ทิวากาลกับความรัก บทที่ 2 : คำถามในแววตา
โดย : ปรียนันทนา
ทิวากาลกับความรัก โดย ปรียนันทนา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
****************************
– 2 –
หญิงสาวดับไฟดวงสุดท้ายและก้าวออกจากห้องขนาดยี่สิบตารางเมตรซึ่งตกแต่งในรูปแบบห้องพักผ่อนแต่สามารถปรับใช้เป็นทั้งห้องประชุม และห้องเรียนเช่นที่เธอใช้สอนภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติในวันนี้ “วัณณ์สว่าง” หญิงสาวเจ้าของโรงแรมดัดแปลงเรือนครึ่งตึกครึ่งไม้หลังงามของบรรพบุรุษให้เป็นบูติกโฮเต็ลโดยห้องโถงด้านล่างมีห้องสองฝั่ง เธอจึงใช้ฝั่งซ้ายเป็นล็อบบี้และส่วนต้อนรับ ส่วนฝั่งขวาเธอดัดแปลงเป็นร้านกาแฟขนาดเล็กที่ใช้เป็นห้องอาหารด้วย เมื่อเดินสำรวจความเรียบร้อยแล้วหญิงสาวเดินเข้าไปในส่วนเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ถัดเข้าไปด้านในหลังร้านกาแฟ วันนี้มีแขกเข้าพักเพียงสามห้องจึงไม่ยุ่งนักแต่พนักงานที่ทำหน้าที่ส่วนต้อนรับและพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เธอจ้างบริษัทมายังปฏิบัติทำหน้าที่ตามปกติ วัณณ์สว่างมองไปยังเรือนพักของลุงแทนคนงานเก่าแก่ของบ้านซึ่งรับหน้าที่คนสวนประจำโรงแรมด้วย ห้องของลุงแทนยังคงเปิดไฟสว่างนั่นหมายถึงว่าลุงยังคงสังสรรค์กับลูกจ้างคนอื่นในบ้านอีกนาน บ้านของเธอดูแลลูกจ้างในบ้านมาหลายรุ่น แม้ว่าปัจจุบันมีบางครอบครัวที่ออกไปทำงานข้างนอกและสามารถตั้งตัวกันได้แล้ว แต่ยังมีบางคนที่สมัครใจอยู่ที่นี่ซึ่งลุงแทนก็เป็นหนึ่งในนั้น ลุงแทนไม่ได้แต่งงานจึงอยู่ดูแลบ้านและช่วยเหลือวัณณ์สว่างตลอดมา
วัณณ์สว่างเปิดประตูห้องนอนแล้วตรงไปนั่งที่เก้าอี้พักผ่อนเป็นอันดับแรก ห้องนอนของเธอมีขนาดไม่ใหญ่ด้วยหญิงสาวต้องการให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง เฟอร์นิเจอร์ที่เธอเลือกใช้ล้วนเป็นของเก่าที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยคุณปุ่คุณย่า ซึ่งท่านก็คงได้รับตกทอดมาจากรุ่นพ่อแม่ของท่าน ตู้ไม้หนาหนักที่หญิงสาวใช้เป็นตู้เสื้อผ้านี้ว่ากันว่าสั่งมาจากอังกฤษ ส่วนเตียงนอนก็คงมาพร้อมกันเพราะหญิงสาวสังเกตว่าเป็นไม้โอ๊คเนื้อดี อีกทั้งการดูแลรักษาอย่างดีทำให้วัณณ์สว่างคิดว่าสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องนี้ยังอยู่ในสภาพดีเกินอายุด้วยซ้ำ
“ฮัลโหล” วัณณ์สว่างกดรับโทรศัพท์เรียกเข้าจากแม่ของเธอ
“เพิ่งเลิกงานเหรอลูก”
“ค่ะแม่ นั่งพักอยู่แต่ก็เพลินจนเกือบหลับเลย วันนี้มีสอนก็เลยง่วง ๆ นิดหน่อยค่ะ”
“อย่าหักโหมมากลูก ถ้าเหนื่อยก็กลับมาพักที่บ้านบ้าง”
บ้านที่มารดาของหญิงสาวเอ่ยถึงคือคอนโดมิเนียมที่สร้างเฉพาะตระกูลมารดาของเธอ ตั้งอยู่บนที่ดินเกือบห้าไร่บนย่านธุรกิจกลางกรุง
“ไม่เอาหรอกค่ะแม่ อยู่คอนโดแล้ววัณณ์อึดอัด ไม่มีต้นไม้ ไม่มีลมเย็นๆ”
“มันไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย วัณณ์ก็พูดเกินไป คุณตาอุตส่าห์อยากให้ลูกหลานได้อยู่ด้วยกัน”
คุณนีรนุชมารดาของหญิงสาวเอ่ยถึงบิดาผู้มั่งคั่งจนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าสัวระดับประเทศ หากแต่หลานสาวซึ่งเป็นลูกของลูกสาวคนเล็กกลับไม่ได้ใส่ใจสมบัติทางฝั่งมารดาเท่ากับบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ของต้นตระกูลบิดาแถวถนนเจริญกรุง
“ค่ะ ข้อนั้นวัณณ์รู้ดี งั้นรวมญาติปีนี้วัณณ์ไปแน่นอนค่ะแม่”
“ก่อนจะรวมญาติน่ะ เสาร์อาทิตย์นี้กลับมานอนค้างบ้านก่อนมั้ยลูก”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เสาร์อาทิตย์นี้แขกมาพักเต็มทุกห้องเลย”
“งั้นมากินข้าวกลางวันกันก็ได้”
“แหม ต่อรองเก่งจังเลยนะคะแม่”
“ตกลงไหมล่ะ”
“ก็ได้ค่ะ เจอกันกลางวันวันเสาร์ค่ะแม่”
เมื่อวางสายจากมารดาแล้ววัณณ์สว่างคงยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ความจริงงานบริหารกิจการโรงแรมขนาดเล็กที่หญิงสาวก่อตั้งขึ้นไม่ได้เหนื่อยมากเท่ากับตอนที่เธอสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเป็นงานประจำ แต่การดูแลลูกค้าแบบใกล้ชิดตามที่เธอต้องการเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่วัณณ์สว่างต้องสอดส่องดูแลพนักงานทุกคน ทั้งที่เธอฝึกฝนพวกเขาเป็นอย่างดีแล้วแต่มีบางครั้งที่ปัญหาอาจเกิดขึ้นหน้างาน ดังนั้นเมื่อใดที่มีลูกค้าเข้าพักเต็มทุกห้องก็ทำให้หญิงสาวลุ้นทุกวันจนกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นไปได้
เสียงสายฝนโปรยปรายอยู่ริมหน้าต่าง กลิ่นดินชุ่มน้ำฝนลอยลมมากระทบจมูกให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย หญิงสาวชอบอยู่บ้านมากกว่าอาคารสูงที่เพียบพร้อมไปด้วยความล้ำสมัยอันลดทอนความเป็นไปรอบตัวอย่างเรียบง่ายเช่นเวลานี้ วัณณ์สว่างหลับตาลงแต่ใจไพล่ไปคิดถึงชายหนุ่มเมื่อกลางวันที่เดินเข้ามาที่ล็อบบี้เพื่อถามราคาห้องพัก แวบแรกหญิงสาวตกใจที่เขาสวมทั้งแว่นกันแดดและหน้ากากอนามัย หากเมื่อไร้สิ่งเหล่านั้นปกปิดใบหน้าแล้ววัณณ์สว่างกลับประหลาดใจยิ่งกว่าเพราะคล้ายกับว่ามีแสงสว่างวาบเข้ามาในความคิดคำนึง หากแต่เธอก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความจริงบางอย่างที่เธอรอคอยตามที่พระอาจารย์รูปหนึ่งผู้ที่ครอบครัวของเธอนับถือเคยกล่าวไว้ ท่านให้เธอใช้ชีวิตไปตามที่ควรเป็น ไม่ให้หมกมุ่นกับความอยากรู้และฝังใจกับบางเรื่องที่ยังไม่มีคำตอบ เพราะเมื่อถึงเวลาเธอก็จะได้รู้ด้วยตนเอง บางสิ่งที่พลัดพรากก็จะคืนกลับมาโดยที่เธอไม่ต้องตั้งคำถาม
เมื่อตอนเป็นเด็กหญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจนัก หากเมื่อเติบโตจนเข้าวัยทำงานแล้วเธอจึงกลับมานั่งย้อนรำลึกเรื่องราวที่พระอาจารย์เคยบอกได้ และตระหนักกับตนเองว่าการที่เธอไม่เคยมีคนรักทั้งที่มีคนเข้ามาให้เลือกมากมายนั้นอาจเป็นเพราะมีคำถามที่ยังคาใจบางอย่างกับบางคนที่เธอก็ไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่หรือไม่
กระทั่งได้เจอ “เขา” บุรุษนิรนามเมื่อกลางวันที่เข้ามาทำให้เธอรู้สึกว่าต้องค้นหาความจริงต่อไป
…………………………………………..
วันนี้อากาศไม่อบอ้าวเช่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ณฐเดินลัดเลาะเข้าซอยเจริญกรุงอย่างไม่รีบร้อนเพื่อชื่นชมบรรยากาศเรียบง่ายของชุมชนโดยรอบ ไม่นานเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเปิดหน้าที่ทำการยืนยันการจองห้องพักแล้วตรงเข้าไปแจ้งพนักงานของโรงแรม
ช่วงก่อนเที่ยงคงเป็นเวลาที่ลูกค้าหลายคนทยอยเข้ามาเช็กอิน ณฐเปิดประตูเข้าไปนั่งรออยู่มุมหนึ่งของห้อง เขาสังเกตตามประสาของนิยมของเก่าและนึกชื่นชมเจ้าของสถานที่ว่าช่างเป็นคนใส่ใจกับรายละเอียดทำให้สามารถดัดแปลงบ้านเก่ามาเป็นโรงแรมได้ลงตัวและสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับโรงแรมห้าดาวแต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเสมือนอยู่ในบ้านที่เป็นครอบครัวใหญ่ เพราะเพียงแค่เขาเข้ามานั่งรออย่างเงียบเชียบก็มีพนักงานวัยรุ่นหน้าตาเป็นมิตรตรงเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ผมจองห้องไว้น่ะครับ” ณฐส่งโทรศัพท์ให้
“สักครู่นะครับ”
ณฐเห็นพนักงานคนนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องหลังเคาน์เตอร์ซึ่งมีลูกค้าสองคนกำลังยืนกรอกรายละเอียดอยู่ ครู่เดียวเขาก็เดินกลับออกมาพร้อมกับแววตาไม่แน่ใจ หากก็มีรอยยิ้มเมื่อเดินกลับมาหาณฐ
“ขอโทษนะครับคุณผู้ชาย พอดีในระบบของทางโรงแรมไม่พบการจองเข้ามาในชื่อนี้น่ะครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ผมจองมาจริง ๆ นะ”
“เข้าใจครับ แต่ระบบอาจมีปัญหา เดี๋ยวผมดูให้นะครับ”
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกรอบครั้งนี้ณฐลุกเดินตามไปด้วย เขาได้แต่หวังว่าแม้ระบบมีปัญหาแต่ขอให้มีห้องพักว่างก็พอ แต่ดูเหมือนว่าความหวังของเขาไม่เป็นผลเมื่อพนักงานชายคนเดิมเอ่ยกับเขาเมื่อเขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์
“ห้องเต็มครับ”
“แล้วอย่างนี้ผมจะทำไงล่ะ” ณฐเอ่ยเสียงเรียบด้วยนี่ไม่ใช่ความผิดของเขา
“จริง ๆ ก็มีอีกห้องนะพี่” เขาได้ยินพนักงานต้อนรับผู้หญิงเอ่ยกับน้องผู้ชายเมื่อครู่
“ไม่ได้ ห้องนั้นยังไม่เรียบร้อย”
“อะไรนะ ยังมีห้องว่างอีกใช่ไหม” คราวนี้ณฐถามตรง ๆ กับน้องผู้หญิง
“ก็ไม่เชิงค่ะ พอดีมีห้องที่กำลังจะเปิดเป็นห้องพักเพิ่ม แต่ยังตกแต่งไม่ค่อยเรียบร้อยและคุณวัณณ์เจ้าของโรงแรมก็ยังไม่ได้เปิดให้จองค่ะ”
“งั้นผมเอาห้องนั้นเลยก็แล้วกัน”
ณฐสรุปโดยไม่ถามความเห็น เพราะเขาถือว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเขา การที่เขาจองผ่านหน้าเว็บไซต์สำหรับการจองโดยเฉพาะก็เท่ากับโรงแรมต้องรับทราบแล้ว หากมีปัญหาทางโรงแรมก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบ
“แต่ทางเรายินดีคืนเงินนะคะ”
“คืนทำไมครับ ก็ผมบอกแล้วว่าจะนอน ช่วยพาไปดูห้องได้ไหมครับ”
ณฐเดินตามพนักงานหญิงคนเมื่อครู่เข้าไปยังห้องพักที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นส่วนที่เขาคิดว่าอยู่ก่อนเข้าไปในตัวบ้านชั้นล่าง ซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูบานเฟี้ยมกรอบไม้สักที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นส่วนพักอาศัยของเจ้าของ แม้เป็นห้องที่อยู่ด้านในแถมอยู่ชั้นล่างทำให้ไม่ได้เห็นทัศนียภาพรอบบ้านแต่เขาก็รูสึกชอบเพราะบริเวณหน้าห้องมีพื้นที่เล็ก ๆ ที่ทางโรงแรมจัดเป็นสวนหย่อมไม้กระถางและยังมีโต๊ะเก้าอี้นั่งสำหรับนั่งพักผ่อนด้วย
“ตกลงผมพักห้องนี้เลยก็แล้วกัน” เขาบอกพนักงานด้วยน้ำเสียงดีกว่าเมื่อครู่
“เดี๋ยวหนูขอไปถามคุณวัณณ์ก่อนได้ไหมคะ อีกไม่กี่นาทีก็เลิกสอนแล้ว”
“ใครเหรอ”
“คุณวัณณ์สว่างเจ้าของโรงแรมค่ะ”
“ไม่ต้องถามหรอก เจ้าของต้องยอมสิเพราะว่าถึงยังไงผมก็จองมาแล้ว และที่น้องบอกว่าห้องยังตกแต่งไม่เรียบร้อยผมก็เห็นว่าเรียบร้อยดีและสวยน่านอนมาก”
เขาเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปหยุดหน้าเตียงไม้สักสี่เสา เบื้องหน้าคือภาพถ่ายหอนาฬิกาที่เขาไม่คิดว่าจะมีใครนำมาใช้ประดับห้องพักในโรงแรมเช่นนี้ หากคนที่ไม่เคยเห็นภาพนี้หรือเคยผ่านตามาไม่มากนักอาจคิดว่าเป็นภาพเดียวกันกับที่เผยแพร่ในหนังสือ แต่เขาทราบดีว่านี่อาจเป็นมุมเดียวกันแต่การวางตำแหน่งของภาพต่างกัน ภาพที่เขาคุ้นเคยนั้นนอกกำแพงพระบรมมหาราชวังมีศาลาที่มีคนกำลังนั่งอยู่ซึ่งภาพนี้ก็มี หากแต่ตำแหน่งที่เยื้องออกมาทำให้เห็นหอนาฬิกาหรือพระที่นั่งภูวดลทัศไนยในมุมที่ต่างไป
“ภาพนี้สวยนะ” เขารำพึงกับตนเองแผ่วเบา
“อ๋อ พระที่นั่งที่มีหอนาฬิกาไงคะ”
“พระที่นั่งภูวดลทัศไนย”
“คุณรู้จักด้วยหรือคะ ตั้งแต่ทุกคนเห็นภาพนี้ ไม่เคยมีใครรู้จักเลยค่ะยกเว้นคุณวัณณ์ เจ้าของภาพ”
“เจ้าของภาพเหรอ” ณฐเอ่ยเสียงสงสัย
“ใช่ค่ะ คุณวัณณ์บอกว่าเป็นภาพที่อยู่ในกรุของตระกูลเธอ เธอค้นเจอแล้วชอบก็เลยเอามาถ่ายใหม่แล้วมาติดในห้องนี้ค่ะ”
“กรุเลยเหรอ แล้วเจ้าของไปไหนนะครับ” เขาจำได้ว่าเมื่อครู่น้องคนนี้บอกว่าเจ้าของสอนหนังสือ เธอคงเป็นครูหรืออาจารย์ที่ไหนสักแห่งแล้วเปิดโรงแรมด้วย
“อ๋อ คุณวัณณ์สอนหนังสืออยู่ค่ะ”
“จะกลับมาตอนไหนครับ”
“สอนอยู่ที่นี่แหละค่ะ ห้องข้าง ๆ นี่ไงคะ เธอรับสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติค่ะ”
“ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าห้องนี้มีคนอยู่”
“ปกติห้องนี้เป็นห้องพักผ่อนและห้องประชุมแต่ก็สามารถปรับใช้เป็นห้องเรียนได้ค่ะ”
“อ้อ เหรอครับ ดีครับดี”
“งั้นเดี๋ยวเชิญคุณผู้ชายที่ล็อบบี้ก่อนไหมคะ จะได้กรอกเอกสารด้วยค่ะ”
ระหว่างเดินกลับออกมาจากห้องพักณฐจึงลอบมองเข้าไปในห้องที่พนักงานบอกว่าเป็นที่สอนหนังสือของหญิงสาวนามว่า วัณณ์สว่าง ผู้เป็นเจ้าของโรงแรม เพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างเขาก็จดจำได้ว่าเธอคือหญิงสาวที่เขาเคยพบเมื่อคราวแรกที่เขามาที่นี่ เพราะแววตาที่เต็มด้วยคำถามมากมายคู่นั้นยังติดตรึงในตาในใจเขาจนวันนี้
วัณณ์สว่างกำลังทบทวนการสอนกับลูกศิษย์ชาวต่างชาติของเธอซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวยุโรปที่มาทำงานที่เมืองไทยมากกว่าหนึ่งปีแล้ว พวกเขาพูดภาษาไทยได้ในระดับหนึ่งแต่ต้องการเรียนเรื่องที่เฉพาะเจาะจงลงไป เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่หญิงสาวลาออกจากงานประจำนั่นคือการสอนภาษาไทยที่สถาบันสอนภาษาเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งเพื่อมาเปิดกิจการเล็ก ๆ ตามความชอบ ทำให้มีลูกศิษย์เก่าหลายคนติดต่อเธอโดยตรงเพื่อมาเรียนเป็นหลักสูตรสั้นเฉพาะกลุ่ม หญิงสาวเห็นว่าเธอสามารถแบ่งเวลาและเลือกเวลาได้จึงตอบตกลงสอนนักเรียนกลุ่มนี้
“สรุปว่าครั้งหน้าเราจะคุยกันเรื่องพระที่นั่งภูวดลทัศไนยในสมัยรัชกาลที่ ๔ นะคะ เดี๋ยวครูจะนำรูปภาพพระที่นั่งองค์นั้นมาให้ดูด้วย”
“น่าสนใจมากครับ พวกเราอยากรู้เรื่องเมืองไทยสมัยก่อนเยอะ ๆ”
“ใช่ค่ะ เคยเห็นรูปในหนังสือแต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร สมัยของคิงมงกุฏเป็นช่วงเวลาที่สยามกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง เริ่มมีการบันทึกภาพถ่ายทำให้เรื่องราวต่าง ๆ น่าสนใจมาก”
สองหนุ่มสาวที่ทำงานในหน่วยงานของสหประชาชาติในเมืองไทยเป็นผู้เสนอหัวข้อในการเรียนครั้งหน้าซึ่งคนอื่นที่ทำงานในองค์กรด้านศิลปวัฒนธรรมก็ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน ชั้นเรียนในคราวหน้าที่วัณณ์สว่างจะสอนจึงเป็นเรื่องที่เธอเองก็สนใจไม่น้อยไปกว่าลูกศิษย์ชาวต่างชาติเหล่านี้
ก่อนจบการสอนหญิงสาวได้ยินเสียงห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องที่กำลังจะเปิดเป็นห้องพักใหม่แต่ว่าเธอยังไม่ได้สั่งให้ลูกน้องคนไหนแจ้งลูกค้าหรือนำลงเว็บไซต์ในวันนี้ เหตุใดจึงมีเสียงคนพูดคุยกันและมีคนเดินเข้าเดินออกโดยที่เธอไม่รับรู้มาก่อน
“วันนี้ขอบคุณมากค่ะ เจอกันวันเสาร์หน้านะคะ”
วัณณ์สว่างพูดจบพร้อมกับปรายตาไปเห็นชายหนุ่มคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง แม้พยายามไม่หันไปมองเต็มตาแต่หญิงสาวก็รู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าเขากำลังรอให้เธอหันไป
หญิงสาวข่มอารมณ์ความรู้สึกที่มีอย่างเต็มที่ก่อนจะค่อยหันไปมองยังหน้าประตูแล้วพบว่าเบื้องหน้าของเธอกลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีชายหนุ่มคนนั้นหรือใครทั้งสิ้น
น้ำตาแห่งความน้อยใจเอ่อขึ้นมาก่อนที่เธอจะสะกดมันลงไป พร้อมกับความคิดว่า ….
นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาปล่อยให้เธอรอเช่นนี้สินะ !