมือก็พอเหมาะกับเสียงในแต่ละตัวโน้ตเหลือเกิน
“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี” สินเดินเข้ามา นพทักทาย แววตาของสินแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง “เป็นอะไรไป” คีตะถามอย่างเป็นห่วง สินส่ายหน้า ยกมือประนมไหว้เครื่องดนตรีก่อนจะเริ่มเล่นระนาด เสียงระนาดของสินในยามนี้ดูโหยหวน เศร้าโศก ในทำนองมีน้ำตาปนอยู่ในทุกท่วงทำนอง
“มันจะมากไปแล้วนะไอ้เที่ยง” เสียงนพดังลั่นเรือนการเวก เที่ยงนั่งนิ่งอยู่บนตั่งกลางเรือน กำลังเช็ดซอด้วงตัวโปรด เหล่าคนรับใช้ทั้งชายหญิงก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง
“มึงกักขังกูไว้ กูไม่เคยปริปากขอให้ปล่อย หรือมึงจะกักขังไอ้อีตนใด หรือล่อลวงหญิงสาวมาสังเวย ข้าได้แต่เวทนา เพราะข้าเองก็มีกรรมร่วมกับมึง แต่นี่อะไร มึงทำกับเจ้าสิน คนที่มันเคารพมึงที่สุด คนที่ถวายชีวิตช่วยมึงทุกอย่าง มึงมันยิ่งกว่าเดรัจฉาน ยิ่งกว่าอสุรกาย” นพด่าเที่ยงรัวๆ เขาอดทนอดกลั้นมานาน
“แล้วยังไง” เที่ยงไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาเฉยชากับสิ่งที่นพด่าอยู่ตรงหน้า “อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ นับสิบๆ ปี มึงไม่เคยกล้ามาชี้หน้าด่ากู วันนี้มึงกล้าขนาดนี้ แสดงว่าไม่เกรงกลัวข้า หรือเพราะได้เห็นหน้าลูกหลานเลยนึกคิดจะมาปกป้อง” นพหันหน้ามองเที่ยง เขาจ้องเที่ยงเขม็ง
“อย่าทำอะไรคีตะ” เสียงนพเปลี่ยนไปจากชายหนุ่มกลายเป็นชายชรา ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงคล้ายมีใครสาปให้เขากลายเป็นอีกคน ร่างของเจ้าคุณนรพงศ์ปรากฏแก่สายตาเที่ยงและเหล่าคนใช้ชายหญิง ทุกคนหวาดกลัว ยกเว้นเที่ยง
“กูจะสาบมึงไปทำอะไรก็ได้ เพราะมึงสาบานกับกูไว้” เจ้าคุณนรพงศ์หน้าเสีย เขาทำพลาดใหญ่หลวงในครั้งก่อน ผลของคำสัตย์สาบานส่งผลต่อร่างและวิญญาณของเขาโดยที่ตอนมีชีวิตอยู่เขาแทบไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เสียด้วยซ้ำ
“นายท่านเจ้าขา” คนรับใช้สาวสวย สายตาอ้อล้อ เย้ายวน ผมยาวดำสนิท ริมฝีปากแดงสวยเป็นกระจับ นุ่งผ้าคาดอกสีสันแสบตา เผยให้เห็นเนินเนื้อสาว ขาวชวนให้ชายมอง ค่อยๆ คลานเข่าเข้ามากอดแขนเที่ยง เสยคางไว้บนบ่ากว้างของชายหนุ่ม เสียงพูดแผ่วเบาสะท้านเข้าไปในอก
“นายท่านเจ้าขา อย่าโกรธท่านเจ้าคุณเลยนะคะ เดี๋ยวบ่าวจะช่วยผ่อนคลายให้เอง” เที่ยงหันไปยิ้ม หน้าตาเจ้าเล่ห์ วางซอด้วงไว้ข้างกาย พลันเอามือหนาเชยคางเธออย่างรุนแรง “ผ่อนคลายให้ข้าหรือให้มัน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้”
เรื่องเดียวที่เจ้าคุณนรพงศ์พลาดพลั้งในอดีตคือหนีไม่พ้นเรื่องชู้สาว ท่านมักมากในกามอารมณ์ผู้หญิงมีเท่าไรก็ไม่เพียงพอ จนคุณหญิงแม่ของสายพิณตรอมใจตาย แต่สายพิณไม่เคยระแคะระคายเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะเจ้าคุณนรพงศ์มันไข่ในที่ลับ และยกย่องคุณหญิงรังสิมาเพียงคนเดียว แม้จะออกงานสังคมด้วยกันตลอด หรือเข้าเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท เจ้าคุณนรพงศ์ก็พร่ำเชิดชูภรรยาของเขา ที่ไหนได้ภายในใจของคุณหญิงรังสิมาทุกข์ระทม ขมขื่น สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของเธอไว้ได้คือ สายพิณ ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ
“เอาเถอะ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ข้าออกจะใจกว้าง ใช่ไหมเจ้าคุณ” เที่ยงพูดจบหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะอย่างมีอำนาจอย่างที่เจ้าคุณนรพงศ์เคยหัวเราะใส่เที่ยง วันนี้กลับบาดจิตบาดใจเขาเสียเหลือเกิน ผู้หญิงของเจ้าคุณนรพงศ์ใครก็ห้ามแตะ แต่บัดนี้เขาต้องได้ของเหลือจากเที่ยง หรือจะเรียกว่าจากบ่าวเก่าในเรือนก็ว่าได้
“สินไม่ชอบระนาดหรือ” คีตะเห็นสินเล่นไม่เก่ง ดูเก้ๆ กังๆ สินพยักหน้า “อือ ข้าชอบซอน่ะ”
“มิน่าล่ะ ครูเที่ยงถึงชอบสินมาก เป็นลูกศิษย์มือหนึ่งเลยละสิ” คีตะแหย่สิน แต่สินไม่มีอารมณ์เล่นด้วย เขาตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้ตลอดเวลา เสียงนกกาบินผ่านเรือน เสียงเจื้อยแจ้ว เวลาพลบค่ำ แสงอาทิตย์กลายเป็นสีส้ม ฉายแสงให้ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว “เฮ้ย เรียนจนลืมเวลาเลย ไปหาไรกินกันเถอะ” คีตะกอดคอสิน หมายจะออกไปเที่ยวเล่น
“วันนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า เห็นว่าเจ้าคุณนรพงศ์จะทำอาหารเลี้ยงทุกคน คีร์ไปด้วยกันนะ” สินรีบขัด เพราะเที่ยงสั่งให้เขาจับตาดูคีตะไว้ให้ดีอย่าให้ไปไหน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น