ชะตารัก…กิตะซะว่า บทที่ 5 : เจ้าหญิงแห่งสายฝน

ชะตารัก…กิตะซะว่า บทที่ 5 : เจ้าหญิงแห่งสายฝน

โดย : ปุณรสา

Loading

ชะตารัก…กิตะซะว่า โดย ปุณรสา เมื่อผู้เป็นลุงเสียชีวิตลงและทิ้งคาเฟ่ขนมหวานแสนอร่อยที่เป็นความทรงจำแสนงดงามของคุณลุงและคุณป้าไว้ เขาจะขายร้านและพาคุณป้ากลับเมืองไทยหรือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น หรือบางทีคำตอบที่อยากได้อาจจะมาพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น นิยายรักอบอุ่นหัวใจที่อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์

***************************

-5-

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ป้าวนาพอได้ยินว่าคีรีจะพาไปคามะคุระ ตาของป้าวนาก็ลุกวาว คีรีไม่เห็นสายตาแบบนี้ของป้าวนามานาน จนเขาแอบรู้สึกดีใจไม่ได้

“ป้าไม่ได้ไปไหว้พระใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่น้า” คุณป้าเอียงคอพยายามคิด แต่ดูเหมือนก็คิดไม่ออก ได้แต่พูดว่า “นานมาก นานมากๆ สมัยที่อากิซังพามาญี่ปุ่นใหม่ๆ มั้ง”

ไม่มีใครตอบคุณป้าได้ ลุงอากิที่สิ้นไปเหมือนเป็นความทรงจำของคุณป้าในช่วงปีหลังๆ นี่ เมื่อไม่มีคุณลุงแล้ว ความทรงจำของป้าวนาก็เหมือนชิ้นส่วนของจิกซอว์ที่ไหลวนอยู่ในอากาศ…อย่างไม่รู้ว่าชิ้นไหนเป็นชิ้นไหน

“คุณรี…เอ้ย…เรียวจัง บอกว่าตอนนี้มีดอกไฮเดรนเยียบานสะพรั่ง ผมเลยอยากพาคุณป้าไปดูครับ”

คุณป้าพยักหน้ารับน้อยๆ ในแววตาที่ว่างเปล่านั้น คีรีรู้ว่าป้าวนากำลังคิดถึงคุณลุงอากิอยู่

พอค่ำฝนเริ่มตกอีก คืนนั้นขณะเขากำลังจะเข้านอน คีรีได้ยินเสียงกุกกักอยู่ทางด้านล่าง เขารู้ว่าไม่ใช่ณัฐแน่ เพราะลองณัฐขึ้นนอนแล้ว คงไม่ยอมลงไปข้างล่างอีก หรือจะเป็นป้าวนา

นั่นทำให้คีรีต้องลงมาที่ข้างล่าง ป้าวนาเปิดไฟดวงน้อยที่ตรงช่องทางเดินที่เดินจากครัวใหญ่ไปทางด้านหน้าร้านไว้ เมื่อคีรีเดินพ้นช่องทางเดินออกมาก็เห็นป้าวนากำลังค้นหาบางอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ บริเวณด้านหน้าที่ลูกค้านั่งไฟปิดมืด ทำให้บริเวณเคาน์เตอร์นี้มีเพียงแสงสลัวๆ จากไฟบริเวณช่องทางเดิน คีรีค่อยๆ เดินเข้าไปหาป้าวนา

“ป้าหาอะไรอยู่ครับ”

“ป้าเจอแล้ว” ป้าวนาชูแผ่นซีดีในมือขึ้นให้คีรีดู

คีรีจึงค่อยๆ เดินไปหยิบแผ่นซีดีในมือของป้า เป็นแผ่นเพลงภาษาญี่ปุ่นที่เขาก็อ่านไม่ออก แม้ป้าวนาบอกว่าเจอของที่ตัวเองหาแล้ว แต่ป้าวนาก็ยังคงเปิดตู้และลิ้นชักของเคาน์เตอร์อยู่เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง

“ป้าเจอแล้ว แล้วยังหาอะไรอีกล่ะครับ”

“วิทยุไงล่ะ คีรี ป้าจำได้ว่าเราเคยมีวิทยุที่เปิดซีดีนี้ได้”

“ตั้งแต่ผมมาอยู่ ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะครับ” คีรีพูดเสียงเบาๆ เพราะรู้ว่าวิทยุเปิดซีดีคงเสียนานแล้ว และลุงอากิก็คงทิ้งไปแล้ว

แต่นั่นก็ไม่ทำให้ป้าวนาหยุดหา ทำให้คีรีค่อยๆ ไปจับมือป้าวนาเพื่อให้ป้าของเขานิ่งลง

“เอาอย่างงี้ดีกว่า คุณป้าอยากฟังเพลงอะไรครับ”

“เพลงนี้นะ เพลงในนี้ไงล่ะ” ป้าวนาชี้ไปที่แผ่นซีดี

แล้วคีรีก็ค่อยๆ ดึงมือป้าวนามานั่งลงที่โต๊ะลูกค้าด้านหน้า แล้วเปิดไฟร้านในส่วนโต๊ะตรงนั้น

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ คุณป้ารออยู่ตรงนี้แป๊บนะครับ”

แล้วชายหนุ่มก็เอาแผ่นซีดีเดินขึ้นบันไดไป ไปเคาะห้องณัฐที่อยู่ข้างบันได ณัฐเปิดประตูออกมาในสภาพที่ไม่เต็มใจนัก คีรีรีบยื่นแผ่นซีดีให้ณัฐดู

“แผ่นซีดีเพลงอะไร”

ณัฐแทบไม่ดูแผ่นที่เขายื่นให้ แต่ณัฐก็ตอบได้ชัดถ้อยชัดคำอย่างทุกครั้ง “แผ่นเพลง ‘อุเอะ โอะ มุยเตะ อะรุเคา’ ของเคียว ซะคะโมะโตะ คุณลุงชอบเปิดครับ”

เป็นครั้งแรกที่คีรีเห็นณัฐพูดภาษาญี่ปุ่นยาวๆ และเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่รู้สึกว่าณัฐใช้การได้ แต่อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจที่ณัฐพูดเลยสักคำ เขาเลยยื่นโทรศัพท์เขาให้กับณัฐ ณัฐรับโทรศัพท์มา แล้วจัดการกดชื่อ ‘Kyu Sakamoto’ ลงในโทรศัพท์ แล้วเพลงนี้ก็ขึ้นมาทันที เพราะเป็นเพลงที่ดังมาก

พอกดโทรศัพท์เสร็จ ณัฐก็ส่งคืนให้ พอคีรีรับโทรศัพท์กลับเท่านั้น ณัฐก็ปิดประตูห้องทันที

“ไม่ต้องขอบคงขอบคุณกันพอดี” คีรีได้แต่ส่ายหน้าและหันกลับเดินลงบันไดมา และรีบไปเดินไปหาป้าวนาที่นั่งคอยอยู่

พอไปถึงเขาก็กดเปิดเพลงนั้นจากโทรศัพท์เขาให้ป้าวนาฟัง  ทันทีที่ได้ยินเสียงเพลง ป้าวนาก็ยิ้ม

“อากิซังชอบฟังเพลงนี้” ป้าวนาพูดขึ้นเบาๆ

ใช่เนอะ…วันนี้ป้าวนาพูดถึงลุงอากิสองครั้งแล้ว เหมือนการพาคุณป้าไปคามะคุระจะไปกระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับลุงอากิ

“เอ๊ะ เพลงนี้เพลงสุกียากี้นี่ครับ”

คราวนี้ป้าวนายิ่งยิ้มใหญ่ “ใช่ๆ คิดตั้งนานว่าจะบอกชื่อสุกียากี้กับคีรี คิดไม่ออกเสียที”

“ผมไม่เคยฟังเวอร์ชันญี่ปุ่นเลย แปลว่าอะไรเหรอครับ”

“ฉันเงยหน้าขึ้นขณะที่ฉันเดิน” คุณป้าพูดพร้อมชี้ขึ้นไปข้างบน

“เอ๊ะ” คีรีทำหน้างง

เมื่อเห็นหลานชายทำหน้างง ป้าวนาเลยพูดต่อ

“เพื่อไม่ให้น้ำตารินไหลลงมา

เฝ้าคิดถึงวันในฤดูใบไม้ผลิ

ในค่ำคืนนี้ที่ฉันอยู่ลำพังคนเดียว”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับอาหารเลยนี่ครับ” คีรีแย้ง

ป้าวนาหัวเราะ “ก็ไม่เกี่ยวน่ะสิ”

“แถมเป็นเพลงเศร้าอีก ทำนองก็ฟังสนุกอยู่นะ แล้วทำไมถึงชื่อสุกียากี้ได้” คีรีพูดพึมพำอย่างไม่หวังคำตอบ

“อากิซังเล่าว่าซาคะโมโตะร้องเพลงนี้ตั้งแต่ปี…” ป้าวนาพยายามคิด

คีรีเหลือบมองข้อมูลในโทรศัพท์แล้วพูดเติมต่อสิ่งที่ป้าวนาพูดค้างไว้ “ตั้งแต่ปี 1961 ครับ”

“…และก็เป็นเพลงดังเอามากๆ จนอีกสองปีต่อมาค่ายเพลงของอังกฤษอยากได้ทำนองเพลงไปใส่เนื้อภาษาอังกฤษ เลยต้องตั้งชื่อเพลงให้ติดหูง่าย ก็เลยเป็นเพลงสุกียากี้” ป้าวนายิ้ม

“เอ๋ะ” คีรีอุทานอย่างคนญี่ปุ่น ไม่ใช่เพราะทึ่งในเรื่องค่ายเพลงอังกฤษเอาเพลงนี้ไปทำ แต่ทึ่งที่ป้าวนาสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังได้

นั่นทำให้เขาคิดถึงตอนที่ลุงอากิยังอยู่และเพิ่งพบว่าป้าวนานั้นมีอาการผิดปกติของโรคอัลไซเมอร์ ตอนนั้นลุงอากิโทรศัพท์ไปเล่าให้เขาฟัง ในวันนั้นจู่ๆ ป้าวนาก็จำไม่ได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จำลูกค้าประจำไม่ได้ และตอนนั้นที่ร้านยังขายอาหารอยู่ ป้าวนาทำอาหารที่ทำอยู่ทุกวันไม่ได้ แต่ในวันต่อมาคุณป้าก็กลับมาจำทุกอย่างได้ นั่นทำให้ลุงอากิต้องพาป้าวนาไปหาหมอและสแกนสมอง แต่ลุงอากิกลับมองว่านั่นเป็นโชคดีเพราะทำให้รู้ว่าป้าเป็นอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะแรกๆ ตั้งแต่นั้นป้าวนาก็เริ่มทานยาและหาหมอด้านนี้เป็นประจำ

“เพลงจบแล้ว” ป้าวนาปลุกเขาจากภวังค์

“จะขึ้นนอนหรือยังครับ”

“ไว้คีรีสอนป้าทำในโทรศัพท์ป้าบ้างนะ” ป้าวนาหมายถึงให้คีรีสอนเธอฟังเพลงนี้จากโทรศัพท์ของตัวเอง “ป้าจะได้ไม่ต้องรบกวนคีรีให้ทำให้อีก”

คีรียิ้ม ป้าวนายังเป็นคนขี้เกรงใจเสมอ “ได้ครับ”

“ฝนตกหนักแล้ว” ป้าวนาพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝนที่กระหน่ำอยู่ข้างนอก

ชายหนุ่มเห็นเหมือนป้าวนายังไม่ค่อยอยากขึ้นนอน “งั้นผมเปิดเพลงสุกียากี้ภาษาอังกฤษให้ฟังนะครับ”

ป้าวนายิ้ม เหมือนหญิงชรารู้สึกมีความสุขที่มีคีรีอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยและฟังเพลงด้วย ใช่…เขามาอาทิตย์นึง เขาไม่ได้มานั่งพูดคุยหรือปลอบประโลมป้าวนาเลย คิดถึงแต่จะจัดการเรื่องร้านอย่างไรให้เสร็จๆ เพื่อเขาจะได้กลับไปสอนทัน

เสียงเพลงสุกียากี้ภาษาอังกฤษเริ่มดังขึ้น

“คีรีแปลให้ป้าฟังหน่อยสิ”

“ครับ”

‘It’s all because of you, I’m feeling sad and blue

You went away, now my life is just a rainy day

And I love you so, how much you’ll never know

You’ve gone away and left me lonely’

“ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ ฉันรู้สึกเศร้าเสียใจ

คุณจากฉันไป ชีวิตฉันตอนนี้เหมือนอยู่ในวันที่ฝนตก

และฉันรักคุณมากอย่างที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน

คุณจากไปและทิ้งฉันไว้ตามลำพัง”

 

‘Untouchable memories, seem to keep haunting me

Another love so true

That once turned all my grey skies blue

But you disappeared

Now my eyes are filled with tears

And I’m wishing you were here with me’

“ความทรงจำที่จับต้องไม่ได้ เหมือนหลอกหลอนฉันเสมอ

เป็นอีกหนึ่งรักแท้

ซึ่งครั้งหนึ่งได้เปลี่ยนฟ้าสีเทาให้เป็นสีคราม

แต่ที่สุดคุณก็จากไป

ตอนนี้ตาของฉันจึงมีแต่น้ำตา

และได้แต่หวังว่าคุณจะอยู่ที่นี่กับฉัน”

 

‘Soft with love are my thoughts of you

Now that you’re gone

I just don’t know what to do…’

“ความรักที่อ่อนโยนคือความทรงจำของฉันที่มีต่อคุณ

ตอนนี้คุณได้จากไปแล้ว

ฉันก็แค่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร…”

 

คีรีแปลได้แค่นี้ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกของป้าวนาที่มีในขณะนี้ ทำไมคำพูดที่ไหลจากปากเขา ทำให้เขารู้สึกถึงความรู้สึกของป้าวนาได้ และจู่ๆ เขาก็รู้สึกจุกที่คอหอยจนไม่สามารถแปลเพลงนี้จนจบได้ ได้แต่ปล่อยให้เพลงร้องของมันต่อไป ป้าวนาที่ฟังอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป ได้แต่ฟังเพลงต่อไปจนจบ

“ฟังเวอร์ชันญี่ปุ่นอีกรอบไหมครับ” ชายหนุ่มถามเพราะเขารู้สึกอยากอยู่เป็นเพื่อนป้าวนาจริงๆ

“ไม่ละ ไว้คีรีสอนป้าให้ฟังเองดีกว่า”

ป้าวนาก็เป็นอย่างนี้…ช่างเกรงใจเสมอ

“งั้นขึ้นนอนกันนะครับ”

หญิงชราพยักหน้า แล้วคีรีก็ประคองป้าวนาเดินขึ้นบันได

คีรีนัดเจอกับปารีณาที่สถานีรถไฟชิโมกิตะซะว่าตอนประมาณเจ็ดโมงสิบนาที หญิงสาวบอกว่ารถไฟไปเมืองฟูจิซะว่ะ (Fujisawa) ออกตอนเจ็ดโมงยี่สิบ เมื่อไปถึงเมืองฟูจิซะว่ะ ปารีณาพาเขาและป้าวนาข้ามสะพานลอยด้านข้างของสถานี ไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟไฟฟ้าอิโนะชิมะ (Enoshima Electric Railway) หรือที่เรียกกันว่าอิโนะเดน (Enoden) แต่จริงๆ แล้วลักษณะของรถไฟที่ใช้นั้นมีลักษณะเหมือนรถรางเสียมากกว่า และด้วยเป็นสายเก่าแก่ที่เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1902 ทำให้รถไฟที่ใช้นั้นมีสีสันและโบราณคล้ายกับรถราง แต่ต้องถือว่ามีความคลาสลิกมาก เป็นรถไฟสีเขียวเข้มขลิบเหลืองตามขอบหน้าต่างและประตู และบางขบวนก็เป็นสีน้ำตาลเข้มพร้อมที่นั่งไม้

ตัวรถไฟที่คลาสลิกฟังดูแล้วก็น่าประทับใจ แต่สิ่งที่น่าชมอีกอย่างคือเส้นทางที่สวยงามที่รถไฟผ่านไป ก่อนที่จะถึงสถานีอิโนะชิมะ (สถานี EN 6) รถไฟขบวนเล็กๆ นี้จะผ่านไปตามบ้านเรือนสองข้างทางที่อยู่ติดกับทางรถไฟเลย ทำให้ดูเหมือนรถไฟคันนี้กำลังเบียดตัวผ่านบ้านเรือนต่างๆ อย่างอัศจรรย์ และเมื่อผ่านสถานีอิโนะชิมะไปแล้ว รถไฟจะวิ่งขนานไปกับหาดทรายทำให้เห็นวิวทะเลอันสวยงาม

ครั้งนี้ปารีณาพาคุณป้าลงที่สถานีฮาเสะ (สถานี EN 12) เพราะจะพาคุณป้ามาชมดอกไฮเดรนเยียที่วัดฮาเสะเดะระ (Hasedera) ซึ่งพอออกจากสถานีไปก็เลี้ยวขวาเดินไปตามถนนใหญ่ เพียงแค่ 250 เมตรก็จะเจอสี่แยก แล้วเลี้ยวซ้ายและเดินไปตามทางอีก 200 เมตรก็จะเจอกับโคมใหญ่และทางเข้าวัด ปารีณาดีใจที่ได้พาคุณป้ามาถึงแต่เช้า เพราะในฤดูชมดอกไฮเดรนเยียนี้ ที่นี่มักจะมีคนเยอะ แต่เวลาเช้าแบบนี้ ผู้คนยังไม่หนาตาเท่าไร

เมื่อเข้าไปภายในวัด ก็เหมือนเป็นสวนที่มีสระเล็กๆ ทางด้านซ้ายและขวา ส่วนตรงกลางทำเป็นเหมือนเนินน้ำตกน้อยๆ ที่ไหลลงมาในสระกลางใหญ่เบื้องล่าง และถัดจากสวนด้านล่างนี้ต้องขึ้นไปเดินตามเนินเพื่อขึ้นไปยังโบสถ์ด้านบน แต่ก่อนจะถึงโบสถ์ด้านบนจะเจอกับศาลจิโซะซึ่งถือว่าเป็นเทพผู้ดูแลและปกป้องเด็กๆ ด้านข้างหน้าศาลจะมีน้ำที่ใช้สรงองค์จิโซะน้อยเพื่อเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนเคารพศาล ส่วนด้านหลังศาลนั้นก็มีองค์จิโซะนับร้อยยืนเรียงรายหลายแถวอย่างเป็นระเบียบ มาถึงบริเวณนี้ป้าวนาก็ขอเดินไปขอพรกับศาลจิโซะ

เมื่อกลับมาปารีณาก็ถามว่า “ป้าวนาขออะไรคะ”

“ที่ศาลเจ้านี้เราสามารถขอให้ท่านดูแลลูกหลานเราได้ ป้าเลยขอให้ท่านดูแลเรียวจังกับคีรีด้วยจ้ะ”

“ขอบคุณมากนะคะ คุณป้า งั้นขึ้นไปข้างบน หนูจะขอพรพระให้คุณป้าค่ะ อดทนเดินขึ้นอีกนิดนึงนะคะ”

“ป้าเดินไหวจ้ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

แต่อย่างไรคีรีก็เข้าไปประคองป้าวนาขึ้นบันได

“คามะคุระเป็นเมืองมรดกโลก มีศาลเจ้าชินโต 19 แห่งและวัดพุทธ 65 วัด โชกุนคนแรกของญี่ปุ่น-ท่านโยะริโตะโมะ มินะโมะโตะ เป็นผู้ก่อตั้งรัฐบาลทหารที่เมืองนี้ในปี 1192 ทำให้เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ข้อสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนอกจากเกียวโตและนาระแล้ว คามะคุระเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ได้รับยกเว้นจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตร ทำให้คามะคุระมีอะไรๆ ให้เราได้ดูได้ชมมากมาย โดยเฉพาะวัดนี้ที่เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์ฮาเสะแคนนอนซึ่งมี 11 พักตร์แกะสลักจากไม้ และมีความสูงถึง 9.18 เมตร

ตำนานของพระโพธิสัตว์องค์นี้ย้อนไปในปี 721 เป็นปีที่เมืองนาระแกะสลักพระโพธิสัตว์ฮาเสะแคนนอน ซึ่งไม้ที่นำมานั้นสามารถแกะสลักได้ถึง 2 องค์ พระที่นั่นเลยได้โยนองค์ที่สองลงน้ำเพื่อให้พระโพธิสัตว์ไปช่วยผู้คนในดินแดนห่างไกล และอีก 15 ปีต่อมาพระโพธิสัตว์นั้นก็ได้ลอยมาติดหาดบริเวณนี้ จึงได้มีการสร้างวัดนี้เพื่อประดิษฐานพระโพธิสัตว์และในปี 1342 ก็ได้ทำการปิดทององค์พระ”

“ผมมาญี่ปุ่นหลายครั้ง ไม่มีโอกาสมาเมืองนี้สักที”

“ฉันชอบเมืองนี้มากค่ะ จริงๆ แล้วจากสถานีถ้าเลี้ยวซ้ายไปก็จะมีทางเลาะลงชายหาด แถวนั้นมีร้านกาแฟโปรดของฉันด้วยค่ะชื่อสะกะโนะชิตะ เป็นร้านกาแฟที่เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่สร้างมาตั้งแต่ช่วงปี 1970 เลยจะแต่งร้านยุคประมาณช่วงนั้น ฉันชอบเพราะร้านดูเป็นแบบบ้านๆ โต๊ะเก้าอี้ก็ไม่ต้องเข้าชุดกัน แต่กลับวางได้เก๋ไก๋ไม่ขัดกันเลย…”

“ไว้เดี๋ยวเราไปนั่งร้านนั้นกันสิ” ป้าวนาพูดขึ้น

หญิงสาวแปลกใจที่ป้าวนาเป็นคนพูด เธอคิดว่าคีรีน่าจะเป็นคนสนใจมากกว่า…ก็เขาเป็นเจ้าของร้านกาแฟไม่ใช่หรือ

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไร เขาอาจไม่ได้สนใจจะพัฒนาร้านกาแฟของเขาให้ดูดีและมียอดขายดีก็ได้ เขาคงจะห่วงแต่เรื่องจะกลับไปสอนหนังสือและทุนปริญญาเอกที่เขาขอไว้อยู่ แต่ก็นั่นแหละ…ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของเธอเลย เธอเพียงแค่ต้องการเงิน และอยากทำงานชั่วคราว แต่อย่างไรเธอก็ต้องทำงานของเธอให้ดีที่สุด

“ได้ค่ะ”

หลังจากสักการะพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในโถงใหญ่ตรงกลางของลานวัดข้างบนแล้ว ปารีณาพาคีรีและคุณป้าเดินตัดไปตามทางเดินข้างร้านอาหารของวัดและขึ้นไปตามเนินที่เต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยีย เสน่ห์ของดอกไฮเดรนเยียอยู่ที่ดอกเล็กๆ จะเบียดตัวรวมตัวเป็นช่อใหญ่ ที่นี่ก็มีหลากหลายสีสันให้เดินชมเสียด้วย

ป้าวนาพอเดินขึ้นมาตามทาง ก็เหมือนตัวเองรายรอบล้อมด้วยดอกไฮเดรนเยีย ทำให้คุณป้าเอ่ยปากขึ้นว่า “ดอกอะจิไซสวยจัง เยอะแยะเต็มไปหมดเลย”

คีรีซึ่งประคองป้าวนาอยู่ก็เอ่ยปากว่า “ถ่ายรูปนะครับ เดี๋ยวผมถ่ายให้”

พอถ่ายไปให้ 5-6 รูป ป้าวนาก็เรียกปารีณาเข้าไปถ่ายรูปด้วย “เรียวจัง มาถ่ายรูปกัน”

ปารีณาปฏิเสธ “ไม่ต้องก็ได้ค่ะ คุณคีรีถ่ายกับคุณป้าดีกว่า มาฉันถ่ายให้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมถ่ายให้คุณก่อน แล้วเดี๋ยวคุณค่อยถ่ายให้ผม”

นั่นทำให้ปารีณาเข้าไปยืนถ่ายรูปกับป้าวนา สักครู่ป้าวนาก็บอกว่า “คราวนี้เรียวจังถ่ายคนเดียวบ้าง”

พูดจบป้าวนาก็เดินออกมา ให้คีรีถ่ายรูปปารีณา หลังจากนั้นปารีณาจึงค่อยถ่ายรูปคุณป้ากับคีรี แล้วปารีณาก็ค่อยๆ ประคองป้าวนาเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยีย

“คุณป้าชอบดอกอะจิไซสีอะไรคะ” ปารีณาชวนคุย เธอรู้ว่าคนเป็นอัลไซเมอร์มักจะไม่ค่อยพูดคุย การชวนคุยเป็นกิจกรรมการช่วยที่จะกระตุ้นสมองได้

“ชอบสีขาวจ้ะ”

“ทำไมล่ะคะ” เพราะปารีณารู้สึกว่าดอกไฮเดรนเยียสวยด้วยสีสัน

“เพราะดอกสีๆ โดยเฉพาะสีฟ้านั้นเปลี่ยนสีไปตามน้ำฝนน่ะสิ ถ้ายิ่งฝนตกมากๆ สีของมันจะเข้มขึ้นๆ จนบางครั้งจะเห็นเป็นสีม่วงน้ำเงิน”

“อ๋อ มิน่าคนถึงชอบไปชมดอกอะจิไซที่วัดเมเกะซึอินที่อยู่ที่สถานีคิตะคามะคุระ จนวัดนั้นมีชื่อเรียกว่าวัดอะจิไซ ที่นั่นจะมีดอกอะจิไซสีฟ้า สีน้ำเงินเต็มไปหมด”

แต่วันนี้ปารีณาตั้งใจพาคุณป้ามาที่วัดนี้ เพราะจะได้นั่งรถไฟโบราณสายอิโนะชิมะด้วย

“แล้วเรียวจังรู้ไหมว่า ดอกอะจิไซสีขาวมีชื่อเรียกว่าอะไร”

“เอ๋ะ” หญิงสาวอุทานแบบญี่ปุ่น ปารีณาแปลกใจที่ป้าวนาถามเธอกลับมากกว่า และเป็นคำถามที่เธอไม่รู้เสียด้วย “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะว่าดอกสีขาวมีชื่อเรียกเฉพาะของมัน แล้วเรียกว่าอะไรคะ”

ป้าวนาอมยิ้มและเอียงคอ “ชื่อเพราะๆ นะจ๊ะ ภาษาอังกฤษ เรียวจังลองกดดูสิว่าชื่ออะไร” ป้าวนาชี้ไปที่โทรศัพท์ที่อยู่ในมือหญิงสาว “…ป้าจำไม่ได้”

“อ้าว…” ปารีณาหลงดีใจว่าป้าวนาจะอาการดีขึ้น หญิงสาวกดโทรศัพท์ตามที่ป้าวนาบอก “…แอนนาเบลค่ะ”

“อ้า…ใช่แล้ว ชื่อเพราะเนอะ แอนนาเบล”

“คราวนี้หนูถามบ้างดีกว่า ดอกอะจิไซมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอะไรคะ”

ป้ายิ้มและเอียงคอคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เจ้าสาวหรือเจ้าหญิงนะ…แห่งฤดูฝน”

“จริงๆ หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะ เห็นคนอื่นๆ เรียกกันว่าเจ้าหญิงแห่งฤดูฝน แต่จริงๆ เป็นเพราะหากใครแต่งงานช่วงเดือนมิถุนา-กรกฎานี่ เจ้าสาวก็จะต้องถือช่อดอกไฮเดรนเยีย เขาเลยเรียกดอกนี้ว่าเจ้าหญิงแห่งฤดูฝนกัน”

“เดี๋ยวเราเดินไปชมวิวทะเลทางลานที่อยู่ใกล้กับร้านอาหารที่นี่กันเถอะค่ะ”

ปารีณาพาเดินลงไปทางร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโถงที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ แล้วเดินเลียบร้านอาหารไปอีกทางหนึ่ง ทางวัดมีลานยื่นออกไปพร้อมกับมีโต๊ะให้สามารถนั่งชมทะเลได้ เมื่อปารีณาเห็นป้าวนานั่งลงเรียบร้อย หญิงสาวก็ถามว่า “รับซาลาเปาหรือเครื่องดื่มอะไรดีคะ เดี๋ยวหนูไปซื้อให้ค่ะ”

บริเวณนี้ทางวัดจัดให้มีร้านขายของว่างอยู่ ที่มีเครื่องดื่มต่างๆ อยู่ในตู้เย็นเล็กๆ

“ซาลาเปาก็ดีจ้ะ คีรีไปช่วยเรียวจังซื้อของสิ” ป้าวนาไล่หลานชายให้ลุกไปซื้อของพร้อมปารีณา

คีรีกับปารีณาเลยเดินตรงไปที่ร้านซาลาเปาที่อยู่หน้าลานที่นั่ง เมื่อทั้งคู่สั่งของเสร็จ คีรีก็หันมาหาหญิงสาว

“ขอบคุณมากนะครับ วันนี้ป้าวนาดูสนุกมากเลย เป็นวันที่ป้าสดใสที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่ด้วยเลยครับ”

“จริงเหรอคะ ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ ค่ะ นี่คุณป้าก็เพิ่งเสียคุณลุงไป ท่านคงเศร้าใจอยู่บ้าง เอาท่านออกมาเดินเล่นชมสวนบ้าง หวังว่าท่านจะดีขึ้น”

“นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องขอบคุณคุณ ที่ให้ผมมองเห็นความรู้สึกและตัวตนของป้า ไม่ได้เอาแต่งานและเรื่องตัวเองเป็นที่ตั้ง”

“เรื่องนั้น…” หญิงสาวแอบเหลือบมองชายหนุ่ม “ฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดกดดันนะคะ สภาพของท่านตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความกรุณาของคุณ…”

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ คนขายก็ส่งซาลาเปาให้กับเธอและคีรี หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเธอจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่เธอภาวนานั่นก็คือเธอหวังว่าต่อไปคีรีจะดูแลป้าวนาเป็นอย่างดี

ทั้งคู่ถือซาลาเปาและเครื่องดื่มเต็มไม้เต็มมือกลับมาที่ป้าวนา แต่พอกำลังจะใกล้ถึงโต๊ะ ป้าวนาที่เตรียมกล้องมือถือของเธอไว้อยู่แล้ว ก็กดถ่ายรูปคนทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ

“โอ๊ย ยังไม่ได้ตั้งท่าเลย” ปารีณาแกล้งบ่น

“ป้าถ่ายรูปไม่เป็นหรอกจ้ะ แต่คิดขึ้นได้ว่าเรียวจังกับคีรียังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกัน ก็เลยเอากล้องมาถ่ายเก็บไว้ หากวันไหนพวกเธอห่างหายไป ป้าจะได้พอจำได้”

เธอไม่รู้ว่าคีรีจะตัดสินใจอย่างไร แต่สำหรับเธอแล้ว หากเธอจัดการเรื่องของนามิเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก เธอคงจะจากร้านนี้ไปในที่สุด แล้วหลังจากนั้นป้าวนาจะจำเธอได้อีกไหม…เธอก็ไม่รู้

“มาทานซาลาเปาร้อนๆ กันเถอะค่ะ”

หลังจากที่คีรีดูลังเลอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็กล้าตัดสินใจถาม “ป้าครับ เรื่องร้านจะทำยังไงดีครับ”

“ร้านไหน” ป้าวนาทำหน้าเหลอหลา

“ก็ร้านเราไงครับ ร้านกาแฟของเรา จะให้ผมทำยังไงดี”

ทีนี้ป้าวนาทำเหมือนไม่สนใจ ยังนั่งทานซาลาเปาอย่างเอร็ดอร่อย “ตามใจคีรีเลยจ้ะ”

“เออ…คือว่า…”

เหมือนคีรีอยากพูดอะไร แต่ก็เกรงใจหญิงสาวที่นั่งอยู่ ทำให้ปารีณาลุกขึ้นยืน

“ขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูไปห้องน้ำแป๊บนึงค่ะ” หญิงสาวทำเหมือนหันไปพูดกับป้าวนา พูดจบหญิงสาวก็ลุกเดินออกไป

“ป้าครับ อีกไม่ถึง 2 เดือน ผมต้องกลับเมืองไทยแล้ว ร้านเราจะทำยังไงดี”

“เรียวจังไง…ให้เรียวจังทำต่อกับป้ากับณัฐ”

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ เพราะรู้ว่าหญิงสาวนั้นอยู่ที่นี่มากสุดก็เพียง 3 เดือน หลังจากนั้นเธอต้องกลับไปทำหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยเธออยู่ดี

“และถ้าเรียวจังอยู่ไม่ได้ล่ะครับ”

ป้าวนาเอียงคอเหมือนไม่เข้าใจ และพูดเสียงอ่อยๆ ว่า “…แล้วคีรีจะให้ป้าทำยังไง”

“ป้าอยากกลับไปอยู่กรุงเทพกับผมไหม”

“แล้วร้านล่ะ…” ป้าวนามองคีรีด้วยสายตาว่างเปล่า

แต่เป็นสายตาที่ทำให้คีรีไม่กล้าจะพูดประโยคต่อไป ‘ก็ขายทิ้งน่ะสิครับ’ เขากลับก้มหน้ามองซาลาเปาของเขาที่วางอยู่ตรงหน้า

“คีรีมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

ขณะนี้ป้าวนายังกลับกลัวว่าเขามีอะไรไม่สบายใจอีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำตาของความกดดันมันเอ่อขึ้นมา จนเขาต้องเงยหน้ามองฟ้า ทำให้อดคิดถึงเพลงเมื่อคืนของซะคะโมะโตะไม่ได้ พอเขารวบรวมสติได้ เขาก็รีบตอบว่า

“ไม่ครับ ไม่มีครับ”

“คีรีลองทำร้านไปดูก่อนสิ มีอะไรไม่สบายใจก็มาคุยกับป้า”

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ และทำสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นปารีณาเดินมาตามทางเพื่อจะกลับมาที่โต๊ะที่เขาและป้าวนานั่งอยู่

 



Don`t copy text!