มะละกาวอล์ก… เดินท่องมรดกโลก (2)

มะละกาวอล์ก… เดินท่องมรดกโลก (2)

โดย : สุวิทย์ เมฆวิบูลย์

Loading

ไม่ได้มีแค่ นิยายออนไลน์ ให้อ่าน ที่ อ่านเอา  แต่เรายังมีเรื่องราวการเดินทางของ สุวิทย์ เมฆวิบูลย์ ชายหนุ่มผู้ที่เชื่อว่า การเดินทางกับการดื่มกิน คือองค์ประกอบสำคัญในการเติมไฟ เพิ่มพลังให้ชีวิต และเขายินดีแบ่งปันขุมพลังนี้กับผู้อ่าน “อ่านเอา” ได้ อ่านออนไลน์ 

…………………………………………..

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เวลาท้องถิ่นมาเลเซียเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง เมื่อคืนนี้ถึงจะไม่มีฝน อากาศตอนหัวค่ำอุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส ก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ แม้เขาอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่าเรา คงอาศัยลมพัดจากชายทะเลตลอดเวลา ในขณะที่เพื่อนใน กทม. ไลน์คุยกันบอกว่าร้อนมาก เกือบ 36 องศา ตื่น 6 โมงเช้ามองออกไปหน้าต่าง ท้องฟ้ายังมืดตื๋อ ในบ้านเราตอนนี้ก็ตี 5 เคยชินความมืดที่มันก็ควรจะเป็นเวลานั้นจริงๆ มาเลเซียปรับเวลาให้ตรงกับฮ่องกงและสิงคโปร์ด้วยเหตุผลด้านตลาดเงินตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เริ่มทำงานสาย 9 โมงเช้า หากพักในย่านกลางเมือง แนะนำให้ใช้เส้นทางเดินเท้ามะละกาตามนี้ ซึ่งปกติเมื่อไปเที่ยวเมืองไหน ก็จะเอาแผนที่ฉบับล่าสุดมาปักหมุด… หาจุดสำคัญของเมือง (landmark) และวัดสเกล จัดระยะทางเป็นเมตร แปลงเป็นนาที แล้วลากเส้นทางคร่าวๆ พร้อมกำหนดเวลาเช็กอินของการเดินเท้าเข้าไปในแต่ละแห่ง แต่ถ้ามียานพาหนะ เช่น รถไฟใต้ดิน รถบัส เรือ ก็ยืด ปรับกันนิดหน่อย

สำหรับมะละกาวอล์กเช้านี้ หลังอาหารเช้าอันอลังการ อิ่มมากๆ คนเยอะ ทุกคนต้องระวังกระเป๋าถือ กล้องถ่ายรูป ห้ามวางไว้บนโต๊ะเด็ดขาด หากไม่มีเพื่อนหรือฝากใครเฝ้าของสัมภาระ มิจฉาชีพรู้ว่าจุดอ่อนของนักท่องเที่ยวมีที่ไหนบ้าง

9 โมงเช้า เริ่มเลย สะพายเป้ หมวก ร่มและแว่นกันแดดแล้ว… ไปขึ้นหอคอยมะละกาเป็นลำดับแรก อยู่ถนนหลักชื่อ Jalan Merdeka เช้าๆ คนยังไม่มากนัก แถวสั้นๆ… ถือโอกาสขึ้นชมวิวมุมสูงๆ หอนี้ไม่ใช่อาคาร เป็นเพียงเสาแกนหลัก ยกกระเช้าขึ้นลง รัศมีไม่เกิน 10 เมตร (โดยประมาณ) นั่งเก้าอี้ในลิฟต์กระเช้าที่กรุกระจกทรงกลม 1 เที่ยวบรรจุคนได้ไม่น่าเกิน 40 คนต่อรอบ ค่อยๆ ขึ้นแล้วหมุนรอบตัว… ช้าๆ ประมาณ 10 นาที ถึงยอดที่ระดับ 110 เมตร จ่ายไป 23 ริงกิต (ราคาซีเนียร์นะ) ถ่ายรูปและดูวิวบ้านเมือง ท่าเรือ ทะเล ช่องแคบ ก็คุ้มสตางค์แล้ว พอลงมาแล้วให้เดินออกไปทางขวามุ่งไป…

ตั้งต้น ‘มะละกาวอล์ก’ ที่ออกแบบไว้… ที่ปากแม่น้ำมะละกา ซึ่งเป็นท่าเรือรบโบราณ ตลอดเส้นทางถนนเดินเลียบริมน้ำชื่อ Jalan Quayside ล้วนเป็นที่สาธารณะ 100% เราสามารถเดินผ่านได้ทุกอาคาร โกดังและบ้านเรือนได้ทั้งสองฝั่ง มองไม่เห็นเสาไฟฟ้าเลย (เช่นเดียวกับทุกเมืองหลักในมาเลเซีย สายไฟฟ้าลงดินหมดแล้ว) ไม่พบเห็นพื้นที่สกปรกรกรุงรังเลย ต้นไม้ยืนต้นปลูกและดูแลรักษาดีมาก ลำต้นโตๆ ขนาด 8 คน 10 คนโอบกันไม่รอบ​ปลูกแบบจัดวางกระจายไปทั่วทุกถนน เต็มเมืองไปหมด แม้อากาศร้อนจัด แต่เมื่อมีร่มเงา มีสีเขียวปกคลุมพื้นดินพื้นถนน ก็คลายร้อนไปได้มาก บางต้นมีเฟิร์น มีมอสขึ้นตามลำต้นและกิ่งก้าน ต้นไม้ใหญ่เรียงรายริมถนน ทั้งต้นมะขามป้อม ฉำฉา ลั่นทม ปาล์ม มะพร้าว หูกระจง

เดินไปก็ฉุกคิด แปลกใจและสงสัย เอ… ทำไมกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา สงขลา พิษณุโลก หรือแม้แต่จังหวัดเล็กๆ น่าน แพร่ ตาก สุโขทัยของเรา จะปลูกต้นไม้คลุมเมืองอย่างเขาไม่ได้หรือ… ข้ออ้างอากาศร้อน มันตาย พื้นที่ริมทางไม่เอื้ออำนวย หรือหาเจ้าภาพไม่ได้ ขาดงบประมาณ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไร้องค์ความรู้ ไม่มีความตั้งใจและการบำรุงรักษา หรือ (โง่) เขลาเบาปัญญา ไม่รู้ว่างานภูมิทัศน์สาธารณะมันเป็นงานของใคร? เศร้าโศกมากนะครับ เมื่อมาเที่ยวเมืองนอก ที่ไม่ไกลจากเราทั้งระยะทาง และความเจริญก้าวหน้า

มองไปอีกฟากถนน Lorong Hang Jebat รูปลักษณ์อาคารมีความหลากหลายด้านสถาปัตยกรรม มีทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา จีนและอังกฤษผสมผสานกัน ดูเผินๆ เหมือนปีนัง ภูเก็ต สงขลา แต่มีจำนวนมากกว่า ใครชอบเล่นกล้องจะสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการกดชัตเตอร์ แนะว่าต้องพกพาวเวอร์แบงก์ 2 ก้อนไปด้วยอย่างน้อย…

แม้แสงแดดจะดูร้อนแรง แต่กลับรู้สึกชิลชิล เดินสบายๆ แวะป้อมปราการเมือง ดูซากกำแพงเมืองเก่า ใกล้สามแยกที่มี ถนน Jalan Gereja มาบรรจบแล้วให้ข้ามไปเดินสลับฝั่งตลาดร้านค้า (ถนน Lorong) บ้าง มีสตรีทอาร์ตหลายๆ จุด สวยเท่แบบฮิปตะวันตก ฉูดฉาดอย่างอินเดียก็มี สีสันอร่อยเหาะของอาหรับและมลายูก็ได้เห็น เดินไปจนสุดทางเกือบ 1 กิโลเมตร ขวามือมีสะพาน มันจะพาเราวนออกมาถนน Jalan Laksamana ใกล้ๆ 5 แยกหัวสะพานนั้น คือโบสถ์ฟรานซิสซาเวียร์ (Church of St.Francis Xavier) ที่มีอายุกว่า 160 ปี รูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิกเป็นหอคอยคู่ทาสีเหลืองอ่อน ไปยืนดู นึกว่ามาอิตาลี ฝรั่งเศส นะครับ

** บันทึกว่าเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1849 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1856 โดยบาทหลวง Farve ชาวฝรั่งเศส เพื่ออุทิศให้กับนักบุญฟรานซิสซาเวียร์

ปกติจะชอบถ่ายรูปและเน้นดูเฉพาะโครงสร้างภายนอก ไม่ได้หลงใหลกับศิลปะภายในโบสถ์หรือวิหารและไม่ได้จดจำเรื่องราวประวัติศาสตร์ของคริสต์จักรเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นดูโอโมที่มิลาน น็อทร์ดามที่ปารีส ที่โคโลญ วิหารเวสต์มินสเตอร์ วิหารเซวิญา คริสตจักรวาติกัน หรือแม้แต่ที่ Sagrada Familia ของเกาดี้ที่บาร์เซโลนา ยังไม่อินเลย แต่ถึงเมืองไหนก็ต้องขอกดเช็กอินทุกโบสถ์ทุกวิหารเสมอไป ไม่มีตกหล่น และท้ายสุดเมื่อยืนดูสักครู่ ดูไป ถ่ายรูป ก็ได้รับความรู้สึกที่ดีกลับบ้านทุกครั้ง..

เดินย้อนมาทางทิศใต้ ผ่านตึกอาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่า (สังเกตสีแดง) สง่างามมากๆ ไม่ถึง 300 เมตรก็ถึงดัตช์สแควร์ ขวามือเดินข้ามแม่น้ำก็ถนนคนเดิน Jonker street หรืออีกชื่อในแผนที่ Jalan Hang Jebat จะซื้อของฝากก็เข้าร้านหัวถนนด้านขวาเลย คนเยอะ ปิดดึก มีกาแฟ ไอศกรีม ขนมขายด้วย ติดแอร์ ขึ้นไปชั้น 2 นั่งแชตไลน์ อัพสเตตัสเฟซบุ๊กสบายๆ

เยื้องๆ กันอีกฝั่งห้องหัวมุมติดกับ Hard Rock Cafe คือร้านข้าวมันไก่ร้านเล็กๆ แบบชาวบ้านร้านตลาดเลย ชื่อ Hoe Kee คนไทยโพสต์เชียร์กันจัง แวะไปดู อ้าว… ไหงอาแปะปิดทั้ง 2 วันเลย อดชิม ต้องไปกลางซอยฝั่งซ้ายมือห่างจากหัวถนน 2-300 เมตร มีร้านข้าวมันไก่ของคนรุ่นหนุ่ม ชื่อ My Chicken Rice ร้านสะอาดสะอ้าน อยู่ในซอยตึก ไม่ติดแอร์แต่ก็ไม่ร้อน ข้าวมันหุงออกมาร้อนๆ หอม ไม่เลี่ยน สับไก่ชิ้นโตๆ เนื้อชุ่มฉ่ำน้ำ ไม่ทุบไม่ตีให้แบบแต๊ดแต๋อย่างบ้านเรา มีน้ำจิ้มแค่น้ำส้มตำพริกแดง ซีอิ๊วขาวและซีอิ๊วดำเท่านั้น ไม่มีพริกขี้หนู กระเทียม ขิงซอย… อย่าไปกินร้านชื่อดังสีส้มแสดๆ Fomosa เจอทั้งปากซอย ท้ายซอย 3-4 ร้าน ห่วยแตก ข้าวดิบ เย็นๆ แถมไม่หอม ไก่สับชิ้นเล็ก ไม่หนา ไม่อิ่มน้ำ สู้ร้าน My Chicken Rice ไม่ได้เลย

 อิ่มแล้วมากินขนมหวาน (Nyonya Cendol) ลอดช่อง ถั่วแดงราดน้ำกะทิข้นๆ กลิ่นหอมๆ แล้วเติมน้ำแข็งปั่นละเอียด สุดยอด หายร้อนเลย คุ้นปากคุ้นกลิ่นเหมือนลอดช่องน้ำกะทิไทยเราเป๊ะเลย มืดโพล้เพล้พอดี ฝนพรำๆ เลยไม่ได้นั่งเรือชมเมืองสองฝั่งน้ำ และก็ไม่คิดจะนั่งรถสามล้อแฟนซีด้วยเพราะหนวกหูเสียงเพลงแขก เพลงฝรั่ง แดนซ์กระจาย ท้องถิ่นน่าจะควบคุมให้ดูสุภาพเรียบร้อย ไม่สร้างมลภาวะเสียงหรือกลับกันยานพาหนะโบราณนี้เป็นจุดขายของมะละกาเขา

คำถามยอดนิยมทุกทริป ควรไปกี่วันดี? คำตอบคือ 2 วัน 2 คืน เหมาะสมที่สุด ขอแนะนำให้มานอนที่ Equatrial Hotel ไม่แพง ห้องพักกว้างและสะอาด วิวเห็นทะเล อาหารเช้าอร่อยและเมนูเยอะมากๆ ทั้งมุสลิม จีน ฝรั่ง ข้าวต้ม ข้าวผัด ขนมปัง เพียบ ในห้องพักก็มีหนังฝรั่งให้ดูแยกหมวดดราม่า แอ็กชัน โรแมนติก แฟมิลี่ การ์ตูน พร้อม CNN BBC NHK ครบถ้วน ผมให้ 5 ดาวเลยสำหรับโลเคชันและคุณภาพของที่พัก อยู่ห่างจากย่านเมืองเก่าในรัศมีไม่ถึง 1 กิโลเมตร

วันนี้เดินทั้งวันวนรอบเมืองร่วม 10 ชั่วโมง เพียงพอแล้วสำหรับมะละกามรดกโลกใกล้บ้านเรา ได้แวะทุกจุดเช็กอิน ไฮไลต์ของเมืองก็ได้ชิม ได้ถ่ายรูปทุกมุม จบครบถ้วนสบายๆ ภายใน 2 วัน  เป็นอีกหนึ่งทริป ที่เก็บความทรงจำได้อย่างประทับใจครับ

Don`t copy text!