Irrawaddy เกลียวกระซิบ บทที่ 5 : โยดะยาเปียงทูนจี
โดย : พงศกร
Irrawaddy เกลียวกระซิบ โดย พงศกร เรื่องราวของมินมิน เด็กสาวผู้มีสายเลือดโยเดียกับเหตุการณ์อันสุดแสนมหัศจรรย์ที่กาลเวลาพาเธอย้อนกลับไปยังอดีต ที่นั่นเธอได้พบกับเจ้าหญิงดารา…เจ้าหญิงชาวโยเดีย ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างความขัดแย้งของเชลยศึกชาวโยเดีย และเจ้าชายสายเลือดอังวะ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์
————————————————
รถคันยาวลัดเลาะเลียบกำแพงเก่าไปตามตรอกซอกซอย หลบหลีกจักรยานและมอเตอร์ไซค์ซึ่งเป็นพาหนะที่ผู้คนส่วนมากใช้สัญจรไปมาด้วยความระมัดระวัง มอเตอร์ไซค์บางคันมีเด็กตัวเล็กๆ นั่งซ้อนกันถึงสี่คน เบียดเสียดจนน่าตกใจ หากทุกคนกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มและหัวเราะให้แก่กันอย่างขบขัน
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตอนหลัง รู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กน้อยเหล่านั้นที่มองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ว่าเจ้าของรถหรูนั้นคือผู้ใดกันแน่ เพราะไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่จะมีรถหรูผ่านมาตามถนนสายนอกเมืองที่มีแต่คนพื้นถิ่นอยู่อาศัย
“คุณภาพชีวิตของคนพวกนี้แย่จังนะ” ปรมินทร์เปรยขึ้นลอยๆ สายตาของเขาที่มองทอดไปเต็มไปด้วยความสงสาร
“ผมว่าพี่ปอพูดไม่ถูก” ฟังพี่ชายพูดเช่นนั้นแล้วปรมัตถ์ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่ถูกยังไง” เขาเลิกคิ้วและหันไปมองน้องชาย ไม่ทันสังเกตคนขับรถชาวพม่าที่ขยับตัวด้วยท่าทางกระสับกระส่าย ส่างโบทำงานให้กับครอบครัวเขามานานปี เมื่อเรียนจบมัธยมปลาย คนขับรถหนุ่มเคยได้ทุนไปเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพมหานคร จึงฟังภาษาไทยออกและสามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี
“ไม่ถูก เพราะพี่ปอเอาตัวเอง เอาค่านิยม เอาสังคมของพี่ไปตัดสินคนอื่น” น้องชายพูดตรงๆ
“ขับรถมอเตอร์ไซค์นั่งซ้อนกันเป็นพรวน หมวกกันน็อกก็ไม่มีใครใส่สักคน อาจจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้… นี่ไงคุณภาพชีวิต” ปรมินทร์ละสายตาจากท้องถนนไปชั่วขณะ เขาหันมาทางน้องชายและยกเหตุผลมาอ้างอย่างจะเอาชนะ
“คนที่นี่เขาขับกันระมัดระวังออกจะตาย บริบทของเขาเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนกับบริบทของผู้คนที่กรุงเทพฯ” ปรมัตถ์พูดไปตามที่เห็น มาอยู่มัณฑะเลย์หลายปีแล้วเขายังไม่เคยเห็นอุบัติเหตุรุนแรงสักครั้ง มีรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานมากมายก็จริง แต่ทุกคนรู้ดีว่าจะขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัย “คนเราบางครั้งก็มีข้อจำกัดในชีวิตหลายอย่าง ไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
ปรมินทร์ฟังน้องแล้วได้แต่นิ่งคิด ปรมัตถ์เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ
“สำหรับพี่ปอ แบบนี้อาจหมายถึงคุณภาพชีวิตไม่ดี แต่สำหรับพวกเขาอาจจะไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาอาจจะมีความสุขอยู่แล้ว และถ้าอย่างนั้น คำว่าคุณภาพชีวิตที่ดีในความหมายของพี่ปอ ก็อาจจะเอามาใช้วัดคนที่นี่ไม่ได้”
“แล้วอย่างนั้นจะเอาอะไรมาวัด จะเอาอะไรมาบอกว่าคุณภาพชีวิตที่ดีคืออะไร” เสียงมอร์เตอร์ไซค์คันนั้นเร่งเครื่องแซงไป ปรมินทร์ยังคงจ้องมองน้องชายคนเดียวแน่วนิ่ง ปรมัตถ์เป็นคนขวางโลก ชอบคิดอะไรตรงข้ามกับพ่อแม่พี่น้องเสมอ
“ความสุขไงล่ะ พี่ปอ” น้องชายยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงดุจเดิม “ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่มีคุณภาพ เพราะอย่างนี้ภูฏานถึงเอาดัชนีความสุขมาใช้วัดคุณภาพชีวิตของประชากร บางทีการมีเงินทองมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขเสมอไป เศรษฐีที่มีเงินร้อยล้านพันล้าน อาจมีความสุขน้อยกว่าคนเดินถนนที่มีเงินแค่หลักร้อยหลักพันก็เป็นได้… มีเงินมากๆ แต่ไม่มีความสุข พี่ปอว่าแบบนี้มีคุณภาพหรือเปล่าล่ะ”
คราวนี้เขาเถียงไม่ออก
คำพูดของน้องเหมือนจะกระตุ้นเตือนอะไรบางอย่าง…
หลายปีมานี้ ที่ปรมินทร์พยายามไล่ตามความฝัน ทำให้เขาต้องทิ้งโอกาสอะไรไปอีกมากมาย ทุกๆ วันเขาเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามจะสร้างโรงเรียนสอนทำอาหาร พยายามให้โรงเรียนของเขาเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
Mandalay Culinary School ประสบความสำเร็จในระดับเกินคาด พร้อมๆ กับความเครียดที่โถมทวี ปรมินทร์หายใจเข้าหายใจออกเป็นแต่เรื่องงาน เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าได้เข้าโรงภาพยนตร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามของปรมัตถ์ รถก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่กำแพงก่อด้วยอิฐก้อนเล็กสีแดงเข้ม ส่างโบคนขับรถหันมาบอกกับเจ้านายของเขาว่า
“ถึงแล้วครับ”
ปรมินทร์หันไปพยักหน้าให้น้องชาย แล้วบอกกับส่างโบว่า
“วนไปหาที่จอดแถวๆ นี้ก่อนก็แล้วกัน เสร็จธุระเรียบร้อย ฉันจะโทรเรียก”
มีกริ่งไฟฟ้าอยู่ข้างประตูรั้ว ปรมินทร์เอื้อมมือไปกด ขณะนั้นเองที่สายลมพัดพรูมา หอบเอาดอกประดู่สีเหลืองทองให้โรยตัวลงมาจากลำต้นสูงที่อยู่ริมรั้ว กลีบสีเหลืองโปรยปรายลงมาเป็นสาย ดูไม่ต่างอะไรกับฝูงผึ้งกำลังแตกรัง
ยืนรออยู่พักใหญ่ ประตูรั้วที่ทำจากไม้สักก็ค่อยๆ แง้มออกจากกัน พร้อมกับดวงหน้านวลงามของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ออกมา ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองเขาอย่างแปลกใจ ปรมินทร์สังเกตเห็นลุนตยาที่อีกฝ่ายสวมนั้นมีสีสวยหวาน มองจากลักษณะของผ้าแล้วออกจะมั่นใจว่าเป็นของเก่า
“มาหาใครคะ” เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงดีเยี่ยม
“ผมมีนัดกับโยดะยาเปียงทูนจี” ปรมินทร์อ่านชื่อยากๆ นั้นจากกระดาษแผ่นเล็ก ที่ซอมินตุนจดให้
เรื่องของเรื่องเริ่มต้นเมื่อบ่ายวันที่ปรมินทร์ไปปรึกษาเรื่องของมินมินกับซอมินตุน
ปรึกษาในฐานะที่เพื่อนของเขาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของโรงแรม การจะไล่นักเรียนสักคนหนึ่งออกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เคยเกิดขึ้นกับโรงเรียนสอนทำอาหารมาก่อน หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอาจจะทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเสียหายได้ ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจอะไรออกไป เขาอยากได้ความเห็นของซอมินตุนด้วย
“โม้มาก… เดินทางข้ามเวลา… ตลกแล้วละ ไม่มีทางเป็นไปได้” ในตอนแรก ซอมินตุนเองก็คิดเหมือนกับปรมินทร์
เขาไม่เชื่อเรื่องการเดินทางข้ามกาลเวลา มันเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยในความคิดของหนุ่มรุ่นใหม่อย่างซอมินตุน แต่ครั้นเมื่อได้เห็นพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กๆ ที่ปรมินทร์ยื่นให้ดู ซอมินตุนก็นิ่งไปอึดใจใหญ่
“เด็กนั่นบอกว่าได้พระองค์นี้มาจากอดีตกาล” ปรมินทร์ย้ำ
“แปลก” ซอมินตุนพึมพำ
“แปลกยังไง” ชายหนุ่มชาวไทยขมวดคิ้ว เขากับซอมินตุนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูลที่อังกฤษ ความที่เป็นคนเอเชียเหมือนกัน ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ถึงวันนี้มิตรภาพระหว่างปรมินทร์และซอมินตุนก็ยั่งยืนมานานกว่าสิบห้าปี สามารถพูดคุยปรึกษากันได้ทุกเรื่อง
“ถ้าเด็กนั่นโกหก เธอก็ไม่น่าจะมีพระแบบนี้” ดวงตาสีเข้มของซอมินตุนจ้องมองดวงหน้าคมสันของสหายชาวไทยแน่วนิ่ง “เท่าที่พอจะเคยเห็นมาอยู่บ้าง พระองค์นี้เป็นพระที่สร้างขึ้นในกลุ่มของคนโยเดียเมื่อหลายร้อยปีก่อน มีไม่กี่องค์เท่านั้น”
พระพักตร์ของพระพุทธรูปเรียวยาวรูปไข่ ไม่อวบอูมเหมือนกับพระพม่า ยังจะพุทธลักษณะอื่นๆ ที่ปรากฏให้เห็นล้วนเป็นลักษณะเฉพาะของอยุธยาแทบทั้งสิ้น
“มินมินก็มีเชื้อสายโยเดีย” ปรมินทร์ว่า
เขารู้เรื่องนี้มาจากปรมัตถ์อีกที เพราะหลังจากเกิดเรื่องมินมินหายตัวไป น้องชายของเขาก็พยายามสอบถามเพื่อนฝูงของมินมินเผื่อจะมีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน ถามจนได้ความว่าหญิงสาวคนนั้นมีเชื้อสายของชาวโยเดีย ข่ายเฉว่ บิดาของมินมิน เป็นคนโยเดียรุ่นที่เก้า
“บางทีพระองค์นี้อาจเป็นของครอบครัวมินมินก็เป็นได้” สายตาของปรมินทร์ยังคงจับจ้องมองพระทองคำองค์เล็กองค์นั้นแน่วนิ่ง
“แต่นายบอกฉันเองไม่ใช่หรือว่า วันที่มินมินหยิบพระองค์นี้ส่งให้ พ่อของมินมินเองยังแปลกใจ” ซอมินตุนย้อนถาม
“ใช่” ปรมินทร์ถอนใจเบาๆ บ่ายวันนั้นที่โรงพยาบาลซึ่งมินมินนอนพักรักษาตัวอยู่ ชายหนุ่มยังจำสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของข่ายเฉว่ได้แม่น
“พ่อของมินมินยืนยันว่าไม่เคยเห็นพระองค์นี้มาก่อน” ปรมินทร์ยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะเดินกลับไปกลับมาอย่างที่ชอบทำเวลาใช้ความคิด “ก่อนที่ฉันจะไล่มินมินออกจากโรงเรียน… ฉันอยากให้มั่นใจเสียก่อนว่าเด็กนั่นโกหก”
“นายจะได้รู้สึกผิดน้อยลง งั้นหรือ” ซอมินตุนเลิกคิ้ว “แล้วถ้าพระองค์นี้เป็นพระจากอดีตจริงๆ ล่ะ”
“ก็แปลว่ามินมินกลับไปอดีตมาจริงๆ” ปรมินทร์พูดพึมพำ
“และนายก็จะไม่ไล่เธอออก” ซอมินตุนยังคงมองเพื่อนด้วยสายตาดุจเดิม เขาไม่เคยเห็นเพื่อนมีอาการวุ่นวายใจแบบนี้มาก่อน ปกติปรมินทร์เป็นคนตัดสินใจทุกอย่างรวดเร็ว กับแค่ไล่นักเรียนขี้โกหกออกแค่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาสักนิด
“ใช่” ชายหนุ่มร่างสูง ดวงหน้าคมสันพยักหน้า “หากสามารถพิสูจน์ได้… ฉันก็จะให้โอกาสมินมินอีกสักครั้ง”
“มีผู้ชายคนหนึ่ง ที่น่าจะตอบข้อสงสัยนี้ได้” ซอมินตุนว่า
“ใคร” ปรมินทร์ขมวดคิ้ว
เพื่อนของเขาไม่ตอบคำถามนั้นหากก้มหน้าลงเขียนอะไรขยุกขยิกลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วยื่นมาให้
“โยดะยาเปียงทูนจี” ปรมินทร์อ่านชื่อนั้นด้วยความงุนงง ในนั้นมีที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์เขียนเอาไว้ที่มุมด้านล่าง
“ทูนจีผู้ถือมั่นในความเป็นโยเดีย” ซอมินตุนอธิบายสั้นๆ “ทูนจีคือคุณพ่อของนายแพทย์ติณเทพ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข… คุณหมอติณเทพเป็นเพื่อนกับพ่อของฉัน”
ประโยคหลังเขาอธิบายเพิ่ม เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของปรมินทร์
ซอมินเล บิดาของซอมินตุนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หากไม่ได้การสนับสนุนทั้งทางลับและทางแจ้งของซอมินเลแล้วไซร้ ปรมินทร์คงไม่สามารถเปิดโรงเรียนที่มัณฑะเลย์ได้
“ทำไมต้องเป็นคนนี้” ปรมินทร์ยังไม่เข้าใจ
“ทูนจีเป็นโยเดียรุ่นที่เจ็ด สืบเชื้อสายตรงมาจากเจ้านายโยเดียที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่อังวะ เมื่อคราวที่พระเจ้าสินพยุฉิ่นชนะศึก”
ก่อนมาลงหลักปักฐานอยู่ที่มัณฑะเลย์ ปรมินทร์ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและพม่ามาบ้าง จึงรู้ว่าพระเจ้าสินพยุฉิ่นที่เพื่อนเอ่ยถึงนั้นก็คือกษัตริย์องค์เดียวกับที่คนไทยรู้จักในนามของพระเจ้ามังระ ผู้มีชัยชนะเหนือกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ นั่นเอง
“ในกลุ่มคนเชื้อสายโยเดีย นับถือทูนจีกันมาก… เขารู้เรื่องของโยเดียมากกว่าใครๆ… ว่ากันว่า… นอกจากมีความรู้เรื่องโยเดียมากอย่างหาตัวจับยากแล้ว ทูนจียังสืบทอดวิชาอาคมเก่าแก่ของโยเดียมาอีกด้วยนะ”
“เพราะเหตุนี้ นายถึงคิดว่าฉันควรจะไปหาทูนจี” ปรมินทร์สรุปในที่สุด
“โทรนัดเลย… เบอร์ที่ฉันให้ไปนั่นแหละ” มินซอตุนพยักหน้า
หลังจากพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่เพื่อนจดให้ ในที่สุดทูนจีก็อนุญาตให้เขามาพบในวันนี้
“คุณปรมินทร์ใช่ไหมคะ” หญิงสาวคนนั้นส่งยิ้มให้ ปรมินทร์เพิ่งสังเกตเอื้องผึ้งช่อน้อยที่ประดับอยู่บนเรือนผมดำขลับของอีกฝ่าย ยามที่หญิงสาวขยับกาย ช่อเอื้องผึ้งจะพลอยขยับไหวไปด้วยราวมีชีวิต
“ครับ” เขาพยักหน้าพร้อมกับหันไปแนะนำน้องชายที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง “นี่น้องชายของผม… ปรมัตถ์ครับ”
“สวัสดีค่ะ เชิญเข้ามาก่อน” หญิงสาวยกมือขึ้นรับไหว้ เธอผลักประตูให้เปิดกว้าง พร้อมกับพยักหน้าเชิญให้ชายหนุ่มทั้งสองเดินเข้าไป
“ฉันชื่อเอลดา เป็นภรรยาของคุณหมอติณเทพ” เธอแนะนำตัวเอง เมื่อเห็นสายตาสงสัยของอีกฝ่ายหญิงสาวจึงเล่าต่อไปว่า “คุณหมอติณเทพทำงานอยู่ที่เนปิดอว์ จะกลับบ้านก็วันหยุดเสาร์อาทิตย์… คุณพ่อรอพวกคุณอยู่นานแล้ว… ท่านตื่นเต้นมากทีเดียว ที่จะได้พบพวกคุณทั้งสองในวันนี้…”
ห้องที่โยดะยาเปียงทูนจีพักผ่อนอยู่เป็นห้องที่อยู่ชั้นล่าง กว้างขวางกำลังสบาย ผนังทั้งสามด้านเต็มไปด้วยตู้หนังสือ มุมว่างด้านหนึ่งตั้งเตียงไม้สำหรับนอนเอนหลัง
ด้านหลังของห้องเป็นระเบียงเปิดออกไปยังสวนอังกฤษเล็กๆ มองออกไปเห็นน้ำพุและรูปปั้นเทวดาอังกฤษองค์เล็กๆ ถือพิณอยู่ในมือ
ในสวนปูหญ้าสีเขียวขจี มีต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาครึ้มเย็น ดอกไม้ภายในสวนมีนานาพรรณ ต่างออกดอกสีสันสดสวยแข่งกันสะพรั่ง แลเห็นนกตัวน้อยบินโผไปมาจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง ปรมินทร์รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
“พ่อคะ… แขกที่นัดไว้มาแล้วค่ะ” เอลดาบอกกับพ่อสามี ก่อนที่เธอจะขอตัวไปเตรียมน้ำชาและของว่างมาให้แขก
“นั่งสิ… พ่อหนุ่ม”
ปรมินทร์ยังไม่ทันเอ่ยทักทายโยดะยาเปียงทูนจี อีกฝ่ายก็เชื้อเชิญให้เขานั่งลงเสียก่อน ภาษาอังกฤษของเขาชัดเจน สำเนียงดีเยี่ยมแบบเดียวกับลูกสะใภ้
ดวงหน้าของชายชรานามทูนจีดูแจ่มใส เรือนผมสีขาวนั้นยังดกหนา ดวงตาของชายสูงวัยเปล่งประกายวับ ยากจะบอกได้ว่าอายุเท่าใดกันแน่
“ฉันแก่แล้ว… แปดสิบกว่าปีแล้วล่ะพ่อหนุ่ม”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ปรมินทร์ถึงกับสะดุ้ง ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจของเขาได้
“ท่าน… ดูแข็งแรงมากเลยนะครับ” ปรมินทร์ไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาว่าอย่างไร จึงชวนคุยด้วยเรื่องของอายุ… ก็ทูนจีดูไม่เหมือนคนอายุแปดสิบปีสักนิด
“อย่าเสียเวลาอ้อมค้อมเลยดีกว่า พ่อหนุ่ม… ตกลงที่มาหา พ่อหนุ่มมีคำถามอะไร อยากถามฉันในวันนี้” บิดาของติณเทพหัวเราะเบาๆ สายตาที่มองตรงมายังชายหนุ่มชาวไทยนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู น้ำเสียงของทูนจีเป็นกังวาน ไม่แหบพร่าเหมือนอย่างคนในวัยเดียวกัน
“ผม… เอ้อ… ผม”
ปรมินทร์ถึงกับไปไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ด้วยอีกฝ่ายชิงพูดทุกอย่างตัดหน้าออกมาหมดแล้ว
“ผมอยากเรียนถามเรื่องพระองค์หนึ่งครับ ลูกศิษย์ของผมได้มา… ผมอยากทราบว่าพระองค์นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร”
เขาเอ่ยออกมาได้ในที่สุด ท่าทางทรงอำนาจของอีกฝ่ายทำให้น้ำเสียงของปรมินทร์อ่อนลงไปโดยไม่รู้ตัว
“พระองค์ที่ว่า… แบบนี้ใช่ไหม”
ทูนจีหันไปหยิบถุงกำมะหยี่ใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้ เขาหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงใบนั้น แล้วยื่นส่งให้กับปรมินทร์ดู
…เป็นครั้งที่สองที่ปรมินทร์ถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง…
พระทองคำองค์เล็กๆ ที่โยดะยาเปียงทูนจีส่งมาให้เขาดูนั้น เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อ
แบบเดียวกับที่มินมินได้มาจากอดีตกาลไม่มีผิด!