ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
คีตะในชุดราชปะแตน คอปกสีขาวสะอาดตา คู่กับโจงกระเบนผ้าทอลายไทยสีเขียวไพร นั่งอยู่บนตั่งกลางเรือนไทยขนาดใหญ่ เสียงซอด้วงค่อยๆ ถูกบรรจงสี คล้ายผู้บรรเลงกำลังตั้งใจสื่อสารความรู้สึกทั้งหมดผ่านเสียงเพลง คณณัฐเดินขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น
“นายมานั่งเล่นซอด้วงทำไมตรงนี้ แล้วนี่ที่ไหน” คณณัฐเดินเข้าไปหาคีตะ พร้อมกับมองไปรอบๆ คีตะแสยะยิ้มน่ากลัว ค่อยๆ มีเลือดไหลออกจากตา มือคีตะพยายามคว้าตัวคณณัฐ เขาถอยหนีด้วยความกลัว แต่พลันเข้าไปสัมผัสมือเพราะห่วงน้องชายตนเอง แต่แล้วคีตะกลับกระอักเลือดออกมาเปื้อนเต็มมือของเขา คณณัฐพยายามร้องให้คนช่วย
“ไม่มีใครช่วยข้าได้” เสียงคีตะเปลี่ยนไป คณณัฐหันกลับมามอง น้องชายของเขาหายไปกลับกลายเป็นชายหนุ่มที่เขาไม่รู้จักกำลังบีบมือคณณัฐอย่างรุนแรง เขาพยายามดึงมือออก
“ถึงเวลาต้องชดใช้!”
คณณัฐสะดุ้งตื่นขึ้น เขามองไปรอบๆ ทุกอย่างเป็นปกติ ห้องพักผู้ป่วยเงียบสงบมีแสงไฟสลัวๆ บนหัวเตียงเท่านั้น
“คีร์ อยู่ไหม คีร์” คณณัฐรู้สึกเป็นห่วงน้องชาย เขาพยายามลุกจากเตียงเพื่อไปดูคีตะ ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก
“คนไข้นอนพักก่อนนะคะ ถึงเวลาตรวจความดัน กับวัดไข้แล้วค่ะ” พยาบาลเดินถืออุปกรณ์ตรวจความดันกับปรอทเข้ามา
“พอดีผมจะลุกไปหาน้องชายครับ”
“เดี๋ยวดูให้นะคะ คนไข้นอนวัดไข้สักครู่นะคะ” พยาบาลเดินมาดูที่โซฟา เห็นคีตะหลับปุ๋ยอยู่ก็ยิ้มในใจ
“คนมาเฝ้าหลับสนิทกว่าคนป่วยอีกนะคะ” คณณัฐเบาใจ
“ไข้ไม่มีแล้วค่ะ ความดันกลับมาปกติ พรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผม ณัฐ นะครับ” รอยยิ้มโปรยเสน่ห์ของคณณัฐใช้ได้เสมอ ความกะลิ้มกะเหลี่ยดูซุกซนเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ หลายคน
“ค่ะ ทราบดีค่ะ ชื่อคุณณัฐติดอยู่ที่หัวเตียงค่ะ” พยาบาลยิ้มหวานก่อนเดินออกไป
“นี่เราโทรมขนาดที่สาวยังไม่สนใจอีกหรือเนี่ย” คณณัฐล้มตัวลงนอน คณณัฐเป็นคนปากหวาน ไม่ชอบหยุดอยู่ที่ใคร ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน การที่เขาคุยหลายคน ไม่ได้หมายความว่าเขาเจ้าชู้ คณณัฐคิดแบบนั้น เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยรักคนคนหนึ่งมาก แต่กลับผิดหวังจนทำให้เขาไม่เชื่อเรื่องความรัก เขามองว่า ความรักคือความฉาบฉวย คือกามอารมณ์
สันดานเดียวกันทั้งบ้านแบบนี้สิถึงสนุก
ตกดึกคีตะนอนไม่หลับ เขาลงมาเดินเล่นที่ลานกว้างหลังเรือน ศาลาริมน้ำในยามค่ำคืนดูวังเวง เขาเดินถอนหายใจ ในหัวเขาคิดไม่ตก นอนไม่หลับ ใจของเขานึกอยากกลับบ้าน ความเงียบสงบมีเสียงย่ำเท้าหนักๆ มาด้านหลัง
“นอนไม่หลับหรือ” เจ้าคุณนรพงศ์เดินเข้ามาหาคีตะ
“ครับ พอดีแปลกที่ครับ”
“แล้วเราเป็นคนที่ไหนล่ะ ทำไมไม่กลับบ้าน ลูกศิษย์คนอื่นๆ เรียนเสร็จก็กลับบ้านกันหมด”
“บ้านผมอยู่ไกล ไปกลับไม่สะดวก ครูเที่ยงเลยให้อาศัยที่นี่ครับ” ทั้งสองเดินไปคุยไปจนมานั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ “เจ้าคุณนอนไม่หลับหรือครับ”
“ฉันนอนมามากเกินพอแล้ว” คีตะขมวดคิ้วเชิงสงสัย เจ้าคุณนรพงศ์หัวเราะเบาๆ สาวใช้สองสามคนเดินตามมาคอยรับใช้เจ้าคุณ คนหนึ่งคอยพัด อีกสองคนคอยนวด
“เจ้าคุณกำลังจะสอนดนตรีสากลหรือครับ” คีตะโพล่งคำถามที่ไม่คาดคิดออกมา ทำเอาเจ้าคุณนรพงศ์อึ้ง หน้าถอดสีอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไปคอยนวดให้หลานข้าที” เจ้าคุณนรพงศ์สั่งให้บ่าวรับใช้สาวมาดูแลคีตะ เขาเคอะเขินอยู่เล็กน้อยแต่ไม่ขัดอะไร “ใช่ ข้าตั้งใจจะให้ดนตรีฝรั่งเป็นที่รู้จักในสยามเช่นเดียวกับดนตรีไทย” เจ้าคุณพูดเสียงดังเหมือนต้องการให้ใครได้ยิน
“ผมว่า เดี๋ยวคนไทยก็ซึมซับดนตรีฝรั่งได้ไม่ยาก” เพราะในยุคของเขาดนตรีไทยกลายเป็นที่นิยมส่วนน้อยเมื่อเทียบกับดนตรีสากล
“ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้น ไม่รู้หรือไร ตอนนี้คนไทยเขารังเกียจดนตรีฝรั่ง เขากลัวกันว่าจะมาทำให้คนในชาติไม่รักกัน ทำให้คนในชาติไม่รู้จักสืบทอดความเป็นไทยให้ลูกหลาน” น้ำเสียงหงุดหงิดใจเกิดขึ้นมาทันที ภาพของคนที่รั้นหัวชนฝาอย่างเที่ยงก็ผุดขึ้น
“ผมชอบทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล มันมีเสน่ห์คนละแบบ” คีตะแสดงความคิดเห็น
“เมื่อกี้เจ้าเรียกว่าดนตรีสากล คืออะไร ใช่ดนตรีฝรั่งหรือไม่”
“เป็นคนไทยก็ต้องเรียนดนตรีไทย จะไปเรียนดนตรีฝรั่งได้ยังไง” เสียงเที่ยงไม่พอใจดังมาจากนอกศาลาริมน้ำ เที่ยงเดินก้าวยาวๆ เข้ามา คนรับใช้สาวทั้งสามคนค่อยๆ หลบมุมไป คีตะงงๆ ทำไมทุกคนดูกลัวครูเที่ยง
“คีตะเป็นนักเรียนของข้า เจ้าคุณอย่าได้มาเสี้ยมสอนอะไรแปลกๆ ให้มันจะดีกว่า” ค่ำคืนที่เงียบสงบกลายเป็นไม่สงบไปเสียแล้ว คีตะเริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของครูเที่ยง และสีหน้าแววตาไม่ยอมใครของเจ้าคุณนรพงศ์ เขารู้สึกว่าการไปนอนของเขาในตอนนี้น่าจะดีที่สุด
“ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ” คีตะยกมือไหว้ลาเจ้าคุณนรพงศ์และครูเที่ยง เขารีบเดินออกจากศาลาริมน้ำอย่างรวดเร็ว
“เกือบซวยละกู” คีตะพึมพำกับตนเอง
บรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนสงบ ทว่าจิตใจของแต่ละคนกลับไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย สินเองก็นอนไม่หลับ เขาเดินวนไปวนมาอยู่ชานเรือน พอเห็นคีตะขึ้นมาบนเรือนก็รีบพุ่งตัวไปหา
“คีร์เจอเจ้าคุณนรพงศ์หรือ” สินกระตือรือร้น
“ใช่ เจอมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ตึกฝรั่ง” สินรู้สึกยินดีที่เจ้าคุณนรพงศ์ออกมาจากเรือนฝรั่ง เขาดีใจจนออกนอกหน้า คีตะเริ่มสงสัย “ดีใจอะไรขนาดนั้น”
“คีร์ไม่รู้อะไร เจ้าคุณออกมาได้นั่นหมายความว่า คำสาปเริ่มไม่ได้ผล” สินพลั้งปากโดยไม่รู้ตัว
“คำสาปอะไร” เที่ยงที่อยู่ในศาลาริมน้ำได้ยิน ติดที่เจ้าคุณนรพงศ์ยังไม่ลดราวาศอก ชวนเขาต่อล้อต่อเถียงด้วย สินตัวสั่น หวาดกลัว ยกมือท่วมหัวสำนึกผิด “สินเป็นอะไรไป คำสาปอะไร” คีตะเขย่าตัวสิน สินกำลังจะเดินหนี เขาหันมาหาคีตะ
“ถ้าได้กลับไป อย่ากลับมาอีกนะคีร์” สินจับมือคีตะพูดอย่างรวดเร็ว ทว่าแววตา น้ำเสียงดูจริงจังจนเขาต้องเอาคำพูดนั้นกลับไปนอนคิด
“ทำไมไม่ให้กลับมา แล้วเราจะไม่มาได้ยังไง แล้วคำสาปอะไร” คีตะนอนคิดวนไปวนมาจนเผลอหลับไป ก่อนนอนเขาได้ยินเสียงซอด้วงดังมาไกลๆ เหมือนมีคนกำลังนั่งสีซอกล่อมให้คนนอนหลับในยามนี้
มันหน้าไหนก็หนีข้าไม่พ้น
เช้าวันใหม่ คีตะแปลกใจที่เช้านี้เขาไม่ได้ยินเสียงซอด้วงของครูเที่ยงเหมือนเช่นเคย กลับกลายเป็นเสียงเปียโนดังมาจากตึกฝรั่ง เขารีบอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพุ่งตัวไปที่ตึกฝรั่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตึกสีเหลืองทองอร่ามตา ห้องโถงยกสูงมีโคมไฟระย้าเหมือนอยู่คนละโลกกับเรือนการเวกทว่าอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน คีตะด้อมๆ มองๆ เดินเข้าไป เห็นสินนั่งอยู่ใกล้เปียโนตัวใหญ่ มีเหล่าคนรับใช้ชายหญิงนั่งรายล้อมเหมือนกำลังดูการแสดงดนตรี ทุกคนต่างดูมีความสุข คนบรรเลงเพลงอย่างเจ้าคุณนรพงศ์กำลังยิ้มแย้ม ปลายนิ้วพลิ้วไหว หลังตรง ดูสง่างาม คีตะเดินมานั่งอยู่ที่หน้าโถงริมบันได ยามที่เพลงบรรเลงจบเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว
“เก่งจังเลยครับเจ้าคุณ” สินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เจ้าคุณนรพงศ์เห็นคีตะนั่งอยู่ที่บันไดหน้าบ้านคนเดียว
“ไอ้หนุ่ม เข้ามานี่สิ” คีตะเดินเข้าไป สินรีบลุกมายืนข้างๆ
“มาลองดูไหม” เจ้าคุณนรพงศ์ลุกจากเก้าอี้ คีตะกล้าๆ กลัวๆ กลัวเจอคำถามที่ว่าเขาเล่นเป็นได้อย่างไร หรือทำไมรู้จัก คีตะทำท่าบ่ายเบี่ยง แต่เจ้าคุณคะยั้นคะยอให้ลองเล่น คีตะนั่งลงหน้าเปียโนตัวใหญ่
“นี่เป็นเปียโนที่ตระกูลข้าสั่งทำขึ้นมาจากเมืองฝรั่ง ตอนนี้ในสยามยังไม่มี แต่เห็นว่าในวังกำลังจะนำเข้ามาอยู่” เจ้าคุณนรพงศ์แนะนำเปียโนตัวโปรดให้คีตะรู้จัก “เจ้าคุณหวงมาเลยนะคีร์ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้แตะ” สินรีบเสริม คีตะกำลังจะวางมือลงบนคีร์เปียโน เสียงซอด้วงก็ดังกังวาน ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง
‘มันไม่ยอมแพ้ข้าสินะ’ เจ้าคุณนรพงศ์นึกคิดในใจ “ไอ้หนุ่มรีบเล่นเปียโนเร็วเข้า” คีตะเล่นเปียโนอย่างไม่เป็นตัวเองเท่าไรนัก เล่นผิดบ้าง ถูกบ้างจำโน้ตเพลงได้บ้างไม่ได้บ้าง เจ้าคุณนรพงศ์เริ่มหงุดหงิดใจ เสียงซอด้วงก็ดังกังวานอยู่เนืองๆ เหมือนเครื่องดนตรีทั้งสองกำลังประชันกันอยู่
สายพิณเดินเข้ามาแตะบ่าคีตะเบาๆ ทำเอาเขาสะดุ้ง “วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ” พอสายพิณเดินเข้ามา ทุกคนในตึกฝรั่งก็เงียบสนิท สายพิณเข้ามาทำตัวสนิทสนมกับคีตะ เธอนั่งบนเก้าอี้ใกล้ชิดกับเขาเหมือนกับเป็นคนรักกัน คีตะเริ่มทำตัวไม่ถูก สายตาทุกคู่จับจ้องทั้งสองคน
“สายพิณ ลูกไม่ควรเข้ามา” เจ้าคุณนรพงศ์ไม่พอใจกับพฤติกรรมของลูกสาว
“ข้าไม่ใช่ลูกของเจ้า” สายพิณเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหู เขารู้แล้วว่าเปียโนของเขาได้พ่ายแพ้ต่อซอด้วงของเที่ยงอีกตามเคย และเมื่อใดที่เขาเห็นหน้าสายพิณ จิตใจของเขาก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูกเป็นสายใยที่ตัดไม่ขาด
“วันนี้พอแค่นี้แหละ สินพาเพื่อนของเจ้ากลับเรือนการเวกไป” เจ้าคุณนรพงศ์หันมาสั่งสิน คีตะมองไปรอบๆ เหล่าคนใช้ชายหญิงหายไปหมดเหมือนไม่เคยนั่งอยู่ตรงนั้น สินลากคีตะออกจากตึกฝรั่งไปทันที เขามองเจ้าคุณนรพงศ์กับครูสายพิณจนลับสายตา ความสงสัยเริ่มก่อตัว
ในใจคีตะเริ่มสับสน วันนี้ครูสายพิณไม่เหมือนเก่า สายตาไม่ได้ดูยั่วยวนหรือมีเสน่ห์ตามแบบที่คีตะเคยเห็น แต่สายตากลับดูซื่อๆ เศร้าๆ ยังไงพิกล “รีบเดินเถอะคีร์ อยู่นานไม่ดีหรอก” สินกึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับลากคีตะไปด้วย
“ไม่ดีเพราะครูเที่ยงไม่ชอบดนตรีฝรั่งใช่ไหม” เป็นคำถามที่แทงใจสิน
“ข้าก็ไม่รู้หรอก” สินไม่อยากตอบ
“ทำไมสินต้องกลัวครูเที่ยงขนาดนั้น ครูเที่ยงใจดีจะตาย ความชอบดนตรีมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน”
“ใช่ และข้าก็อยากให้ดนตรีไทยอยู่คู่สังคมไทย ไม่ใช่ไอเครื่องดนตรีฝรั่งอะไรนั่น” เที่ยงเดินมาจากไหนไม่รู้ คีตะกับสินตกใจเหมือนเห็นผี พอหันไปเห็นว่าเป็นครูเที่ยงคีตะก็โล่งใจ “ตกใจหมดเลยครับครู มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” เที่ยงหัวเราะร่วนเอามือลูบหัวคีตะอย่างอ่อนโยน ดูคล้ายพ่อหยอกล้อกับลูกชายยังไงยังนั้น
ทว่าคีตะไม่ได้สังเกตภายใต้เสียงหัวเราะนั้น แววตาขมึงถึง ดูโกรธแค้นอย่างรุนแรงส่งผ่านไปยังมือที่ลูบหัวอยู่ มือเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ดูเหมือนเจ้าของมืออยากจะเอามือนั้นไปบีบคอเสียมากกว่า สินเห็นก็กลัวจนตัวงอเช่นเคย
“วันนี้ข้าไม่สอน พวกเอ็งไปเที่ยวเล่นกันตามประสาหนุ่มโสดเถอะ” เที่ยงจับไหล่คีตะ คีตะรับรู้ถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความเป็นห่วงเป็นใยของเที่ยงที่ส่งมาถึงเขา “ไอสิน ดูแลเจ้าคีตะให้ดีด้วย”
“ครับครู”
“ไปงานวัดภูเขาทองกันเถอะสิน ข้าได้ยินชาวบ้านเค้าพูดกันว่ามีงาน” คีตะตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กๆ
“ให้ข้าไปด้วยคนสิ” อิงอร หญิงสาวคนรับใช้ในเรือนฝรั่งพูด
“อรออกมาได้ยังไง แล้วแก้วล่ะ” สินตกใจมากพยายามมองหาแก้วคนรักของเขา
“ข้าอนุญาต” เสียงเที่ยงดังทั่วใต้ถุนเรือน
“สิน ข้าถามว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไร เหม่ออะไรกันทั้งสองคน” คีตะสงสัย
“อ๋อๆ เธอชื่ออิงอร เป็นคนรับใช้ของเรือนฝรั่งนู้น”
“สวัสดีจ้ะ พี่คีร์ ฉันเห็นพี่เมื่อเช้าที่เรือน ให้ฉันไปด้วยสักคนนะจ๊ะ” อิงอรทำตัวใกล้ชิดคีตะมากเกินงาม จนสินรู้สึกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล อิงอรสาวใช้คนสนิทของเที่ยงรับคำสั่งมาให้ดูแลคีตะอย่างดี และถ้าสามารถร่วมหอลงโรงกันได้ เที่ยงจะตบรางวัลให้เธออย่างงาม
ข้าจะทำให้มันใจแตก หลงใหลคนของข้า
“โห คนเยอะมาก ร้านขายของก็เยอะ” คีตะตื่นตาตื่นใจ ไม่เคยเห็นงานวัดแบบนี้มาก่อน สมัยปัจจุบันของเขาแทบจะไม่มีงานวัดหลงเหลือให้เห็น ส่วนใหญ่จะเรียกว่างานประจำปีทำบุญตามวัดต่างๆ เสียมากกว่า
“ไปปิดทองบนภูเขาทองกันนะคะคีร์ เขาว่ากันว่า ปิดทองร่วมชาติจะได้เป็นเนื้อคู่กันนะ” อิงองเกาะแขนคีตะเดินดูงานตลอดทาง ตอนนี้อ้อนเกาะไหล่ชวนคีตะขึ้นไปด้านบน เธออยากอยู่กับคีตะสองต่อสอง แต่มีสินคอยกันท่าอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไปด้วยคน ตั้งแต่มีงานมาฉันไม่เคยขึ้นไปสักการะปิดทองเลยสักครั้ง” สินพูดจบเดินนำทั้งสองคนไปทันที บันไดขึ้นภูเขาขั้นสุดท้ายเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาสักการะบูชากราบไหว้เพื่อขอพรให้ร่มเย็นเป็นสุข เพราะพิธีการห่มผ้าแดงได้ทำพิธีไปเมื่อรุ่งสาง ผู้คนต่างเข้ามารอจับผ้าบนยอดภูเขาเพื่ออธิษฐานขอพร คีตะนั่งลงยกมือประนมไหว้
‘ขอให้ลูกปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ขอให้ชีวิตลูกมีแต่ความสุขสมหวังทุกประการ’ คีตะขอพรกับภูเขาทองเสร็จ จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมาทันที มีเสียงฟ้าร้องคล้ายฝนจะตก ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ สินกับอิงอรพากันไปหลบใต้หลังคาโบสถ์ด้านบน พยายามมองหาคีตะที่พลัดหลงกันด้วยผู้คนที่เนืองแน่น
จู่ๆ ลมก็พัดหอบเอาฝุ่นควันมาจนมืดฟ้ามัวดิน ใครเป็นใครแทบแยกไม่ออก คีตะพยายามพาตัวเองไปอยู่ริมกำแพงวัดเพื่อหาที่ปลอดภัย แต่ไม่ทันไรมีมือหนึ่งคล้ายมือผู้หญิง ใส่แหวนที่ดูคุ้นตามาดึงข้อศอกของเขาเหมือนกำลังจะพาเขาไปอีกทาง มือนั้นคุ้นตาคีตะมากแต่เขานึกไม่ออก เขาทนกับสภาพลมและฝุ่นควันไม่ไหวจนต้องเอามือขึ้นมาบังสายตา พยายามหรี่ตามองไปข้างหน้าแต่ไม่เห็นอะไร
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น