ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล (1)

ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล (1)

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

ผมกลับมายืนที่เบื้องหน้าอาคารหลักของหอสมุดแห่งชาติ และตึกวชิราวุธานุสรณ์ อีกครั้งในวันนี้ ภาพอาคารสูงตระหง่านเด่นสง่ากลางแสงตะวัน แม้ว่าจะมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เพิ่มเติมขึ้นแผกไปจากเดิม แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา เมื่อปี พ.ศ. 2529 หรือสามสิบกว่าปีก่อน ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ในครั้งนั้น ผมเป็นตัวแทนทีมนักเรียนระดับมัธยมของโรงเรียนประจำจังหวัด มาประกวดแต่งกลอนสักวาของกองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าสุดท้ายทีมโรงเรียนเราก็ตกรอบแรกไปตามระเบียบ โดยมีกรรมการท่านหนึ่งที่ผมเพิ่งมีโอกาสรู้จักตัวจริงของท่านเป็นครั้งแรกด้วยความตื่นเต้นยินดียิ่ง เพราะเคยประทับใจผลงานและยึดถือท่านเป็นต้นแบบงานเขียนกวีนิพนธ์ รวมถึงผลงานนวนิยายที่ตนเองชื่นชอบมาโดยตลอด

คุณจินตนา ภักดีชายแดน หรือ จินตวีร์ วิวัธน์ นั่นเอง

น่าเสียดาย ที่ในวันนั้นเด็กชายตัวน้อยคนนั้นได้แต่ยืนมองและรับฟัง ท่านให้คำแนะนำในการเขียนกลอนภายหลังการตัดสิน และเดินจากไปพร้อมกรรมการท่านอื่นๆ โดยไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปขอลายเซ็นเป็นที่ระลึก ได้แต่นึกหวังว่าจะมีโอกาสในครั้งต่อไป

และโอกาสที่เคยคาดหวังนั้นก็หมดสิ้นไปในที่สุด เมื่อไม่กี่ปีต่อมาผมก็ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของท่าน พร้อมๆ กับผลงานนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมติดตามอ่านอย่างใจจดจ่อ ลุ้นระทึกไปทุกสัปดาห์ที่นิตยสารฉบับนั้นออกวางแผง ให้พลอยยุติลงไปพร้อมกัน

แต่ความทรงจำเกี่ยวกับนิยายเรื่องนั้นกลับยังแจ่มชัดอยู่จนถึงบัดนี้!

มีนวนิยายไม่กี่เรื่องที่มีอิทธิพลประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของผมโดยไม่เคยลืมเลือน และหนึ่งในจำนวนนั้นคือนิยายที่ไม่มีตอนจบของราชินีนวนิยายสยองขวัญ จินตวีร์ วิวัธน์ ในชื่อเรื่อง เหยื่อยมบาล

เหยื่อยมบาล เป็นนวนิยายหนึ่งในสามเรื่องที่ คุณจินตนา ภักดีชายแดน (ปิ่นเฉลียว) หรือที่แฟนนักอ่านรู้จักกันในนามปากกา จินตวีร์ วิวัธน์ ได้เขียนค้างไว้ก่อนเสียชีวิตลง โดยเขียนขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2529 ถึง 2531 ในนิตยสาร สกุลไทย รายสัปดาห์ (อีกสองเรื่องคือ ภูตาลัย ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น จักราพยาบาท ลงในนิตยสาร กานดา และ สุสานเสน่หา ลงในนิตยสาร ขวัญเรือน)

นวนิยายเรื่องนี้มีความยาวจำนวนทั้งสิ้น 72 ตอน โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่สร้างความฉงนฉงายในปมปริศนาคาใจแก่บรรดาแฟนานุแฟนของท่านมาตราบจนถึงปัจจุบัน รวมถึงตัวของผมเองด้วยเช่นกัน

ภารกิจ “ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล” จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยความตั้งใจของตัวเองที่จะย้อนรอย ย้อนเวลา เพื่อกลับไปอ่านนวนิยายเรื่องนี้อีกครั้งจากที่เคยอ่านเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา แล้วเขียนรีวิวขึ้นผสมกับเศษเสี้ยวของความทรงจำที่เคยประทับใจ แม้ว่า เหยื่อยมบาล จะเป็น “นวนิยายที่ไม่มีตอนจบ” ก็ตามที

เมื่อมีโอกาส จึงได้ปรึกษากับ คุณหมอภาคภูมิ จุลภูมิพินิจ ผู้เป็นแฟนคลับ คุณจินตวีร์ วิวัธน์ ตัวยง และมีต้นฉบับ สกุลไทย ฉบับ 1165 ปีที่ 32 ประจำวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 ซึ่งเป็นปฐมฤกษ์ที่เหยื่อยมบาล เริ่มต้นบทแรกขึ้น

ผมจึงใช้ข้อมูลดังกล่าว สำหรับภารกิจเริ่มต้นการเดินทาง “ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล” เพื่ออ่านต้นฉบับทั้ง 72 ตอนนี้ให้สำเร็จ และรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเยาว์อีกครั้งหนึ่ง ณ หอสมุดแห่งชาติ สถานที่ซึ่งผมเองเคยมีโอกาสพบกับท่านเป็นครั้งแรก

นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้พบต้นฉบับครบทั้ง 72 ตอน ครบถ้วน และภายในห้วงเวลาสั้นๆ ของวันนั้นเอง ก็ได้มีโอกาส ‘ดำดิ่ง’ ลงสู่เหตุการณ์ลุ้นระทึกขวัญ ในแบบ จินตวีร์ วิวัธน์ ที่เคยประทับใจมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง

จินตวีร์ เริ่มต้นบทแรกของ เหยื่อยมบาล ด้วยชื่อบทว่า ‘เหตุร้ายกลางกรุง’

ณ เวลา 17.35 นาฬิกา หญิงสาวสวยผู้หนึ่งกำลังเดินทางเพียงลำพัง ท่ามกลางผู้สัญจรผ่านไปมา โดยไม่รู้สักนิดว่าถูกติดตามโดยชายผู้หนึ่งที่สะกดรอยตามมาจากด้านหลังและชนเข้ากับหญิงสาวเข้าอย่างจังในจังหวะหนึ่ง

การชนเพียงแค่ครั้งเดียว ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน

หล่อนหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกตรึง… เป็นการหยุดอยู่ในท่าเดิมที่ถูกชนนั่นเอง ราวกับว่าการชนครั้งนี้ส่งผลให้กลายเป็นอัมพาตเฉียบพลันอย่างน่าพิศวง ร่างแข็งขึงค่อยๆ เอียงซุนไปข้างหน้าแล้วล้มฟาดลงเต็มแรง เมื่อนั้น ผู้สัญจรผ่านไปมาต่างตกใจ ฮือกันเข้าห้อมล้อมร่างงามที่นอนแน่นิ่งในอาหารแข็งเกร็งตลอดตัว

แผ่นหลังของหล่อนเป็นเป้าแห่งความตาย มีวัตถุหนึ่ง… ขาวมันเป็นเงาวับเสียบอยู่ พร้อมกับบัตรที่เขียนไว้ว่า ‘ดร.ยมบาล’

นี่คือปฐมบทการฆาตกรรมสยองกลางกรุง ที่มีเพียงนามบัตรของฆาตกร ‘ดร.ยมบาล’ ทิ้งเอาไว้เป็นปมปริศนาเท่านั้น

เรื่องราวถัดจากนั้น ตัดฉากมายังสองเพื่อนสาวแสนสวย ยุพาพักตร์ พาณิชพิชัย หรือเพิร์ล ดาวสังคมสุดเปรี้ยวและเป็นไฮโซโก้หรู กับจิตรกรสาวพื่อนสนิท มนสา ทิพยวัตร ผู้มีใบหน้าหวานแอร่ม ท่าทีเงียบขรึมแตกต่างจากเพื่อนสาว

ในเวลาเดียวกัน ยุพาพักตร์หรือเพิร์ลเองก็เคยมีประวัติหักอกเทวัน เด็กหนุ่มที่มาหลงรักอย่างหัวปักหัวปำไปหมาดๆ จนอีกฝ่ายเกือบเสียผู้เสียคน และพ่อแม่ต้องส่งเทวันไปเรียนต่างประเทศก่อนจะเงียบหายไปจากวงสังคม และยุพาพักตร์ก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ในเมื่อชีวิตของหล่อนมีหนุ่มๆเข้ามาเกี่ยวพันมากหน้าหลายตา จนจำมิหวาดไหว

หากแต่วันนั้น หล่อนบังเอิญได้รับกล่องของขวัญปริศนาพอดี ด้วยความสงสัยจึงแกะออกดูพร้อมกับมนสา ก่อนจะพบว่าภายในกล่องปริศนากลับเป็นหัวคนขนาดย่อส่วนที่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าขยะแขยงราวกับศีรษะมนุษย์ที่ถูกตัดมาสดๆ รวมถึงริมฝีปากก็ถูกเย็บตรึงติดกันทั้งข้างล่างข้างบนด้วยเชือกหนัง เป็นใบหน้าที่เหมือนจริงราวกับมนุษย์!

ยุพาพักตร์หวีดร้องด้วยความตระหนกก่อนจะเหวี่ยงกล่องนั้นกลิ้งไปตกอยู่ข้างเท้ามนสาพอดี หล่อนจึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่ติดกับปลายเชือกหนัง ร้อยเย็บปากของกระโหลกสยอง

มันเป็นนามบัตรที่เขียนติดไว้เพียงคำเดียวว่า ดร.ยมบาล

เหตุการณ์ระทึกขวัญเหมือนการข่มขู่ครั้งนี้เอง ทำให้สองสาวนึกไปถึงความหึงหวงจากชายที่เคยถูก ยุพาพักตร์หักอกมาก่อน หล่อนปรึกษานักสืบสัญชัยและเวโรจน์ ซึ่งต่างก็สันนิษฐานว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้อาจจะเป็น ดอกเตอร์มหิทธิ์ สัททูลประยาต ดอกเตอร์ทางกีฎวิทยา ญาติของมนสาที่เคยมาติดพันยุพาพักตร์มาก่อน

ดอกเตอร์มหิทธิ์แม้จะมีภูมิรู้สูงส่งในระดับปริญญาเอกก็จริง แต่รูปร่างหน้าตาก็ไมได้หล่อเหลาหรือมีเสน่ห์ใดๆ ประกอบกับนิสัยพูดน้อยยิ้มยากร่วมด้วย ซึ่งอาจจะสร้างความสนใจแก่ยุพาพักตร์แค่ในตอนแรก เท่านั้น และต่อมาด้วยพฤติกรรมค่อนข้างเก็บตัว โดดเดี่ยว ทำให้หล่อนหมดความสนใจไปในที่สุด

ลักษณะของเขาเหมือนชายสติเฟื่อง และเรียนจบมาจากเมืองนอก ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะหัวมนุษย์ย่อส่วนที่ถูกส่งมาข่มขวัญยุพาพักตร์ สัญชัยคิดว่าของสิ่งนี้ทำมาจากฝีมือของพวกอินเดียนแดงแถบลุ่มน้ำแอมะซอนอย่าง ‘แซนซ่า’ (Tsantsa) ที่ใช้หัวกะโหลกคนตายโหง มาให้หมอผีประจำเผ่าทำพิธีย่อส่วนเก็บเป็นที่ระลึก ซึ่งคนที่จะทำวัสดุแบบนี้ขึ้นมาได้ก็น่าจะมีความรู้ในทางวิทยาศาสตร์มาในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานใดชัดเจนที่จะกล่าวหามหิทธิ์ได้เต็มปาก

มนสาเองตอนนี้เป็นอาร์ทิสต์ที่วาดรูปประกอบให้กับนิตยสาร ไผทสาส์น ของ ไผท สาส์นพิสุทธิกุล เป็นเจ้าของ ในขณะที่คุณสาโรจน์ พ่อของเธอ ก็เป็นข้าราชการระดับรองอธิบดีและไปดูงานต่างประเทศกับมารดา ช่วงนี้หญิงสาวจึงอยู่บ้านเพียงลำพังในซอยเปลี่ยว ซ้ำรถที่ใช้ก็เสียจนต้องพึ่งพารถแท็กซี่อยู่เป็นประจำ คืนนี้หล่อนเรียกแท็กซี่ไปส่งยังโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงของ ไผทสาส์น โดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่า กำลังมีเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นกับสตรีเคราะห์ร้ายอีกผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมซอยเดียวกับหล่อนเช่นกัน

เวลาใกล้ทุ่ม ไม่ใช่ค่ำมืดจนน่ากลัว หล่อนกำลังเดินบนไหล่ทางเพื่อมุ่งสู่ตัวบ้านที่อยู่ข้างหน้าโน้น เหลือระยะทางอีกเพียง 200 เมตร ส้นรองเท้าสูงเรียวของหล่อนก็เหยียบลงบนดินแฉะไหล่ทางจนจมลึก หญิงสาวต้องยกขึ้นดึงเป็นพัลวัน ก็พอดีกับรถเก๋งติดฟิล์มมืดทึบแล่นชะลอมาจอดลงเคียงข้าง ประตูรถเปิดออก ชายคนหนึ่งก้าวลงมา…

หญิงสาวหันไปมอง แต่หล่อนไม่ทันเห็นอะไรมากนัก เพราะชายร่างใหญ่กำยำคนนั้น ปราดเข้าประชิดตัวรวดเร็ว มือที่ถือผ้าขนหนูเตรียมพร้อมไว้ โปะเข้าที่ใบหน้าผุดผาดถนัดถนี่ ในขณะที่แขนล่ำสันโอบแผ่นหลังหล่อนเข้าแนบชิดตัวแน่นเหมือนปลอกเหล็ก

สาวเคราะห์ร้ายดิ้นรนสองสามครั้งเท่านั้น ร่างของหล่อนก็อ่อนระทวย นาทีต่อมาการเคลื่อนไหวทุกท่าก็สิ้นสุดลง…

หล่อนถูกผลักเข้าไปทางประตูหลังรถซึ่งเปิดรออยู่ โดยใครบางคนที่นั่งดูอยู่ตรงเบาะหลังอย่างเยือกเย็น ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน

ด้วยฝีมือของ ดร.ยมบาล!!

ในทีมกองบรรณาธิการที่ มนสา ทิพยวัตร ทำงานอยู่นั้น มี วิญญู พรหมธาดาพงศ์ ชายหนุ่มโสดเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ ซึ่งในวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงของสำนักพิมพ์ที่โรงแรมหรู มนสาจึงมีโอกาสพบกับสุรีพร สาวใหญ่พราวเสน่ห์ที่วิญญูกำลังหลงใหลได้ปลื้มอยู่ หากแต่หล่อนสังเกตว่าสุรีพรนั้นหว่านเสน่ห์ให้กับชายหนุ่มทุกคนในงานเลี้ยงหาได้เฉพาะวิญญูคนเดียวไม่ นอกจากนี้ หล่อนยังมีโอกาสรู้จักกับคนในวงการหลายคน อย่าง คุณอุมา เสวนาสัย ที่เป็นเจ้าของค่ายละครโทรทัศน์ ผู้กองไชยันต์ เพื่อนกับไพทูรย์ ทายาทของไผทเจ้าของสำนักพิมพ์ ที่มีท่าทีสนใจมนสาอย่างเห็นได้ชัด รวมถึง วรากร ไกวัลวิจิตร นักแสดงหนุ่มรูปหล่อ ที่อุมากำลังปั้นให้เป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต และท้ายที่สุด คือบุรุษผู้ที่มาในงานเลี้ยงคืนนั้นก็คือ…

เขายืนอยู่อยู่กึ่งกลางท่างเข้า ความกำยำล่ำสันของเรือนร่างใหญ่โตนั้น ข่มผู้ชายอื่นในห้องให้ดูเล็กไปถนัด กล้ามเนื้อที่แผงอกอันกว้างและหนาดันเสื้อยืดชั้นดีที่สวมออกมาให้เห็นเป็นมัดๆ ทั้งที่อายุอานามของเขาดูจะมากกว่าทุกคนในห้องคือราวหกสิบปี

ใบหน้ากร้านกระด้างและเส้นผมเป็นสีเท่ไปทั้งหัว บ่งถึงวัยอันสูงนั้น

“คุณเมศร์ไงล่ะ”

คำตอบของไพฑูรย์ไม่ให้ความกระจ่างใดๆเลย และทุกคนก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยจนวิญญูต้องอธิบายเบาๆ ให้กับมนสาที่อยู่ใกล้ๆ

“คุณเมศร์เป็นคนสนิทของศาสตราจารย์อัพภันตร์ นายทุนคนใหม่ของ ไผทสาส์น เพราะขายกิจการสำนักพิมพ์ให้กับศาสตราจารย์อัพภันตร์หมดแล้ว วันนี้ศาสตราจารย์คงมาร่วมงานไม่ได้ ถึงได้ส่งคนสนิทมาแทน…”

และคืนนั้นเอง มนสาก็เพิ่งรู้ว่า ไผทสาส์น ที่ตนทำงานอยู่ กำลังถูกเปลี่ยนมือไปเป็นสำนักพิมพ์ อาลัษณ์สยาม ของ ศาสตราจารย์อัพภันตร์ อาลักษณากร แทน

แค่ได้ยินชื่อของเขาแม้จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตา หากหล่อนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างประหลาด

นอกจากนี้ มนสายังมีโอกาสได้รู้จักกับนักแปลหนุ่มนามปากกา บ.ภิษชา หรือ อาจารย์ภิษชา บุณยเศรณี ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าเรียวขาวสะอาดคมสัน เจ้าของสำนวนภาษาที่หล่อนชื่นชอบมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักตัวจริง ส่วนภิษชาเองก็ประทับใจหญิงสาวตั้งแต่แรกเช่นกัน

มนสามีโอกาสแวะไปหาดอกเตอร์มหิทธิ์ ญาติหนุ่มใหญ่ของเธอในวันหนึ่ง หล่อนเห็นเขาเลี้ยงแมลงสายพันธุ์ต่างๆ เอาไว้มากมายตามประสานักกีฎวิทยา โดยเฉพาะแมลงเซ็ตสึ (Tsetse fly) ที่เป็นแมลงดูดเลือดวัวควายในแอฟริกาและปล่อยเชื้อโรคเหงาหลับให้ระบาด นอกจากนี้ยังพบว่า เขาเลี้ยงแมลง ‘สแครับ’ ซึ่งเป็นแมลงโบราณของชาวไอยคุปต์เอาไว้อีกด้วย แต่ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มนสาไม่อาจล่วงรู้

เวลานี้ ดอกเตอร์มหิทธิ์กำลังทดลองบางอย่างกับแมลง โดยใช้ศีรษะอาบยาของมัมมี่ไอยคุปต์เป็นอาหารสำหรับใช้เลี้ยงแมลงชนิดพิเศษ

ไม่มีใครรู้ว่ามีแมลงชนิดนี้อยู่ในโลก… เพราะที่อยู่ของมันไม่มีใครพบเห็น มันฝังตัวเองอยู่ในซากศพเก่าแก่โบราณ เกิดและกินอยู่คู่กับซากเหล่านี้ตลอดชีวิต เขาเลี้ยงมัน ฟูมฟักมัน ด้วยวิธีการทดลองอันวิปริต จนบังเกิดเป็นแมลงมหันตภัยชนิดใหม่ขึ้นมา ที่เปลี่ยนจากการกินเนื้อศพมาเป็นการกินเนื้อมนุษย์!

มันมีลักษณะเหมือนแมลงวัน สีเข้มจัดจนดำเป็นมัน ทว่าหน้าตานั้นเหมือนย่อส่วนเอากะโหลกผีเข้าไปประกอบ นัยน์ตาสีทับทิมคู่จิ๋ว และปากยื่นยาวเหมือนปากแตรสำหรับใช้ดูดกินเนื้อโดยเฉพาะ

มหิทธิ์ ได้ตั้งชื่อพวกมันเอาไว้แล้วว่า

มหิทธิเทรา!!

 

Don`t copy text!