
ค้นหาความรักและรากเหง้าในสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านซีรีส์แฟนตาซีเดินทางข้ามกาลเวลา ‘มงกุฎดอกไม้ไหว’ ของ ‘พงศกร’
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
‘ร้านเจ้าสาวต้องสาป’ ที่คุณป้าลึกลับเป็นเจ้าของ พร้อมเครื่องหัวงดงามจากหลากประเทศหลายวัฒนธรรม พานักอ่านมาถึงเครื่องหัวชิ้นที่สามแล้ว คราวนี้ ‘พงศกร’ คุณหมอโอ๊ต-พงศกร จินดาวัฒนะ พาเรามาทำความรู้จักกับ มงกุฎดอกไม้ไหว เครื่องหัวของเจ้าสาวเปอรานากัน พร้อมชวนสำรวจดินแดนพหุวัฒนธรรมที่มะละกาทั้งในยุคอดีตและปัจจุบัน ผ่านการเดินทางของ ‘คามิลล่า’ นางเอกของเรื่อง ผู้มุ่งมั่นใช้โอกาสสุดมหัศจรรย์ทำภารกิจเพื่อครอบครัว
ด้วยฝีไม้ลายมือของคุณหมอโอ๊ต ทำให้นิยายโรแมนติกแฟนตาซีเรื่องนี้ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวทั้งความรัก วัฒนธรรม จินตนาการเหนือจริงได้อย่างลื่นไหลและลงตัว จึงทำให้การเดินทางผ่านตัวหนังสือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การอ่าน แต่เหมือนเราได้แพ็คกระเป๋า ก้าวเข้าไปสัมผัสชีวิตของคามิลล่า และเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวเปอรานากันอย่างแท้จริง
ความรักคือเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษย์
ซีรีส์ ‘เจ้าสาวต้องสาป’ เกิดขึ้นจากคำถามง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ ‘ความรัก’ ที่รายล้อมอยู่ในชีวิตของคุณหมอโอ๊ต จนกลายเป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดผ่านมุมมองของผู้หญิงสามคน ที่ต่างตั้งคำถามกับความรักในแบบของตัวเอง
“ด้วยผมเองก็อายุ 56 ปีแล้วครับ ได้เจอเพื่อน พี่ น้อง หลายคนที่ผ่านเรื่องราวความรักในรูปแบบต่าง ๆ กัน บางคนสมหวัง บางคนผิดหวัง แต่เกือบทุกคนล้วนมีคำถามเกี่ยวกับความรัก ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘ความรัก’ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของมนุษยชาติ และสุดท้ายคนเราก็วนเวียนอยู่ในเรื่องของ ‘รัก โลภ โกรธ หลง’ นี่แหละ”
จากการได้ฟังและได้เห็นความรักในหลากหลายรูปแบบ คุณหมอโอ๊ตรู้สึกว่าความรักยังมีแง่มุมอีกมากที่สามารถขยายเป็นเรื่องเล่าได้ เขาเล่าว่าหลายคนที่รู้จักต่างพยายามตามหาความรักแท้ในแบบของตัวเอง
“ผมมีเพื่อนและคนรู้จักหลายคนครับ ที่พยายามไขว่คว้าหาความรักแท้ในชีวิต แต่สุดท้ายความสุขจริง ๆ ของพวกเขากลับอยู่ใกล้ตัวนี่เอง เพียงแต่พวกเขาไม่เคยมองเห็น นั่นเลยกลายมาเป็นที่มาของเรื่องแรก ‘พรางพัสตรา’ ในตอนนี้ ‘ลดานิดา’ คือหญิงสาวที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้พบความรักที่แท้จริง แต่บางทีสิ่งที่เธอแสวงหาอาจไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่คิด เพียงแค่เธอ ‘เคยมองเห็นมันหรือเปล่า’ ”
ต่อมาคือเรื่อง ‘หงสาพิศุทธิ์’ ซึ่งสะท้อนคำถามอีกแบบหนึ่งของความรัก ผ่านชีวิตของ ‘มุกจันทร์’
“มุกจันทร์เป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยได้สัมผัสความรักของพ่อแม่เลยครับ หรือบางคนที่โตมาในครอบครัวก็อาจรู้จักความรักในอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับเธอ ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเราคืออะไรกันแน่ นี่คือคำถามที่นางเอกคนนี้ต้องหาคำตอบตลอดเวลา
“ส่วนเรื่องสุดท้าย ‘มงกุฎดอกไม้ไหว’ ถ่ายทอดเรื่องของ ‘คามิลล่า’ หญิงสาวชาวเปอรานากันจากมะละกา ที่เติบโตมากับคำบอกเล่าของแม่ว่าครอบครัวของเธอเคยมั่งคั่งกว่านี้ หากไม่ถูกอีกตระกูลหนึ่งแย่งชิงทุกอย่างไป
“คามิลล่าเลยโตมาด้วยความรู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสได้ย้อนเวลา เธออยากแก้ไขอดีตครับ อยากทวงคืนสิ่งที่ควรเป็นของตระกูล แล้วถ้าเธอย้อนเวลาได้จริง เธอจะเลือกอะไร ระหว่าง ‘ความรักของตัวเอง’ กับ ‘ความรักต่อชาติตระกูล’ นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้เธอได้เจอกับร้านเจ้าสาวต้องสาป และมงกุฎดอกไม้ไหว ซึ่งเป็นเครื่องประดับศีรษะของเจ้าสาวเปอรานากันครับ”
คุณหมอโอ๊ตได้กล่าวถึงแนวคิดของซีรีส์ทั้งสามเรื่องว่า ทั้งหมดล้วนเริ่มต้นจากจุดเดียวกันคือความรัก เพียงแต่แต่ละเรื่องจะพาผู้ชมไปสำรวจความรักในมุมที่แตกต่างกัน ผ่านเรื่องราวและการเติบโตของผู้หญิงสามคน ซึ่งต่างสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน ชาติพันธุ์ใด หรือผ่านยุคสมัยใดไปก็ตาม ความรักก็ยังคงเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ขับเคลื่อนชีวิตของมนุษย์อยู่เสมอ
สะท้อนความต้องการในใจผ่านร้านเจ้าสาวต้องสาป
ร้านเจ้าสาวต้องสาปคือแกนกลางที่เชื่อมโยงทั้งสามเรื่องเข้าด้วยกัน และยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สะท้อนความหมายเชิงลึกของซีรีส์ชุดนี้
“ร้านเจ้าสาวต้องสาปเป็นเหมือนกับ ‘ความต้องการในใจของคน’ ครับ เป็นสิ่งที่นามธรรมมาก ๆ คล้ายกับแรงปรารถนาหรือคำถามบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเรา ส่วนใหญ่แล้ว จิตใต้สำนึกหรืออินเนอร์ของคนเรานี่แหละ จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรากระทำในสิ่งต่างๆ โดยที่บางครั้งเราเองก็อาจไม่รู้ตัว”
คุณหมอโอ๊ตเล่าถึงความหมายของร้านลึกลับแห่งนี้ให้ฟังว่า
“ผมไม่ได้อยากเขียนซีรีส์นี้ให้เป็นนิยายแนวจิตวิทยาหนักๆ จึงสร้างร้านลึกลับแห่งนี้ขึ้นมาแทน เพื่อให้เป็นพื้นที่กึ่งเหนือจริงที่มอบ ‘ของบางอย่าง’ ให้หญิงสาวแต่ละคน สิ่งที่จะนำพาพวกเธอไปพบคำตอบของคำถามในใจ คนแรกลดานิดาได้รับ เวล หรือผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแบบตะวันตก คนที่สองมุกจันทร์ได้รับ มงกุฎหงส์ ซึ่งใช้กับชุดเจ้าสาวแบบจีน และคนสุดท้ายคามิลล่าได้รับ มงกุฎดอกไม้ไหว เครื่องประดับศีรษะของเจ้าสาวชาวเปอรานากัน
เครื่องหัวทั้งสามชิ้นนี้ เป็นของที่เจ้าของร้านมอบให้เพื่อพาพวกเธอไปสู่คำตอบที่อยู่ในใจมาตลอดครับ มันคือจุดเชื่อมโยงระหว่างทั้งสามเรื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วจะอ่านเรื่องไหนก่อนก็ได้ เพราะแต่ละตอนมีเรื่องราวของตัวเอง แต่ถ้าอ่านตามลำดับชื่อที่คล้องกันก็จะเป็น พรางพัสตรา หงสาพิศุทธิ์ มงกุฎดอกไม้ไหว”
เมื่อถามถึงความหมายของเครื่องหัวแต่ละชิ้น ว่าสื่อถึงแนวคิดหรือธีมของความรักในแบบใด คุณหมอโอ๊ตอธิบายต่อไปว่า
“ผู้หญิงเวลาเป็นเจ้าสาว เครื่องแต่งกายของเธอต้องเป็นอะไรที่ดีที่สุด เพื่อทำให้วันนั้นเป็นวันที่งดงามที่สุดของชีวิตครับ ซึ่งในแต่ละวัฒนธรรมก็จะมีเครื่องประดับศีรษะที่แตกต่างกัน ทั้งหมดสะท้อนแนวคิดเรื่องความรักในแบบเฉพาะของแต่ละคนและแต่ละวัฒนธรรม
เวล หรือผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของชาวตะวันตก มีประวัติยาวนาน หากสังเกตจะเห็นว่าบางแบบคลุมใบหน้าเจ้าสาวจนแทบมองไม่เห็น นั่นคือแรงบันดาลใจของเครื่องหัวในเรื่อง พรางพัสตรา เวลจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งครับ คล้าย ‘เส้นผมบังภูเขา’ ที่ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งสำคัญตรงหน้า
ลดานิดาเองก็เป็นแบบนั้น เธอพยายามตามหาความรักที่แท้จริง แต่บางทีสิ่งที่เธอหามันก็อยู่แค่ใกล้ตัวนี่เอง เพียงแต่เธอมองข้ามไป
ส่วน มงกุฎหงส์ ที่มอบให้มุกจันทร์ใน หงสาพิศุทธิ์ เป็นเครื่องประดับที่มักเห็นในชุดแต่งงานจีน แสดงถึงความสง่างาม ความมั่นคง และพลังใจของผู้หญิง เพราะหลังจากแต่งงานพวกเธอต้องออกไปสร้างครอบครัว ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความอ่อนโยนในตัวด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องราวของมุกจันทร์
ขณะที่ มงกุฎดอกไม้ไหว ของคามิลล่าใน มงกุฎดอกไม้ไหว มาจากวัฒนธรรมเปอรานากัน ซึ่งมีความหมายอบอุ่นและงดงาม เพราะมงกุฎนี้ในอดีตจะมีส่วนที่เป็นก้านโลหะเล็กๆ ประดับดอกไม้ไว้ที่ปลาย เวลาที่เจ้าสาวเดิน ดอกไม้จะสั่นไหวไปมาตามจังหวะ จนเป็นที่มาของชื่อว่า มงกุฎดอกไม้ไหว
ในสมัยก่อน ญาติผู้ใหญ่จะปักปิ่นดอกไม้ไหวลงบนมงกุฎของเจ้าสาว เพื่อเป็นการอวยพรและแสดงถึงความรักของครอบครัวที่ส่งต่อให้ลูกหลานในวันที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ และเป็นสัญลักษณ์ที่สอดคล้องกับเส้นทางของคามิลล่า หญิงสาวที่เลือกทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว อยากให้ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง แต่ในความพยายามนั้น เธอก็ต้องแลกด้วยการเสียสละตัวเองอย่างมาก”
เรียกได้ว่า เครื่องหัวแต่ละแบบที่คุณหมอโอ๊ตเขียนขึ้นมาล้วนสอดคล้องกับเรื่องราวการดำเนินชีวิตของผู้หญิงทั้งสามคนเลยทีเดียว
คามิลล่า ช่างซ่อมจิวเวลรี และการเดินทางข้ามเวลา
ในเรื่อง มงกุฎดอกไม้ไหว นางเอกของเราเป็นช่างซ่อมจิวเวลรี เราจึงขอถามถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบอาชีพของเธอในเรื่องนี้
“เวลาเราเขียนนิยาย ตัวละครต้องมีอาชีพครับ การที่จะให้ตัวละครเอกมีอาชีพอะไร ควรเป็นอาชีพที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ มงกุฎดอกไม้ไหว ซึ่งเป็นของเก่าและมีความชำรุด นางเอกต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับมงกุฎเพื่อแก้ไขหรือทำประโยชน์บางอย่าง ดังนั้นการให้เธอมีความรู้เรื่องการซ่อมแซมจิวเวลรีจึงตอบโจทย์ทั้งตัวเรื่องและนักเขียนครับ”
ส่วนคามิลล่าถูกออกแบบให้เป็น ชาวเปอรานากันจากมะละกา ซึ่งเป็นพหุสังคมที่อยู่ร่วมกันระหว่างคนจีน คนมาเลเซีย และคนฝรั่ง ซึ่งคุณหมอโอ๊ตได้สร้างคาแร็กเตอร์ของเธอให้สอดคล้องกับสิ่งที่เธอเป็นได้อย่างชัดเจน
“เราต้องออกแบบตัวละครให้สะท้อนความเป็นพหุวัฒนธรรมครับ คามิลล่ามีความอ่อนหวานเหมือนผู้หญิงเอเชีย แต่ก็มีความหัวก้าวหน้าแบบฝรั่ง และมีความอดทนไม่ยอมแพ้แบบคนจีน นี่คือคุณสมบัติเด่นของผู้หญิงเปอรานากัน”
เมื่อถามต่อถึงเรื่องการย้อนเวลาและการแก้ไขชะตาของครอบครัว ว่าสะท้อนแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อชาติตระกูลของคามิลล่าอย่างไร คุณหมอโอ๊ตก็ตอบอย่างชัดเจน
“นางเอกรู้สึกว่าตระกูลของเธอโดนโกงไปครับ สิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่ของพวกเขา และวันนี้คนที่โกงไปกลับมีความสุขร่ำรวย ในขณะที่ครอบครัวของเธออยู่ในความลำบาก เมื่อนางเอกได้รับโอกาสให้ย้อนเวลา เธอจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเป็นเรา เราจะแก้ไขมันไหม นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของเธอตลอด แต่สุดท้าย เธอตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างความถูกต้องครับ”
การเป็น ช่างซ่อมจิวเวลรี และการ ย้อนเวลา จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คามิลล่าค้นพบคำตอบทั้งเรื่องความรักและความรับผิดชอบต่อครอบครัว
“สิ่งที่คามิลล่าทำคือพยายามคืนความสุขและความมั่นคงให้ครอบครัว แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากและการเสียสละตัวเอง แต่สิ่งนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าความรักของครอบครัวกับความรักของตัวเอง สามารถอยู่ร่วมกันได้ในแบบที่มีความหมายและสมดุลครับ”
การผสมผสานแฟนตาซีและประวัติศาสตร์
ในนิยายเรื่องนี้ คุณหมอโอ๊ตได้ผสมผสานหลายสิ่งเข้าด้วยกัน ทั้งความรัก ประวัติศาสตร์ในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๕ และช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
“ผมมองว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านของศตวรรษที่ ๒๔ มาสู่ศตวรรษที่ ๒๕ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในสยาม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อีกไม่กี่ปีต่อมาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเอเชียอาคเนย์ทั้งหมด
ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และมะละกาในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคค่อนข้างมากครับ
ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับการย้อนอดีตและตระกูลที่ทำธุรกิจสืบทอดมา การแตะเรื่องประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงใช้มุมประวัติศาสตร์มาช่วยสนับสนุนให้เรื่องเดินไปข้างหน้า สนุกขึ้น และยังได้รู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาเลเซียก็เริ่มเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นประเทศอิสรภาพ เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้จึงอยู่ในชีวิตของตัวละครแต่ละรุ่นครับ”
เมื่อถามต่อว่า การผสมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์กับแฟนตาซีช่วยเสริมธีมเรื่องรักตัวเองและรักชาติตระกูลอย่างไร
“ผมเชื่อว่าเรื่องนี้สะท้อนตัวตนของคนทุกคนครับ ในช่วงสงครามโลก คนไทยก็รักประเทศ คนที่มาเลเซีย คนที่ปีนัง หรือมะละกา ก็รักเชื้อชาติและพื้นถิ่นของตัวเอง เหตุการณ์เหล่านี้จะเล่าผ่านเรื่องราวของ ‘ตระกูลตัน’ และสิ่งที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ของพระเอกทำ
ส่วนตัวนางเอก เป็นเรื่องของการทวงความยุติธรรมให้ตระกูลตัวเอง มันไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วจะเข้าใจว่าแต่ละคนที่ทำแบบนี้มีเป้าหมายหรือมิชชั่นในชีวิตอย่างไร”
การเล่าเรื่องผสมระหว่างแฟนตาซี ประวัติศาสตร์ และโรแมนติก ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับคุณหมอโอ๊ต เพราะตัวละครในเรื่องมีทั้งชุดอดีตและชุดปัจจุบัน แต่ละชุดมีวิธีคิด การดำเนินชีวิต และภาษาพูดที่แตกต่างกัน
“ความยากอย่างแรกคือเรื่องของตัวละครในแต่ละช่วงเวลา ความยากอย่างที่สองคือทำยังไงให้ตัวละครรู้สึก เช่น ตัวละครในอดีตต้องสงสัยว่าทำไมนางเอกดูแปลก ในขณะที่นางเอกเองก็ต้องเรียนรู้เรื่องราวของอดีต นี่คือกลวิธีการเขียนที่ต้องเห็นภาพอดีตให้ชัด และทำให้คนอ่านเอาใจช่วยนางเอกไปด้วยครับ”
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
แมสเสจสำคัญที่คุณหมอโอ๊ตอยากให้ผู้อ่านได้รับจากเรื่องนี้คือการทำวันนี้ให้เต็มที่ “ผมคิดว่าในชีวิตจริง เราไม่ได้มีโอกาสย้อนอดีตเหมือนนางเอกครับ สิ่งที่ผมอยากบอกคนอ่านคือ ให้ทุกคนทำวันนี้ให้ดีที่สุด เมื่อมันผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ถ้าเราได้ตัดสินใจแล้ว ทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ก็อย่าเสียใจถ้าผลลัพธ์ไม่เหมือนที่คาดหวังครับ สิ่งสำคัญคือมั่นใจในสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว ให้เต็มที่กับปัจจุบันเท่านั้นเอง”
เกี่ยวกับร้านเจ้าสาวสุดลึกลับ เราถามคุณหมอโอ๊ตปิดท้ายว่าถ้ามีโอกาสเลือกเครื่องหัวได้สักชิ้นจะเลือกอะไร และอยากให้เปลี่ยนแปลงอะไรไหม คุณหมอกลับปฎิเสธและพูดถึงความสุขของตัวเองในวันนี้ว่า
“ผมโอเคกับตัวเองในวันนี้แล้วครับ ชีวิตมีทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งทำถูกทำผิด ทุกสิ่งหล่อหลอมให้เราเป็นตัวเราในตอนนี้ ถ้าถามว่าผมอยากได้อะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงไหม ก็ตอบเลยว่าไม่ครับ ผมทำทุกอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้แล้ว จึงรู้สึกโอเคและไม่เลือกอะไรเลยครับ”