ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
คีตะยกมือขึ้นบังฝุ่นเหนือศีรษะตัวเอง อีกมือพยายามพัดให้ฝุ่นด้านหน้าตนเองจางหายไปเร็วๆ เขาสะบัดตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากมือที่พยายามจับเขาไว้ และเพื่อหาทางออกจากฝูงชนข้างหน้า ไม่นานนักเขาก็เห็นช่องว่างตรงหน้าที่เหมือนจะมีที่ให้เขาเข้าไปหลบ คีตะรีบพุ่งตัวออกไปหมายจะเป็นกำแพงให้เขาพิง
“โอ๊ย” คีตะพลิกตัวจนตกโซฟาที่นอนอยู่ในห้องผู้ป่วย เสียงความเจ็บปวดดังลั่นห้อง แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาที่ห้องพักผ่านช่องหน้าต่างที่เขาไม่ได้ปิดม่านไว้
“คีร์เป็นอะไร” คณณัฐตกใจรีบเรียก คีตะงงๆ มึนๆ สับสนว่าตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่ พอได้สติลุกขึ้นนั่งก็นึกขึ้นได้ รีบวิ่งมาหาคณณัฐ
“พี่นอนที่นี่สามคืนเลยเหรอ”
“สามคืนอะไร พี่นอนแค่เมื่อคืน นี่หลับจนลืมวันลืมคืนเลยหรือไง เมื่อคืนเรียกตั้งหลายรอบก็ไม่ตื่น” คณณัฐกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ คีตะยืนงงๆ อยู่ข้างเตียง คิดนึกในใจเวลาระหว่างภพห่างกันขนาดนี้เลยเหรอ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเห็นสายที่ไม่ได้รับเกือบ 20 สาย ปลายสายมีทั้งแม่และสลิลทิพย์ เขารีบโทรศัพท์กลับไปรายงานตัวทีละคน
“ครับแม่ พี่ณัฐหายดีแล้วครับ สายๆ ก็ออกจากโรงพยาบาลได้”
“แม่ครับ เมื่อคืนผมต่างหากที่เฝ้าน้อง” คณณัฐตะโกนออกมาแซวน้องผ่านมือถือ หวังให้คีตกานต์ได้ยิน “ครับแม่ เจอกันที่งานเลยก็ได้ครับ”
“ทิพย์ คีร์ขอโทษ เมื่อคืนคีร์หลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“โอ๊ย นอกจากรายงานตัวกับแม่แล้ว ยังต้องรายงานตัวกับแฟนด้วยเหรอ ระวังแต่งงานไปจะกลัวเมียเอานะ” คณณัฐแซวน้อง คีตะรีบคว่ำโทรศัพท์มือถือไม่อยากให้สลิลทิพย์ได้ยิน
“ทิพย์อยากคุยกับคีร์ ทิพย์ว่าทิพย์ฝันแปลกๆ ไว้เจอกันที่งานแล้วค่อยว่ากันก็ได้”
“ทิพย์ไม่โกรธคีร์ใช่ไหม คีร์ขอโทษนะ” คีตะง้อ เพราะกลัวสลิลทิพย์โกรธ
“คีร์นอนหลับได้ ทิพย์ก็สบายใจ แถมอยู่กับพี่ณัฐก็ไม่มีไรน่าห่วงมั้ง ถ้าไม่มองพยาบาลสาวสวย” สลิลทิพย์หัวเราะผ่านสายโทรศัพท์มา คีตะได้ยินก็สบายใจเห็นทิพย์ยิ้มได้หัวเราะได้ไม่โกรธเขา
“ก็ไม่แน่นะ ถ้าพี่ณัฐนอนหลายคืน” คีตะหัวเราะกลับ แต่กลับหุบยิ้มทันที คณณัฐเดาได้เลยว่าปลายสายไม่สนุกด้วย คีตะวางโทรศัพท์ คณณัฐหัวเราะน้องชายตนเองที่กลัวแฟน
“เขาเรียกว่าให้เกียรติ พี่ณัฐไม่เข้าใจหรอก” คีตะเดินงอนเป็นเด็กๆ หายเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว คณณัฐมองหลังน้องชายตนเอง จ้องเขม็งเพราะรู้สึกว่าน้องชายตนเองเปลี่ยนไป คีตะดูโทรมลงเหมือนคนอดนอนมาหลายวัน ไม่เหมือนคนที่นอนหลับสนิทบนโซฟาตลอดทั้งคืน
มึงหนีข้าไปได้ยังไง
เที่ยงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แรงอาฆาตพยาบาทเปลี่ยนสภาพดินฟ้าอากาศจากสดใสกลายเป็นมืดครึ้ม เรือนการเวกที่ดูสวยงาม เรือนไม้ทรงไทยโบราณ บัดนี้กลับกลายเป็นเรือนร้างเก่าพุพัง มีหยากไย่เกาะอยู่ตามขื่อบ้านเต็มไปหมด ใบไม้แห้งร่วงหล่นเต็มพื้น ลานกว้างที่เขียวขจีกลายเป็นพื้นดินแห้งผาก ลมพัดแรงจนประตูบ้านตีกลับไปมา เสียงดังดูน่ากลัว ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดนตรีถูกปัดกระจายเต็มพื้น
“เฮ้ย ใครสั่งให้หยิบขึ้นมา” เสียงคณินทร์ดังลั่นหอประชุมจัดงาน พนักงานที่กำลังหยิบเครื่องดนตรีไทยโบราณขึ้นมาชะงักกึก พนักงานสาวค่อยๆ วางลงกับพื้นเผยให้เห็นเป็นตู้กระจกที่เก็บรักษาซอด้วงโบราณ คณินทร์เดินหัวเสียเข้ามา
“ฉันไม่ได้สั่งให้ย้าย” พนักงานสาวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคณินทร์
“ยกขึ้นมาแล้วไปวางไว้ตรงหน้าทางเข้างานได้” น้ำเสียงคณินทร์เปลี่ยนไป เขาสงบปากสงบคำ ไม่โวยวายเหมือนเมื่อสักครู่ คล้ายโดนมนตร์สะกดอะไรบางอย่าง พนักงานสาวยกตู้กระจกนั้นผ่านคณินทร์ไป เธอแสยะยิ้มแห้งๆ ยามลับตาคน เผยให้เห็นใบหน้าหนึ่งที่ซ้อนทับกันอยู่ ทว่าใบหน้านั้นเป็นของเที่ยง
ผ่านเวลาไปไม่นานเท่าไรนัก ครอบครัวอัฏฐกรเมธาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา คณินทร์ คีตกานต์เป็นแม่งานคอยยืนต้อนรับสื่อมวลชน ดารา นักแสดง คนมีชื่อเสียงเกือบจะทุกวงการต่างสนใจงานแสดงเครื่องดนตรีไทย ดนตรีสากลโบราณ อีกทั้งยังมีงานแสดงดนตรีที่หาดูได้ยากอีกมากมาย แถมยังมีงานประมูลเครื่องดนตรีโบราณในวันสุดท้ายของงานอีก คีตะรู้ว่างานนี้เป็นแค่งานบังหน้าเพื่อหาเงินเข้าบ้าน เข้ามูลนิธิ ตามสไตล์คนเห็นแก่เงินอย่างคณินทร์ เขาไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะงานพวกนี้ก็จัดต่อเนื่องกันมาหลายปีตั้งแต่เขาเด็กๆ ก็มีแต่ปีนี้ที่เห็นว่า คณินทร์จะเอาเครื่องดนตรีมาประมูล ทำให้คีตะสนใจเป็นพิเศษ
“พี่ณัฐ พ่อจะเอาเครื่องดนตรีอะไรมาประมูล”
“เห็นว่าได้จากเพื่อนมาบ้าง กว้านซื้อมาจากในตลาดของเก่าบ้าง” คณณัฐเป็นคนคอยช่วยหาเครื่องดนตรีให้คณินทร์ เขาจึงรู้เรื่องนี้ดี
“โธ่ นึกว่าลงทุนเอาของตัวเองประมูล” คีตะบ่นๆ
“เออ เห็นว่าจะเอาซอด้วงโบราณประมูลขายนะ ตัวที่ไม่ค่อยได้โชว์ที่อยู่บ้านเราน่ะ” คีตะหันมองหน้าคณณัฐอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ใจหนึ่งประหลาดใจ แต่อีกใจเขาไม่อยากให้ใครได้ซอด้วงนี้ไปเพราะซอด้วงนี้คือกุญแจในการข้ามภพของเขา
“จริงดิ ผมร่วมประมูลได้ไหม อยากได้ซอด้วง” คีตะพูดจริง น้ำเสียงจริงจัง
“มีเงินก็ลองดู ห้ามใช้เงินที่บ้าน” คณณัฐหัวเราะ จับหัวคีตะส่ายไปมา
มึงจะขายกูงั้นหรือ
“พวกลูกๆ อยู่นี่เอง มาทางนี้กับแม่หน่อย” คีตกานต์มาพาลูกๆ ของเขาไปไหว้คนใหญ่คนโต คนมีชื่อเสียง ฝากฝังลูกชายทั้งสองคน คณณัฐกับคีตะรู้งานเป็นอย่างดีต่างยิ้มแย้มแจ่มใส มือไม้อ่อนต่อหน้าสาธารณชน
รศ.ดร.สุทธิภัทร ทิพย์ปภา และสลิลทิพย์ เดินเข้ามาในงาน คีตะมองเห็นสลิลทิพย์เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เธอใส่ชุดราตรียาวสีเขียวอ่อนๆ เปิดไหล่กว้างเผยให้เห็นทรวดทรงองเองกำลังเหมาะ พอให้ชายน้อย ชายใหญ่ในงานต่างเหลียวหลังมองเธอเป็นตาเดียว เจ้าตัวรู้สึกเขินๆ นิดหน่อย แต่ด้วยเดินมากับพ่อแม่จึงลดความประหม่าลงได้ คีตะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์มองเห็นสลิลทิพย์คล้ายกับสายพิณ ทั้งรอยยิ้ม แววตา ท่าทาง เหมือนถอดแบบกันออกมา
“สายพิณ” คีตะพึมพำ
“ทิพย์ยืนต่อหน้า เรียกชื่อใครมิทราบคะคุณคีตะ” สลิลทิพย์ไม่พอใจ ตีเขาแรงๆ ที่แขน คีตะรู้สึกตัวตั้งสติได้รีบขอโทษขอโพยสลิลทิพย์
“วันนี้น้องทิพย์สวยมากนะครับ” คณณัฐมองจนแทบจะทะลุ ถ้าไม่เห็นแก่น้องชาย หญิงสาวตรงหน้าคงได้เป็นพี่สะใภ้คีตะมากกว่า สายตาของคณณัฐใช่ว่าสลิลทิพย์ไม่รับรู้ ทั้งสองคนเคยคุยกันมาก่อนที่คีตะจะแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าชอบเธอ ในขณะนั้นสลิลทิพย์เองก็ไม่ได้สนใจคณณัฐเพราะเธอไม่ชอบคนเจ้าชู้ คณณัฐศอกใส่คีตะเหมือนเป็นเชิงเรียก “ว่าไงน้องชาย ไม่คิดจะชมแฟนตัวเองบ้างเหรอ”
“ทิพย์สวยจนคีร์พูดไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าถ้าในงานแต่งของเราจะสวยขนาดไหน” คีตะยิ้มหน้าระรื่น
“ใครจะแต่งด้วยมิทราบคะ” สลิลทิพย์แหย่กลับ คีตะยื่นแขนให้เธอควง คำพูดเมื่อสักครู่เหมือนคนพูดจะลืมไปเสียหมด คีตะสังเกตเห็นแหวนที่อยู่บนนิ้วของเธอคล้ายกับมือที่พาเขากลับมาในตอนนั้น ทั้งสองพากันเดินไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ สุทธิภัทรเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคณินทร์ทั้งคู่มองตามลูกๆ ของตนเอง ผู้คนต่างชื่นชมเพราะทั้งสองดูเหมาะสมกัน
“ถ้าไม่เหมาะจะดีกว่ามั้งคะ” ทิพย์ปภาพูดแทรกขึ้นกลางวงสนทนา ทำเอาชายหนุ่มทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสี คีตกานต์ทำหน้าไม่พอใจในมารยาทของทิพย์ปภา
“คุณแม่หวงลูกสาวใหญ่เลยนะครับ” อธิการบดีของคณะที่สุทธิภัทรทำงานอยู่แซวขึ้น ทิพย์ปภายิ้มให้อย่างเสแสร้งแกล้งทำ
“ถ้าคุณไม่อยากมา จะกลับก่อนก็ได้นะ” สุทธิภัทรหันไปกระซิบคุยกับภรรยา
“ฉันจะปล่อยให้คุยอยู่กับยัยคีตกานต์เหรอ ไม่มีทาง” ทิพย์ปภาพูดจบเดินไปนั่งดื่มไวน์ที่โต๊ะ คีตกานต์เดินเข้ามา
“เกลียดอะไรฉันนักหนา” ทิพย์ปภาเบะปากกลอกตาไปมา มองไปที่อื่นเหมือนไม่มีคนพูดด้วย
“ฉันถามไม่ได้ยินเหรอไง” คีตกานต์เริ่มไม่พอใจ คนอะไรไร้มารยาท
“ได้ยิน รู้ว่าเกลียดก็พอไหม ต้องให้สาธยายด้วยเหรอ” ทิพย์ปภาเริ่มเมา
“เรื่องเก่าผ่านมากี่สิบปีแล้ว ลูกๆ โตจนจะแต่งงานด้วยกันอยู่แล้ว เธอยังคิดมากอยู่อีกเหรอ”
“ใช่สิ ฉันคิดมาก เพราะสามีตัวดีของฉัน มันยังเทิดทูนเธออยู่ไง”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ลองตายไปดูไหม เผื่อฉันจะได้สบายใจ” ทิพย์ปภาพูดอย่างไม่แคร์ใคร
“ถ้าเธอเกลียดฉันขนาดนี้ ทำไมยังให้ลูกๆ ของเรารักกัน” คีตกานต์สงสัย
“เพราะฉันรักลูกสาวฉัน และอีกอย่างฉันดูแล้วว่า คีตะไม่ได้เลือดแม่มันมา” ทิพย์ปภาเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ตัวเริ่มเซ นั่งไม่อยู่กับที่ คีตกานต์มองหน้าเธอแล้วอนาถใจ แต่อย่างน้อยก็ดีใจที่ทิพย์ปภามีความรักลูกมากพอที่จะแยกแยะความสุขของลูกกับเรื่องส่วนตัว
ถึงเวลาที่คีตะ คณณัฐ บรรเลงเพลงเปิดตัวภายในงาน คีตะเปลี่ยนชุดเป็นชุดไทยราชปะแตนสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีเขียว นั่งถือซอด้วงอยู่บนเวที คณณัฐยืนมองหน้าน้องชายอย่างไม่เชื่อสายตา คีตะเหมือนชายหนุ่มที่เขาเจอในฝันไม่มีผิด ทุกสายตาจับจ้องไปที่คีตะเขาเหมือนหนุ่มเกาหลีในชุดไทย สลิลทิพย์รู้สึกปลื้มแฟนตัวเองขึ้นมา ความรู้สึกหึงหวงของหญิงสาวผุดขึ้น เธอรุดขึ้นไปยืนด้านหน้าเพื่อให้คีตะเห็นเธอได้ชัดเจน เขาส่งยิ้มให้เธอ สาวๆ ในงานต่างมองสลิลทิพย์เป็นตาเดียว คณณัฐในชุดสูททักชิโด้แบบตะวันตกย้อนยุคเดินขึ้นเวทีพร้อมไวโอลิน พี่น้องทั้งสองบรรเลงบทเพลงจนสายตาทุกคู่ต่างมองเป็นตาเดียว ความพลิ้วไหวและความไพเราะของท่วงทำนองเหล่านั้นช่างเหมาะสมที่จะเป็นการแสดงเปิดงานดนตรีแห่งปีเลยทีเดียว
พวกเจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง
“ยามใดที่เครื่องดนตรีไทยแลดนตรีฝรั่งบรรเลงคู่ ยามใดที่ครอบครัวของเพื่อนทรยศบรรเลงคู่ประสาน ยามนั้นถึงฆาตชะตาขาด ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้ว” เสียงเที่ยงหัวเราะลั่นดังไปทั่วผืนฟ้า แรงอาฆาตมีคลื่นพลังงานที่ทำให้แสงไฟในหอประชุมกระพริบเป็นระยะๆ
ผู้ร่วมงานทุกคนต่างคิดว่าเป็นโชว์ประกอบการแสดงต่างปรบมือให้กำลังใจคนบนเวที ทั้งสองขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน สลิลทิพย์เดินเข้าไปมอบดอกไม้ให้คีตะและคณณัฐ ทั้งสามคนถ่ายภาพร่วมกันบนเวที
“ขอบคุณคุณสลิลทิพย์มากๆ เลยนะครับ ทว่าเรามีเซอร์ไพรส์ใหญ่กว่าดอกไม้ให้กับทุกคนด้วยนะครับ” พิธีกรชายขึ้นกล่าวประกาศ ทุกคนต่างตื่นเต้นรอชม “ขอเชิญคุณคณินทร์ ขึ้นเดี่ยวเปียโนบนเวทีได้เลยครับ”
ทุกคนปรบมือและต่างจับจ้องไปที่คณินทร์ ไฟทุกดวงถูกปิดลงเหลือเพียงแสงไฟสีเหลืองนวลสว่างอยู่กลางเวที ฉายแสงไปที่เปียโนสีดำขลับเป็นเงาดูสง่าและยิ่งใหญ่ไม่ต่างกับบุคคลที่กำลังเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เปียโนตัวนั้น คณินทร์เดี่ยวเปียโนได้อย่างไพเราะ โน้ตทุกตัวเข้าจังหวะไม่มีขาดไม่มีเกิน คีตกานต์นั่งมองสามีอย่างชื่นชม เธอหลงรักคณินทร์กับเปียโนมากเสียกว่าความเป็นพ่อของลูกๆ เสียอีก ใบหน้าของเธอชื่นชมสามี หลังจากนั้นไม่นานคณินทร์ส่งสัญญาณให้เธอเหมือนเตีUยมกันไว้ คีตกานต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปล่งเสียงโอเปราให้เข้ากับทำนองของเปียโนนั้น ลูกๆ ทั้งสองคนต่างยืนชื่นชมพ่อกับแม่อยู่ข้างเวที
“แม่เรายังเสียงดีเหมือนเดิมเลย ว่าไหมพี่ณัฐ”
“นั่นสิ พี่ไม่ได้ยินเสียงแม่ร้องเพลงมานานมาก” คีตะและคณณัฐภูมิใจที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้ คีตะเผลอจับมือสลิลทิพย์ที่อยู่ข้างๆ มือของเขาสื่อความหมายเหมือนอยากให้เธอรู้สึกภูมิใจที่จะได้เป็นหนึ่งในครอบครัวของเขา
ข้างๆ คีตกานต์ยังมีคนปลาบปลื้มจนออกนอกหน้าอย่างสุทธิภัทร เขาเคลิบเคลิ้มกับเสียงเพลงของคีตกานต์อย่างลืมตัว เผลอมองคีตกานต์อย่างชายหนุ่มหมายปองหญิงสาว ทิพย์ปภามองเห็นสีหน้าท่าทางของสามีตนเองก็อดรนทนไม่ไหว เธอลุกขึ้นยืนกระแทกเก้าอี้เสียงดัง จนคีตกานต์สะดุดหันมองเล็กน้อย สุทธิภัทรได้สติรีบหันไปหาทิพย์ปภา
“มองจนจะกินมันได้อยู่แล้ว” ทิพย์ปภาโวยวายกลางโต๊ะ พร้อมกับเสียงเพลงบรรเลงและขับร้องจบลง ทั้งหอประชุมเงียบสนิท สลิลทิพย์มองมาที่โต๊ะพ่อกับแม่ของตนเองก็ตกใจ คีตะรีบพาสลิลทิพย์ไปที่โต๊ะครอบครัว สุทธิภัทรดึงแขนให้ทิพย์ปภานั่งลงเพราะอายแขกคนอื่นๆ แถมยังมีสื่อมวลชนอีกด้วย
“จะอายอะไรนักหนา คนที่ต้องอายคือคนหน้าด้านที่ยืนอยู่นี่มากกว่า” ทิพย์ปภาชี้หน้าด่าคีตกานต์
สุทธิภัทรลุกขึ้นทนไม่ไหว “ถ้าเมาหนักขนาดนี้ก็กลับบ้านไป อย่าหาเรื่อง” เขาพยายามพาทิพย์ปภาออกจากงาน
“ฉันไม่ไป วันนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“ฉันไปมีเรื่องอะไรกับเธออีก” คีตกานต์สงสัย
“ทำเป็นแอ๊บใสตั้งแต่สาวยันแก่ หลอกผู้ชายให้หลงรักหัวปักหัวปำมากี่คนก็ไม่รู้” ทิพย์ปภาเริ่มอาละวาด
“นี่คุณภาพูดอะไรให้เกียรติกันบ้าง” คณินทร์เข้ามาปกป้องภรรยา
“เกียรติเหรอ นี่ไงเกียรติ” แก้วไวน์ในมือทิพย์ปภาถูกสาดเข้าไปเต็มหน้าคีตกานต์ เสียงแฟลชทุกตัวกระหน่ำรัวมาที่โต๊ะคณินทร์ คณินทร์รีบเช็ดหน้าให้ภรรยาและรีบหันไปบอกลูกๆ ให้จัดการนักข่าวและดึงดูดความสนใจไปทางอื่น
“มันจะมากไปแล้วนะ” สุทธิภัทรทนไม่ไหว อุ้มทิพย์ปภาออกจากงานไปทันที สลิลทิพย์ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่ของเธออาจจะเป็นคนปากร้าย อารมณ์ร้อน แต่ถ้าเมื่อไรออกงานแม่ของเธอจะกลัวเรื่องเสียหน้ามากๆ เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่แม่ของตนถึงกับยอมแลกกับชื่อเสียงในสังคม
“ทิพย์ขอโทษคุณป้าแทนคุณแม่ด้วยนะคะ” สลิลทิพย์ยกมือขึ้นไหว้คีตกานต์ด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรจ้ะหนู ป้าไม่โกรธคุณแม่ของหนูหรอก แม่เข้าใจเธอดี” คีตกานต์มองหน้าคณินทร์เหมือนมีเรื่องอยากจะคุยด้วย “ไว้กลับบ้านค่อยคุยกันนะคุณ” คณินทร์รู้ดีว่าภรรยาของเขาอยากจะพูดอะไร
ในอีกมุมหนึ่งด้านล่างของงาน สุทธิภัทรอุ้มทิพย์ปภาลงมาให้พ้นจากหน้างานและผู้คนภายในงาน เขาโยนทิพย์ปภาลงพื้นให้เธอยืน ทิพย์ปภาเซไปกระแทกผนัง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ตาเยิ้ม กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากตัว
“เมายังกับ…” สุทธิภัทรเบื่อหน่ายภรรยาอยู่เรื่องเดียว เวลาเธอดื่มหนักทีไรต้องมีเรื่องให้ปวดหัวทุกที
“ยังกับอะไร พูดกับฉันให้เหมือนอยู่กับฉันบนเตียงด้วย” ทิพย์ปภาเมามายพูดโวยวายจนสุทธิภัทรต้องเอามือปิดปาก เธอแกะมือเขาออกอย่างแรง มือของเธอคว้าจับเข้าที่ใบหน้าของเขา
“สายตา แววตาที่มองฉัน ทำไมไม่มองให้เหมือนตอนมองอีนั่นในงาน” ฤทธิ์ความหึงของผู้หญิงมีไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะผ่านเวลามานานเพียงใด
“ผมก็มองของผมไปเรื่อย คุณคิดมากเอง” สุทธิภัทรเถียงข้างๆ คูๆ
“ฉันจะกลับบ้าน”
“เรื่องของคุณ”
“คุณต้องพาฉันกลับบ้าน ฉันเมาขนาดนี้จะขับรถได้ยังไง”
“ด่าผมได้ขนาดนี้ สร่างเมาแล้วมั้ง” สุทธิภัทรหยิบกุญแจรถในกระเป๋าเสื้อสูทยัดใส่มือทิพย์ปภา
“ปากเก่งขนาดนี้ กร่างขนาดนี้ กลับบ้านแค่นี้ไม่ตายหรอก” สุทธิภัทรพูดจบเดินหัวเสียกลับไปที่งาน ปล่อยให้ทิพย์ปภายืนร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียว
“เออ จะไปอยู่กับชู้ก็ไปเลย ฉันเป็นตายร้ายดียังไงคุณก็รักฉันไม่เท่ามันหรอก” ทิพย์ปภาตะโกนด่าไล่หลัง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น